ปิ่นแก้วนครา ตอน สร้อยแสงดา ( 2 ) โดย พิริตา

กระทู้สนทนา
เสียงของยามเช้าวันใหม่ดังเข้ามาในโสตประสาท เสียงไก่ขัน เสียงสัตว์จำพวกครึ่งบกครึ่งน้ำและแมลงดังผสานกัน น่าแปลกที่มันไม่ใช่เสียงรถรา เสียงอึกทึกครึกโครมอย่างที่เคยคุ้น แถมด้วยกลิ่นควันไฟและอาหารบางอย่างปนเปในบรรยากาศ  
ด้วยความสงสัยว่าตัวเองนอนอยู่ในคอนโดฯ ที่พัก หรือที่ร้านลายครามซึ่งเป็นบ้านอีกแห่งหนึ่ง หรือว่าเธอยังติดอยู่ในความฝัน? ความคิดนั้นส่งผลให้ร่างบางดีดตัวลุกขึ้น แต่ก็ต้องหน้าเบ้ด้วยรู้สึกเจ็บบริเวณท้องและชายโครง
แม้อาการนั้นจะตอกย้ำให้กังสดาลรู้ว่าสิ่งที่กลัวมันน่าจะเป็นความจริง แต่หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจตัวเองอีกครั้ง ที่เธอกำลังสวมใส่อยู่มันเป็นชุดเดียวกับก่อนที่จะหลับตาลงไปเมื่อคืน
และบัดนี้... ปิ่นแก้วอันนั้นยังวางอยู่ใต้หมอน แน่นอนแล้ว... นี่คือเวียงสีปันจา เธอยังติดอยู่ที่นี่ เจ้าของร่างบางมองปิ่นแก้วอย่างเจ็บใจขึ้นมานิดๆ เพราะแม้จะรู้สึกถึงพลังที่เชื่อมโยง แต่เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานปิ่นแก้วอันนี้กลับไม่เคยช่วยอะไรได้เลย
ฉันเชื่อเลยว่าปิ่นนี้วิเศษจริงๆ หญิงสาวอดค่อนปิ่นแก้วอันนั้นไม่ได้ ก่อนจะพยายามหาที่ซ่อนมันภายในเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่ แต่เสื้อก็ไม่มีกระเป๋า ซิ่นนุ่งก็ยิ่งไปใหญ่
แต่ตรงชายซิ่นที่รัดด้วยเข็มขัดเงินมีส่วนที่เหลือหย่อนลงมาเล็กน้อยเป็นที่เดียวที่จะสามารถซ่อนเอาไว้ได้ กังสดาลจึงดึงชายซิ่นให้หย่อนลงมามากกว่าเดิมอีกนิด แล้วจึงนำปิ่นแก้วมาซุกไว้แล้วจับชายซิ่นเหน็บเข้ากับเข็มขัดตรงเอวเป็นอันเสร็จสิ้น
กังสดาลมองชุดที่สวมใส่กับชุดนอนของตนในมือ ฉุกคิดได้ว่าตอนตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง หญิงสาวจำได้รางๆ ว่ามีผู้หญิงสองคนแต่งตัวคล้ายกันกับเธอในตอนนี้ได้เอาน้ำมาให้ดื่ม คงเป็นสองคนนี้ที่จัดการกับเครื่องแต่งกายของเธอ หญิงสาวมั่นใจเช่นนั้น
แสงตะวันเล็ดลอดช่องเล็กเข้ามาในห้อง เทียนมอดดับลงไปนานแล้ว ภายในห้องขนาดใหญ่กั้นฝาด้วยไม้ ดูเรียบง่าย แต่หนาแน่น อีกทั้งยังคงความเงางามเหมือนได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี
