ปิ่นแก้วนครา ตอน เจ้าแก้วแก่นไท้ (โดย พิริตา)

กระทู้สนทนา
(จะอัพให้อ่านกันยาวๆเลยนะคะ)

“ขอสูมาอภัยด้วยนะเจ้าที่ต้องโกหกไปเช่นนั้น หากพูดความจริงออกไปคงไม่ดีแน่” เตวินรีบเอ่ยขึ้นเมื่อคล้อยหลังเจ้านางคำผกาย ซึ่งออกไปเป็นกลุ่มสุดท้าย
“เราไม่ว่าเจ้าหรอก เราต้องขอบใจเจ้ามากกว่า หากพูดความจริงเรื่องคงวุ่นวายไม่เลิก แล้วตอนนี้เราก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องราวอันใดใหญ่โต เพราะเรื่องของเจ้าพ่อก็หนักหน่วงนักแล้ว ว่าแต่... เราควรทำอย่างไรต่อไปดี
เตวิน” เจ้าราชบุตรผู้ไม่เคยอับจนปัญญาในเรื่องใดมาก่อน มาตอนนี้กลับหันมาถามคนสนิทอย่างสิ้นท่า
“ข้าน้อยคิดว่าเราควร... ” เตวินกำลังจะตอบแต่ก็ต้องชะงัก กับเสียงใสที่ดังขัดขึ้น
“เดี๋ยวๆๆ นี่พวกท่านจะทำอะไรก็ขอให้เป็นหลังจากที่ฉันไปจากที่นี่แล้วก่อนเถอะนะคะ แต่ว่าตอนนี้ฉันมีเรื่องต้องคุยกับท่านค่ะ เจ้าน้อย
ปิ่นเมือง” หญิงสาวหันมาจิกตาใส่เจ้าของร่างสูงสง่าในท้ายประโยค
“เจ้าเชื่อแล้วรึ ว่าเราคือเจ้าราชบุตรแห่งเวียงสีปันจา” เจ้าน้อยปิ่นเมืองถาม มีแววประชดเล็กน้อยในน้ำเสียงและรอยยิ้มบางของเขา
“ก็แหม... นะ อารมณ์นั้นใครจะไม่ระแวงล่ะ ฉันเกือบตายก็เพราะเรื่องของท่านมาแล้วนะคะ” กังสดาลโอดในตอนท้าย อดคิดไปถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่ได้ มันช่างฝังใจเธอไม่เลือนหายจริงๆ
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงบอกเรามาซิว่าเจ้าเป็นใคร ชื่อเรียงเสียงไร มีจุดประสงค์อันใดถึงต้องการพบเรา เพราะการที่เราได้พูดปดคนในครอบครัวของเราไปแล้ว เราก็ต้องการรู้ถึงตัวตนและเจตนาที่แท้จริงของเจ้า” ชายหนุ่มมองมาทางเธอด้วยแววตาค้นคว้าระคนจริงจัง
“ถ้าฉันพูดไปเจ้าต้องรับปากนะว่าจะเชื่อ และไม่จับฉันสำเร็จโทษอย่างที่ชาวบ้านพวกนั้นบอก” กังสดาลยังห่วงความปลอดภัยของตัวเองไม่สร่าง
“เจ้าก็ลองพูดมาก่อนสิเล่า” เตวินที่ยืนฟังอยู่ด้วยโพล่งออกมา เพราะเขาเองก็อยากจะรู้เต็มทีว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใคร มาจากไหนกันแน่ ถึงได้มีท่าทีแปลกประหลาดเช่นนี้
“ใช่แล้ว เจ้าควรพูดออกมาก่อน เอาเป็นว่าถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเป็นภัยต่อบ้านเมือง เราให้คำมั่นว่าจะไม่สำเร็จโทษเจ้า ส่วนเรื่องที่จะเชื่อหรือไม่นั้น เราขอคิดดูก่อน” แม้จะไม่ไว้ใจในคำมั่นของเจ้าราชบุตรหนุ่ม แต่กังสดาลก็ไม่เห็นทางเลือกอื่น
