พอบ่าวทั้งสองออกไปจากห้องแล้ว เจ้าน้อยปิ่นเมืองก็สาวเท้าเข้าไป
ยังเตียงกลางห้อง ทรุดกายนั่งลงข้างเตียง ท่ามกลางแสงละมุนของเทียนไขที่จุดไว้บนเชิงเทียนทรงสูงข้างหัวนอน เขาทอดสายตามองใบหน้าใส ที่มาเวลานี้ได้รับการชำระจนสะอาดสะอ้านแล้วอย่างสงสัย
แม่ญิงคนนี้เป็นใครกัน? เจ้าราชบุตรแห่งเวียงสีปันจาตั้งคำถามกับตัวเอง ดูผาดๆ นางช่างแตกต่างจากผู้หญิงสีปันจาและผู้หญิงบ้านพี่เมืองน้องที่เขาเคยพบเจอยิ่งนัก ผิวพรรณขาวนวลเนียน หน้าตาแม้จะดูแปลกตาแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่างดงามนัก
ดวงหน้านั้นประดับไปด้วยคิ้วเรียวได้รูป พาดผ่านบนดวงตาคู่ที่ปิดสนิท ขนตายาวงอนจนน่าไล้มือเล่น หากจมูกเล็กนั้นก็ดูโด่งรั้น รับกับริมฝีปากสีระเรื่อ ที่มาตอนนี้ตรงมุมปากปรากฏรอยช้ำชัดเจน อีกทั้งแก้มเนียนก็ปรากฏรอยแดงเป็นปื้นเช่นกัน
และโดยไม่รู้ตัว มือหนาเอื้อมไปแตะรอยช้ำตรงมุมปาก ไล้ผ่านมายังแก้มเนียนนุ่มแผ่วเบา ราวกับสัมผัสนั้นของเขาจะสามารถทำให้ร่องรอยฟกช้ำเหล่านั้นหายไปได้กระนั้น ดวงตาคมกล้าทอประกายอ่อนแสงลง ริมฝีปากหยักลึกคลี่ยิ้มบางอย่างเผลอไผล
แต่ทว่า... สัมผัสนั้นกลับทำให้เจ้าของร่างที่กำลังหลับใหลสะดุ้งตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตเบิกกว้างขณะสบกับดวงตาคู่คมของชายหนุ่ม
“ว้าย!! คุณเป็นใคร จะทำอะไรฉัน อย่านะ ไอ้บ้า!! ” หญิงสาวกรีดร้องขึ้น พร้อมกับผลักร่างสูงจนผงะไปข้างหลัง
“เดี๋ยว... เจ้า!! ” เจ้าน้อยปิ่นเมืองพูดออกมาได้เพียงแค่นั้น ก็ต้องรีบตวัดเอาร่างบางที่กำลังจะลุกขึ้นเอาไว้
“ปล่อยฉันนะ! ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต แกจะทำอะไรฉัน ปล่อยๆๆๆ ” แล้วเสียงโวยวายสูงปรี๊ดก็แปรเปลี่ยนเป็นอู้อี้ในทันทีที่ปากถูกปิดไว้ด้วยมือใหญ่ ร่างบางยังพยายามดิ้นรนอย่างไม่ยอมแพ้
“หยุดตะเบ็งเสียงแสบแก้วหูได้แล้ว แล้วก็เลิกดิ้นรนเสียที หากเจ้าไม่หยุดเราจะรัดเจ้าให้ขาดใจตายเลยทีเดียว” ไม่พูดเปล่า แต่ชายหนุ่มรัดร่างที่ดิ้นขลุกขลักแน่นขึ้นเป็นการยืนยันว่าเอาจริง ส่งผลให้คนดิ้นถึงกับชะงักในทันที
“ฉะ...ฉันหยุดก็ได้ ปล่อยก่อนได้ไหม ฉันหายใจไม่ออก” หญิงสาวพยายามอุทธรณ์เสียงหอบ
เจ้าราชบุตรหนุ่มจึงคลายอ้อมกอดออก แต่ก็เพียงเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายหายใจคล่องขึ้นเท่านั้น ภาษาที่ผู้หญิงคนนี้ใช้เขาพอฟังเข้าใจได้ แต่ที่ไม่ค่อยเข้าใจก็เห็นจะเป็นบางถ้อยคำที่นางสาดออกมา แต่ก็พอเดาจากท่าทีได้ว่าต้องมิใช่คำสรรเสริญเป็นแน่