มีหน้าต่างอยู่ด้านบนหัวนอนและด้านข้าง รวมทั้งประตูที่ทำเป็นสองบานปิดเข้าหากัน ทั้งประตูและหน้าต่างล้วนมีกลอนหรือดาลทำจากไม้ทั้งสิ้น ตรงธรณีประตูมีไม้สูงประมาณฝ่ามือกาง กั้นไว้เพื่อให้คนข้ามผ่านเข้ามายังส่วนในห้อง
    ภายในห้องวางตู้ไม้แกะสลักลวดลายอ่อนช้อยไว้ตรงข้างฝาคนละด้าน ขนาดลดหลั่นกันไป ส่วนใหญ่ตู้เหล่านั้นบรรจุของจำพวกสมุดใบลาน สมุดที่ทำจากกระดาษสา เป็นปึกๆ แผ่นหนังที่ใช้บันทึกขีดเขียน
และหีบใส่ของทำจากไม้ รวมทั้งที่เป็นเครื่องเขินขนาดต่างๆ มีเพียงตู้ซึ่งอยู่ปลายเตียงนอนเท่านั้นที่มีประตูปิดมิดชิดเหมือนเป็นตู้เสื้อผ้า อีกตู้ขนาดเล็กกว่าเพื่อนอยู่ติดกับโต๊ะตรงหัวเตียง
แต่ที่ทำให้หญิงสาวต้องเขม้นตามองก็คือข้าวของที่แขวนอยู่ตรงฝาเรือนด้านหนึ่ง เพราะมันบ่งบอกถึงความเป็นผู้ชายแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นดาบ มีดสั้นหลายขนาด หลายแบบ พร้อมฝักที่เป็นไม้ โลหะ ล้วนแล้วแต่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายทั้งด้ามจับและตัวฝัก
แม้แต่ธนูกับกระบอกใส่ลูก และหอกด้ามยาวก็ยังถูกแขวนไว้ยังมุมเดียวกัน พร้อมด้วยโล่ขนาดใหญ่ทำมาจากโลหะสลักลวดลาย และเสื้อหนังหนาลักษณะเหมือนเสื้อกั๊กติดโลหะเป็นบางจุด ซึ่งอาจเป็นเสื้อเกราะก็เป็นได้
ที่ขาดไม่ได้คือหมวกใบใหญ่ที่ทำจากไม้สานเคลือบด้วยยางไม้สีดำๆ หรือว่าเจ้าของห้อง หรือผู้ชายคนนั้นจะเป็นทหาร หรือไม่ก็เป็นคนมีตำแหน่งใหญ่โตจึงสามารถมีสิ่งเหล่านี้ในครอบครองได้
แต่จะเป็นอะไรก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องใส่ใจนี่นะ สิ่งที่ต้องทำคือไปจากที่นี่ พยายามหาหนทางไปพบเจ้าน้อยปิ่นเมืองให้ได้ต่างหาก
แม้จะไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ส่วนไหนของเมืองสีปันจา แต่เธอก็ต้องรีบทำหน้าที่ทั้งหมดให้จบลงโดยเร็ว แล้วจะได้กลับบ้านไปหาพี่ชาย พี่สะใภ้และใช้ชีวิตตามปกติเสียที กังสดาลคิดพลางขยับตัวลุกขึ้น
    เจ้าของร่างบางเปิดหน้าต่างสำรวจรอบข้างของเรือนอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่เวรยามเบื้องล่างเมื่อคืนหายไปแล้ว เรือนนี้ปลูกอยู่ท่ามกลางต้นไม้สูงสลับซับซ้อน บนพื้นมีหญ้าสีเขียวสดปูกว้างราวกับพรมชั้นดีอยู่โดยรอบ อากาศสดสะอาด จนต้องสูดเอาความบริสุทธิ์นั้นเข้าเต็มปอด แต่...