“เดี๋ยว... ข้าขอถามสักอย่างเถิด ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดเจ้าจึงเรียกตัวเองว่า ฉัน หรือว่านั่นเป็นชื่อของเจ้า แล้วคำต่อท้าย คะ ค่ะ นั่นเล่าหมายถึงสิ่งใด เหตุใดมันจึงฟังดูพิลึกนัก” เตวินอดรนทนไม่ได้จึงแทรกขึ้นอย่างสงสัยเต็มที่
“ไม่ใช่ค่ะ คือฉันขออธิบายง่ายๆ ก็แล้วกันนะคะ คำว่า คะ ค่ะ เป็นคำขานรับเหมือนกับที่พวกท่านพูดว่า เจ้า ในท้ายประโยคนั่นแหล่ะค่ะ ส่วนคำว่า ฉัน เป็นสรรพนามที่เรียกตัวเอง ความจริงฉันชื่อกังสดาล และมาจากอนาคตในอีกเก้าร้อยปีข้างหน้า”
“อะไรนะ?!! ” สิ้นคำบอกเล่ายาวเหยียด ชายหนุ่มทั้งสองก็ร้องขึ้นเกือบพร้อมกัน หญิงสาวรีบหยิบปิ่นแก้วโบราณอันนั้นออกมาจากชายพก แล้วส่งให้เจ้าราชบุตรปิ่นเมือง
“โดยมีปิ่นแก้วอันนี้นำทางมา” ชายหนุ่มทั้งคู่ยังคงมองนิ่งอยู่ด้วยความงงงัน
“ฉันได้รับปากท่านผู้เฒ่าคนหนึ่งให้มาช่วยท่าน เอาปิ่นแก้วนี้มาช่วยเวียงสีปันจา ท่านบอกว่าเวียงสีปันจาจะถึงกาลล่มสลายในไม่ช้าด้วยความแค้นและความโลภของคนผู้หนึ่งที่ต้องการแย่งชิงอำนาจไปจากราชวงศ์ไจยวงษ์สา
“จากนั้นก็จะพาบ้านเมืองไปสู่ความล่มสลาย เวียงสีปันจารวมถึงผู้คนก็จะสูญสลายไปไม่เหลือซาก” กังสดาลบอกเล่าตามที่ได้รับรู้มาจากผู้เฒ่าคนนั้น
“เจ้าเอาอะไรมาพูด เป็นไปได้อย่างไรกัน” เตวินร้องออกมาอย่างไม่พอใจ
แต่สายตาของเจ้าราชบุตรที่ปรามมาทำให้เขารีบเก็บอาการในทันที เพราะดูเหมือนคนเป็นเจ้านายจะไม่ตื่นตระหนกกับสิ่งที่ได้ยินอย่างที่ควรจะเป็น กลับคว้าปิ่นจากมือหญิงสาวมาพิจารณา นั่นทำให้คนสนิทรู้สึกแปลกใจอยู่ครามครัน
“เจ้าจะเอาแค่ปิ่นอันนี้มาอ้างให้เราเชื่อเช่นนั้นหรือ” เจ้าราชบุตรหนุ่มเพ่งความสนใจไปยังเรื่องปิ่นแก้วในมือ
“ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เถอะนะคะ ฉันถือว่าฉันได้ทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว และหมดหน้าที่แล้ว ฉันก็จะได้กลับบ้านของฉันเสียที” นาทีนี้กังสดาลได้บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เธอจึงไม่ใส่ใจอะไรอื่นอีก
“เจ้าคิดว่าจะไปง่ายๆ เช่นนี้รึ หากเรื่องที่เจ้าพูดไม่เป็นความจริง เราจะไปเอาความกับเจ้าได้จากที่ใด เจ้าเข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้กับเราแล้วจะจากไป ทิ้งความกังขาเอาไว้เช่นนี้ได้รึ” ชายหนุ่มแค่นเสียงถาม เจ้าของร่างบางถึงกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อเรื่องมันทำท่าจะยุ่งยากกว่าที่คิด