ชายหนุ่มทอดถอนใจ ด้วยเห็นเค้าของความยุ่งยากขึ้นมารางๆ ใครจะรู้ว่าได้สติขึ้นมาแล้วฤทธิ์จะมากถึงเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นเขาแอบเอามืออุดจมูกให้สิ้นใจไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว หรือไม่อีกทีปล่อยให้ชาวบ้านรุมสกรัมให้สิ้นใจตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง เจ้าราชบุตรคิดอย่างใจร้าย
“เอาล่ะ จงบอกมาซิว่าเจ้าเป็นใคร มาจากที่ใด เหตุใดจึงพูดสำเนียงแปลกแปร่งเช่นนี้” เจ้าน้อยปิ่นเมืองจ้องดวงตาคู่กลมโตอย่างค้นคว้า ขณะที่เจ้าของร่างบางนิ่งอึ้งไป
กังสดาลสบตาคู่คมกล้าของอีกฝ่ายด้วยความหวาดหวั่น ไหนจะตระหนักถึงสภาพของตัวเองในตอนนี้ที่กำลังหมดท่าอยู่ในอ้อมกอดของเขา แล้วยังจะท่าทางจริงจังนั้นด้วย ที่สำคัญหญิงสาวเริ่มตระหนักได้ว่าตัวเองยังอยู่ในเวียงสีปันจาแน่ๆ
เนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเล่นเอาเธอต้องเจ็บตัว เจ็บใจ ส่งผลให้กังสดาลไม่กล้าพูดความจริงออกไปในตอนนี้ โดยเฉพาะต่อหน้าใครก็ไม่รู้ เธอไม่อยากเสี่ยงเจ็บตัวอีกแล้ว
“หรือเจ้ามาจากเมืองสิขะปุระจริงๆ ” คงเห็นเจ้าของร่างบางนิ่งเงียบผิดปกติ เจ้าราชบุตรหนุ่มจึงเอ่ยถามอีก พร้อมกับหรี่ตาอย่างจ้องจับผิดเต็มที่ แต่เจ้าของดวงหน้างามกลับส่ายหน้าโดยเร็ว
“ฉันไม่ได้รู้จักเมืองที่คุณ เอ๊ย! ท่านว่าสักนิด ฉันไม่ใช่คนที่นั่น แล้วก็ไม่ใช่คนที่นี่ด้วย” คำตอบของเธอสร้างความแปลกใจให้กับเจ้าของดวงหน้าคมคายจนคิ้วหนาขมวดมุ่น
“จะพูดยังไงดี คือ... ฉันมาจากที่ๆ ท่านไม่รู้จัก แต่ไม่ใช่เมืองสิขะอะไรนั่นแน่นอน” หญิงสาวพยายามจะอธิบายและปฏิเสธอย่างสุดความสามารถ
ด้วยนึกรู้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่าเมืองชื่อ ‘สิขะปุระ’ นี้เป็นภัยอันใหญ่หลวงต่อตัวเอง เธอจะไม่มีวันเอาตัวไปพัวพันด้วยเป็นแน่
“เช่นนั้นรึ เราได้ยินมาว่าเจ้าต้องการพบเจ้าน้อยปิ่นเมืองแห่งเวียง
สีปันจาใช่หรือไม่ เจ้ามีกิจอันใดหรือ” ชายหนุ่มหรี่ตามองคนในอ้อมกอดอย่างค้นคว้าอีกครั้ง
“ฉันจะคุยกับตัวเจ้าน้อยเองเท่านั้น จะไม่คุยกับคนอื่นอีกแล้ว” ท้ายประโยคกังสดาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นระคนเหนื่อยหน่าย
“ถ้าเช่นนั้น หากเราบอกว่า เราคือเจ้าน้อยแห่งเวียงสีปันจาเล่า เจ้าพอจะเอ่ยธุระของเจ้ามาได้หรือยัง” ถ้อยคำของเขา ทำให้คราวนี้หญิงสาวต้องเป็นฝ่ายหรี่ตามองคนตัวโต ที่ยังตะกองกอดตัวเองอยู่อย่างประเมินเต็มที่
แต่ก็พบเพียงดวงตาจริงจัง และรอยยิ้มน้อยๆ ที่แต้มมุมปากของอีกฝ่าย ดวงหน้าเรียวของเขาไม่ได้ขาวจัดจนซีด แต่ขาวพอประมาณทำให้ดูคมคาย คิ้วหนาโก่งรับกับดวงตาคมกล้าเป็นประกาย จมูกโด่งสวย และริมฝีปากบนหยักลึกรับกับริมฝีปากล่างที่ค่อนข้างหนา แต่พอรวมกันแล้วกลับได้รูปสวยราวกับปากผู้หญิง