‘จะมัวเอ้อระเหยให้ได้อะไรขึ้นมาเล่ายัยกั้ง เธอต้องหาทางออกจากเรือนนี้เพื่อไปพบเจ้าน้อยนั่นต่างหาก’
หญิงสาวบอกตัวเองอย่างขัดใจ ที่มักจะถูกความแปลกใหม่ชักจูงให้เบนความสนใจไปจากเป้าหมายง่ายดายอยู่เรื่อย ก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังประตู ซึ่งไม่ได้ลั่นดาลเอาไว้ พอเธอออกแรงผลักมันกลับเปิดไม่ออก เพราะถูกปิดล็อกจากทางด้านนอกนั่นเอง
ไม่ว่าจะพยายามโถมแรงลงไปสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจเปิดประตูนั้นได้ ทำให้กังสดาลนึกหวั่นไปว่าผู้ชายคนเมื่อคืนจะมีเจตนาร้าย และบางทีอาจจะเป็นเรื่องเลวร้ายกว่ากลุ่มชาวบ้านที่รุมทำร้ายเธอก็เป็นได้ ดูเอาเถอะ อาวุธยุทโธปกรณ์เขามากมายขนาดนี้
ด้วยความที่สติเริ่มแตกกับจินตนาการของตัวเอง ส่งผลให้กังสดาลปราดไปยังหน้าต่างด้านตรงข้าม ความสูงของหน้าต่างไม่มากอย่างที่นึกกลัว ด้วยเรือนหลังนี้เองก็ยกพื้นไม่สูงนัก
หญิงสาวถลกผ้าซิ่นขึ้นสูงจนถึงโคนขา ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นไปเหยียบขอบหน้าต่าง พอดีกับหูได้ยินเสียงบางอย่างแว่วเข้ามาใกล้ๆ ทำให้เธอพยายามรีบปีนขึ้นไปตรงขอบหน้าต่างอย่างร้อนรนระคนทุลักทุเล แต่ทว่า...
    “ผลั๊วะ!! ” ประตูเปิดออกพร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่ง
“กรี๊ด!! ” ตามมาด้วยเสียงหล่นดังตุ๊บ! และเสียงร้องด้วยความเจ็บดังขึ้นข้างหน้าต่างในฉับพลัน แต่ไม่ใช่บนพื้นดินเบื้องล่าง กลับเป็นบนพื้นห้องที่เดิมต่างหาก
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาอยู่ในห้องเจ้าพี่ปิ่นเมืองได้! ” เจ้าของเสียงที่เปิดประตูเข้ามา ตรงรี่มาหาร่างบางที่นอนงอก่องอขิงอยู่บนพื้นห้อง ด้วยท่าทีคุกคามจนเห็นได้ชัด ไม่สนใจอาการเจ็บปวดของอีกฝ่ายสักนิด
กังสดาลพยายามตั้งสติข่มความเจ็บต่างๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง พลางมองหญิงสาวผู้เข้ามาใหม่ ที่มาตอนนี้มีผู้หญิงอีกสองคนตามเข้ามาติดๆ
ผู้หญิงทั้งสามอายุอานามคงมากกว่ากังสดาลไม่กี่ปี อยู่ในชุดเสื้อแขนยาว และผ้าซิ่นยาวกรอมเท้าเหมือนกับเธอ แตกต่างกันที่ลวดลายเท่านั้น
หญิงสาวคนที่โวยวายมีหน้าตาสะสวย เสื้อและผ้าซิ่นที่สวมใส่ดูสวยงามแปลกตา อีกทั้งผมที่มวยเกล้าไว้กลางหัวประดับตกแต่งด้วยปิ่นเงิน เครื่องประดับทั้งคอ หูและข้อมือ รวมทั้งเข็มขัดก็เป็นเครื่องเงิน
ซึ่งต่างจากหญิงสาวอีกสองคนที่ใส่เสื้อและซิ่นเรียบๆ เหมือนกังสดาล แต่โพกหัวด้วยผ้าสีชมพู ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าคนหนึ่งเป็นนาย อีกสองคนนั้นต้องเป็นบ่าวแน่