“แล้วท่านจะให้ฉันทำยังไงล่ะคะ ฉันไม่ใช่คนของที่นี่ และหน้าที่ของฉันมีเพียงแค่มาส่งปิ่นอันนี้ให้แก่ท่าน และฉันขอบอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยเถอะว่า ในยุคของฉันที่ทุกสิ่งทุกอย่างเจริญรุ่งเรือง ทุกเมือง ทุกประเทศสื่อสารกันได้แค่เพียงปลายนิ้วแตะ
“แต่ท่านเชื่ออะไรไหม? ไม่มีข้อมูลของเมืองท่านเลยแม้แต่น้อย นั่นมันก็หมายความว่าสีปันจาได้ล่มสลายไปแล้วจริงๆ จึงไม่มีอยู่ในยุคของฉัน” คำตอกย้ำนั้นทำให้เจ้าราชบุตรกับทหารคู่ใจหันมามองหน้ากันด้วยความตื่นตะลึง
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ทุกสิ่งทุกอย่างในสีปันจายังคงสงบสุข ร่มเย็น ยกเว้นเพียงแต่เจ้าหลวง... ” เตวินพูดยังไม่ทันจบ เจ้าราชบุตรก็แทรกขึ้น
“ช่างเรื่องนั้นเถิดเตวิน เอาเป็นว่าเราไม่ปักใจเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูด แล้วอย่าหวังว่าจะไปไหนได้ จนกว่าเจ้าจะพิสูจน์ให้เราเห็นว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง” ในตอนท้ายชายหนุ่มหันมายื่นคำขาดกับหญิงสาวแปลกหน้า ที่เบิกตากลมโตอย่างตกใจ
“อะไรนะ! จะบ้าเหรอไง มันเรื่องอะไรที่ฉันจะต้องยุ่งกับเรื่องของพวกท่านด้วยล่ะคะ ในเมื่อฉันก็ช่วยนำปิ่นแก้วมาส่งให้แล้วอย่างนี้” แล้วก็ตามมาด้วยเสียงโวยวาย ท่าทางเหมือนอยากจะตรงเข้าฟัดใครสักคนให้จมเขี้ยว แต่เจ้าราชบุตรหนุ่มกลับยักไหล่ไม่ยี่หระ
“เรื่องนั้นเราไม่รู้หรอก เรารู้แต่ว่าตอนนี้เจ้าจะไปไหนไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นเราจะไม่รับรองความปลอดภัยของเจ้า อ้อ... ตอนเย็นเจ้าจะต้องไปพบเจ้าย่าพร้อมกับเรา
“จงสงบปากสงบคำให้มากที่สุด หากเจ้าย่าหรือคนอื่นรู้ว่าเราเจอเจ้าได้อย่างไร ทุกคนต้องปักใจเชื่อว่าเจ้ามาจากเมืองสิขะปุระ และคงหนีไม่พ้นโดนเครื่องประหารเป็นแน่”
กังสดาลได้แต่อ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อว่าการทำดีจะกลับกลายมาเป็นความเดือดร้อนได้ขนาดนี้ ขณะเดียวกันนั้นเองเจ้าราชบุตรก็เก็บปิ่นแก้วอันนั้นเอาไว้ ก่อนจะก้าวออกไปจากห้องหับพร้อมคนสนิท
“อ๊ะ... เดี๋ยวสิเจ้าน้อยปิ่นเมือง ท่านจะทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้นะ... อีตาบ้า! ” หญิงสาวกำลังจะบริภาษอีกหลายคำ
แต่ต้องชะงักเมื่อประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง และมีหญิงสาวคนหนึ่ง ที่คงมีอายุมากกว่าเธอสักปีสองปีเห็นจะได้ แต่งตัวคล้ายกันกับบ่าวของเจ้านางผกายคำ โดยมีผ้าสีชมพูโพกศีรษะ ก้าวเข้ามาพร้อมถาดสำรับกับข้าว
“กินข้าวก่อนเถิดเจ้าแม่นาง ข้าเจ้าชื่อบัวนวล เจ้าน้อยสั่งให้ข้าเจ้านำข้าวปลาอาหารมาให้ท่าน แล้วก็อยู่เป็นเพื่อนท่านที่เรือนนี้ด้วยเจ้า”