    “นางต้องเป็นพวกหัวขโมยแน่เลยเจ้า เจ้านาง นี่คงแอบเข้ามาตอนเจ้าน้อยไม่อยู่เพื่อลักของมีค่าแน่ๆ ” บ่าวคนหนึ่งรีบออกความเห็น ทำให้คนเป็นนายมีท่าทางไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม
    “แต่ข้าเจ้าว่า นางผู้นี้ต้องเป็นแม่ญิงที่คิดจะมาทอดกายให้เจ้าน้อยมากกว่าเจ้า ดูสภาพนางสิเจ้า” บ่าวอีกคนออกความเห็นบ้างเหมือนไม่ยอมน้อยหน้ากัน พลางมองกังสดาลตั้งแต่หัวจรดเท้า
ทำให้คนถูกมองพึ่งรู้ตัวว่าเธออาจจะใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย แต่ผมเผ้ายังคงปล่อยยาวตามปกติ และมาตอนนี้ที่พึ่งตื่นนอนก็ดูยุ่งเหยิง แถมกระเซอะกระเซิงน่าดู ไม่แปลกใจนักหากคนที่พบเจอจะเข้าใจผิดไปอย่างนั้น
    “เปล่านะ ฉันไม่ได้เป็นขโมย ไม่ได้ทอดกงทอดกายอะไรทั้งนั้น
แหล่ะ ว่าแต่พวกท่านเถอะเป็นใคร” กังสดาลรีบปฏิเสธพลางถามกลับในคราเดียวกัน
“นี่เจ้าไม่รู้จักเจ้านางคำผกาย ว่าที่คู่หมายของเจ้าน้อยปิ่นเมืองหรอกหรือ แต่ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะดูเจ้าคงมิใช่คนสีปันจา คำพูด สำเนียงเจ้าก็ประหลาดจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง เป็นพวกบ้านป่าบ้านดอยก็ไม่รู้” บ่าวคนหนึ่งรีบตอบ พร้อมทำท่าหมิ่นแคลนเสียเต็มประดา แต่กังสดาลกลับเบิกตาโต
“ท่านเป็นคู่หมายของเจ้าน้อยปิ่นเมืองอย่างนั้นเหรอ” ก่อนถามขึ้น คิ้วเรียวขมวดมุ่น
“ถ้าอย่างนั้นห้องนี้ก็เป็นของ... ” ก่อนจะเริ่มเดาออกรางๆ
“ใช่ นี่คือห้องเจ้าพี่ปิ่นเมือง อย่าบอกนะว่าเจ้าเข้ามาที่นี่โดยไม่รู้” คนที่ถูกเรียกว่า เจ้านางคำผกาย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะๆ ดวงตามองมาทางกังสดาลแสดงความไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูดอย่างเห็นได้ชัด
แต่คนฟังกำลังตะลึงกับคำตอบ สมองเริ่มคิดทบทวนไตร่ตรองเร็วรี่ ถ้าห้องนี้เป็นห้องของเจ้าน้อยปิ่นเมือง ก็แสดงว่าอีตานั่นก็คือ.... ก่อนที่จะทันเอ่ยอะไรออกไปเสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นเรือนมา
“เกิดอะไรขึ้น” เจ้าน้อยปิ่นเมืองนั่นเองที่ก้าวเข้ามาในห้อง เขาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเสื้อสีแดงก่ำ ที่ทับเสื้อสีขาวด้านใน และโพกศีรษะด้วยผ้าสีขาวขุ่น ดวงตาคู่คมกวาดมองหญิงสาวทั้งสองซึ่งกำลังเผชิญหน้ากันอยู่
“เจ้าพี่ เจ้าพี่ไปอยู่ไหนมาเจ้า น้องรู้ข่าวว่าเจ้าพี่กลับมา น้องก็รีบมาหาที่ห้องเลยเจ้า” เจ้านางคำผกายรีบก้าวเข้าไปประชิดตัวชายหนุ่มในทันทีที่เห็นเขา แต่ก็ไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวแต่อย่างใด
“คำผกาย เจ้าไม่ควรลำบากมาหาพี่ถึงที่นี่เลย อย่างไรเสียเช้านี้เราก็ต้องเจอกันอยู่แล้ว” เจ้าราชบุตรบอกเสียงเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
“มิได้หรอกเจ้า น้องคิดถึงเจ้าพี่ อยากเจอเจ้าพี่เร็วๆ แต่ที่น้องไม่เข้าใจก็คือแม่ญิงผู้นี้เป็นใคร เหตุใดนางถึงมาอยู่ในห้องเจ้าพี่ได้เจ้า” ท้ายประโยคเจ้านางคำผกายปรายตามาทางกังสดาลอย่างหมิ่นหยาม แต่คำถามนั้นเป็นเหตุให้ชายหนุ่มถึงกับทำหน้าไม่ถูก
“เอ่อ... คือ... นางเป็น... ” ขณะที่เจ้าราชบุตรแห่งเวียงสีปันจากำลังอึกอักเพราะหาคำตอบไม่ได้อยู่นั่นเอง เสียงเรียกก็ดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง
“เจ้าน้อย เจ้าน้อยของย่ากลับมาแล้วรึ” เจ้าของเสียงเป็นหญิงชราอายุประมาณเจ็ดสิบกว่าปีปลายๆ ร่างผอมสูง
“เจ้าพี่ปิ่นเมืองเจ้า” ตามมาด้วยหญิงสาวที่วัยคงอ่อนกว่ากังสดาลสักปีสองปี ซึ่งติดตามหญิงชราเข้ามา ทั้งคู่เรียกความสนใจจากทุกคนในห้องจนลืมเรื่องที่กำลังคุยกันไปชั่วครู่
หญิงสาวหน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างอรชร แต่งกายไม่ต่างไปจากเจ้านางที่ชื่อคำผกาย เพียงแต่มีผ้าสไบสะพายเฉียงบนบ่า คนที่ชรากว่าใส่เสื้อรูปแบบเหมือนกันแต่เป็นสีขาวและห่มสไบเช่นกัน
บนเกล้าผมของทั้งคู่ปักปิ่นเงินรูปร่างเหมือนร่มแนบกับมวยผมและดอกไม้สดสีเหลืองเป็นช่องดงาม แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็มีสง่าราศีตามแบบฉบับของคนเป็นเจ้านาย
“เจ้าย่า เจ้านางน้อยน้องพี่” เจ้าน้อยปิ่นเมืองมีสีหน้าดีใจจนเห็นได้ชัดยามเอื้อนเอ่ยทักทายบุคคลทั้งสอง พร้อมกับรีบก้าวเข้าไปทรุดตัวลงกราบแทบเท้าหญิงชรา ซึ่งก็ก้มลงลูบหัวเขาเบาๆ
“กราบพระเถอะลูก ย่าดีใจยิ่งนักที่เจ้ากลับมาแล้วเช่นนี้” หญิงชราเอ่ยด้วยรอยยิ้มใจดี
“เจ้าพี่ นางน้อยคิดถึงเจ้าพี่มากเลยเจ้า” เจ้านางน้อยปิ่นดารา รีบกราบลงบนอกพี่ชาย ที่ก็ลูบหัวน้องสาวเบาๆ เช่นกัน
“พี่ก็คิดถึงนางน้อย คิดถึงเจ้าย่า เจ้าพ่อ เจ้าแม่เหมือนกัน นี่พึ่งกลับจากอารามหลวงกันมาหรือ” เจ้าราชบุตรถามน้องสาวตามที่ได้รู้มา
“เจ้า พอเจ้าย่ารู้ว่าเจ้าพี่กลับมา ใส่บาตรเสร็จก็รีบกลับมากันเลยเจ้า” เจ้านางน้อยปิ่นดาราจีบปากจีบคอบอกเล่า
“ว่าแต่ย่า เจ้าเองก็ตื่นเต้นรบเร้าจะกลับคุ้มตั้งแต่เมื่อคืน ที่รู้ข่าวจาก
เตวินว่าเจ้าพี่กลับมามิใช่หรือ” เทวีเจ้าตนย่าจันทราดักคอเข้าให้ ด้วยความหมั่นไส้แกมเอ็นดู
“แหม... เจ้าย่าละก็” เจ้านางน้อยได้แต่ค้อนเจ้าตนย่าอย่างแสนงอนที่รู้ทัน
ขณะคนที่ถูกพาดพิงถึงทำลับๆ ล่อๆ อยู่อีกด้านของประตู เจ้าราชบุตรจึงรู้ว่าหลังจากแยกกันกับเตวินและนันตาเมื่อคืน แม้จะเป็นเวลาดึกดื่นแต่ทหารคู่ใจอย่างเตวินคงตามไปส่งข่าวกับเทวีเจ้าตนย่าจันทรา เจ้านางน้อยปิ่นดารา น้องสาวของเขาถึงที่อารามหลวง และพึ่งกลับมาพร้อมกันในเช้านี้ ชายหนุ่มถึงกับยิ้มออกมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่