“อีตาเจ้าน้อยนั่นคงให้บัวนวลมาคอยเฝ้าฉันล่ะสินะ” กังสดาลเปรยขึ้นอย่างฮึดฮัดขัดใจไม่หาย จนบ่าวที่ชื่อบัวนวลส่งยิ้มแหยๆ มาให้
“เอ่อ... จะว่าอย่างนั้นก็ได้เจ้า อย่าพึ่งพูดสิ่งใดเลย สายแล้วกินข้าวก่อนเถิดเจ้า”
*-*-*-*-*-*
ที่โถงเรือนเจ้าราชบุตรปิ่นเมือง ร่างสูงสง่านั่งอยู่บนตั่งไม้กลางห้อง โดยมีเตวินคนสนิทนั่งอยู่บนพื้นเพื่อรอรับใช้ตามปกติ
เจ้าของร่างงามสง่ามองปิ่นในมืออย่างครุ่นคิด ปิ่นทองคำที่มีดวงแก้วอัญมณีประดับอันนี้ดูแปลกแตกต่างจากที่เขาเคยเห็นมาทั้งชีวิต
แม้จะมีปิ่นรูปแบบคล้ายเจดีย์มากมาย แต่รายละเอียดการแกะสลักเสลาช่างประณีตแปลกตา แถมด้วยดวงแก้วที่ประดับประดาด้วยแล้ว ยิ่งไม่เคยผ่านตาเลยสักครั้ง
เจ้าน้อยนึกไปถึงวันที่เขาได้พูดคุยเรื่องอาการของเจ้าหลวงแสนเมืองจายผู้เป็นบิดา กับพ่อครูสิงห์แก้วอีกครั้ง ตอนหนึ่งพ่อครูได้เอ่ยถึงการล่มสลายของเมืองๆ หนึ่ง
‘เจ้าน้อยจำตำนานที่ทำนายถึงการล่มสลายของเมืองๆ หนึ่งได้ไหม’
‘เมืองแห่งความบาปมนต์ดำ จะกลืนกินเมืองแห่งศีลธรรมเรืองรุ่ง
ดวงเมืองเฟื่องฟุ้ง จักต่อชะตาเมืองที่ขาด
คือเหตุแห่งการล่มสลาย เมืองสูงส่งกลายเป็นฝุ่นผง
ดังความสว่างเสื่อมลง พ่ายแก่แสงแห่งความมืดดำ.’
‘พ่อครูตำนานที่เล่าขานกันมานี้ คือเวียงสีปันจาเช่นนั้นหรือ’ เจ้าราชบุตรแห่งเวียงสีปันจาถามขึ้น
‘ใช่แล้ว ทีแรกข้าก็ไม่คิดว่าจะเป็นจริง อย่างน้อยก็คงไม่ใช่ยุคสมัยของเจ้า แต่มันกำลังจะเกิดขึ้นเจ้าน้อย’ พ่อครูสิงห์แก้วบอกด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
‘มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วมีหนทางใดที่จะยับยั้งสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เล่าพ่อครู’
‘จงตั้งสติให้ดี ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักว่าจะเป็นเช่นไร และกำลังพยายามหาทางช่วยอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าจงทำทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด จงใช้สติปัญญา และพละกำลังที่เจ้ามีให้เป็นประโยชน์ที่สุด”
ถ้อยคำของพ่อครูสิงห์แก้วยังก้องอยู่ในหัว คราวนั้นพ่อครูได้บอกกับเขาเพียงคนเดียว ก่อนที่จะบอกถึงสาเหตุการล้มป่วยของเจ้าหลวงแสนเมืองจายในครั้งนี้ และวิธีการรักษาที่ชายหนุ่มไม่เข้าใจ จนกระทั่งตอนนี้
‘เจ้ากลับไปดูแลเจ้าพ่อของเจ้าก่อนเถิด หากหนทางใดสามารถรักษาเจ้าพ่อของเจ้าได้ มันจะปรากฏตรงหน้าเจ้า จงมองให้เห็นแล้วเปิดใจรับ มันจะยิ่งใหญ่กว่ามนตราใดๆ อย่างที่เจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน
‘มันคือความรัก จิตวิญญาณของบรรพบุรุษของเจ้านั่นเอง ที่จะปกป้อง คุ้มครองตัวเจ้า ครอบครัวเจ้า ประชาชน บ้านเมืองของเจ้า จงจำเอาไว้’
หรือนี่จะเป็นสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์ของเขาได้บอกกล่าวเอาไว้ เพราะเหตุนี้เจ้าราชบุตรหนุ่มจึงไม่ได้ตื่นตกใจกับสิ่งที่หญิงสาวแปลกหน้าบอกเท่าคนสนิท
และเขาก็ให้ความสนใจกับปิ่นแก้วที่หญิงสาวนำมามากกว่า แม้เรื่องมันจะดูเป็นไปได้ยากยิ่งนัก  แต่เขาก็แอบหวังอยู่ในใจ เพราะมันดูสอดคล้องกันอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
“คิดสิ่งใดอยู่หรือเจ้า เจ้าน้อย” เตวินที่มองท่าทางครุ่นคิดของเจ้าเหนือหัวมาได้สักครู่เอ่ยถามขึ้น
“เราไม่เคยเห็นปิ่นแก้วนครามาก่อน และเราก็ไม่รู้ว่าจะใช่สิ่งที่พ่อครูบอกหรือไม่” เจ้าราชบุตรหนุ่มตอบ สายตายังคงจับจ้องปิ่นแก้วในมืออย่างเพ่งพิจารณา
“พ่อครูได้บอกสิ่งใดกับเจ้าน้อยหรือเจ้า แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับปิ่นแก้วหรือแม่นางคนนี้” เตวินรู้สึกได้ว่าเจ้านายเหนือหัวของตนมีบางสิ่งบางอย่างที่ยังไม่เข้าใจ และได้เก็บงำเอาไว้คนเดียว
“เราไม่แน่ใจหรอกเตวิน” เจ้าน้อยปิ่นเมืองกล่าว แล้วจึงได้เล่าเรื่องที่คุยกับพ่อครูสิงห์แก้วให้คนสนิทฟัง
ความที่เป็นคนสนิทเจ้าราชบุตรมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไร เตวินกับนันตามักติดสอยห้อยตามเจ้าน้อยเสมอ รวมทั้งการไปใช้ชีวิตในต่างบ้านต่างเมืองด้วย ทั้งสามเติบโตมาด้วยกัน จึงเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน
ต่างก็รับรู้ทุกเรื่องในชีวิตของกันและกัน นอกเหนือจากการเป็นคนติดตามผู้จงรักภักดี ทั้งเตวินและนันตาจึงเป็นเสมือนพี่น้อง เพื่อนสนิทของเจ้าราชบุตรหนุ่มไปในตัวด้วย การปรึกษาหารือกันถึงเรื่องราวต่างๆ จึงเป็นสิ่งปกติธรรมดา
“แม้ที่มาที่ไปและท่าทีของแม่ญิงคนนี้จะแปลกประหลาดนัก แต่ข้าน้อยก็รู้สึกว่านางมิได้คิดร้ายต่อพวกเราแต่อย่างใด ทั้งคำพูดและแววตาของนางดูไม่มีเล่ห์กลอันใดเลยนะเจ้า” เตวินออกความคิดเห็นหลังจากฟังเรื่องราวต่างๆ จากเจ้านายจบลง
“เรื่องนั้นเราก็รู้สึกได้เช่นกัน แต่มันก็แปลกประหลาดเกินไป เพื่อให้ทุกอย่างกระจ่างเราควรจะหาที่มาที่ไปของปิ่นอันนี้ รวมทั้งที่มาที่ไปของแม่ญิงคนนี้ด้วย” จากนั้นเจ้าน้อยปิ่นเมืองจึงได้สั่งการให้คนสนิทออกหาเบาะแสของปิ่นและผู้หญิงแปลกประหลาดคนนี้ในทันที
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่