แม้รอยแย้มยิ้มเพียงบางๆ ก็ทำให้คนมองถึงกับหายใจสะดุดได้ ยิ่งสบตาคู่คมที่จ้องมองมาอย่างไม่ยอมหลบนั้นเข้าด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้กังสดาลหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้
“ว่าอย่างไร เจ้าเชื่อแล้วใช่หรือไม่ว่าเราคือเจ้าราชบุตรปิ่นเมือง” เสียงของชายหนุ่มทำให้สติของกังสดาลกลับคืนมา สมองประมวลผลเร็วรี่
จะว่าไปหน้าตา ผิวพรรณและท่าทางของเขาก็น่าเชื่อถือดีอยู่หรอก อีกทั้งการแต่งกายก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดูต่างจากชาวบ้านธรรมดาที่เธอเคยเห็น ด้วยสวมเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลเข้ม ทับกับด้านในที่เป็นเสื้อตัวยาวสีขาว โพกศีรษะและคาดเอวด้วยผ้าสีน้ำตาลเข้ม ดูเป็นกิจจะลักษณะ
แต่ทว่าเหตุการณ์ชุลมุนที่เกิดขึ้นกับเธอจนทำให้ต้องมาซุกตัวอยู่ที่นี่พร้อมร่างกายฟกช้ำดำเขียว ทำให้หญิงสาวต้องขับไล่ความคิดคล้อยตามออกไปจากหัวอย่างรวดเร็ว
“จ้างให้ก็ไม่เชื่อ ถ้าท่านเป็นเจ้าน้อยนะ ฉันก็คงเป็นเจ้านางแล้วล่ะ” กังสดาลรีบปฏิเสธแกมประชด คนเราไม่ควรมองหรือตัดสินกันแต่เพียงหน้าตา ผิวพรรณภายนอก ถ้าไม่อยากตายอยู่ที่เวียงสีปันจานี้ เธอตอกย้ำกับตัวเองอีกครั้ง
“เจ้าว่ากระไรนะ” ใบหน้าหล่อคมคายนั้นฉายแววงงงันกับสิ่งที่เธอพูด
“เอาตรงๆ เลยนะ แม้ท่านจะหล่อดูดีมีสง่าราศีขนาดไหน แต่ขอโทษ... ฉันโดนจนอ่วมไปทั้งตัวแบบนี้ถ้ายอมเชื่อท่านง่ายๆ ก็คงไม่ใช่ยัยกั้งแล้ว” หญิงสาวพยายามอธิบาย แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
“เจ้านี่พูดจาพิลึกแท้ แต่ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด เจ้าคงไม่ยอมเชื่อสิ่งที่เราพูดใช่ไหม”
“แหงอยู่แล้ว” กังสดาลเชิดหน้าตอบ แต่พอเห็นใบหน้าที่แสดงถึงความฉงนของอีกฝ่ายอีกครั้ง จึงรีบอธิบายต่อ
“ฉันหมายความว่าฉันไม่เชื่อที่ท่านพูด และไม่ว่ายังไงฉันก็จะหาทางไปเจอเจ้าน้อยปิ่นเมืองให้ได้ ปล่อยฉันได้แล้ว” แล้วสั่งในตอนท้าย
ยิ่งอยู่ในอ้อมกอดนี้นานเท่าไหร่ ความคิดของกังสดาลก็คอยแต่จะเตลิดไปถึงไหนต่อไหน ก็ในชีวิตสาวเคยถูกผู้ชายแตะเนื้อต้องตัวถึงเพียงนี้ที่ไหนกันเล่า
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามแต่ใจเจ้า” ว่าแล้วเขาก็ปล่อยร่างบางออกจากอ้อมกอด แล้วจึงลุกขึ้นเต็มความสูง
“แต่นี่เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะคิดทำการใดก็รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเถิด ตอนนี้เจ้าจงพักอยู่ที่นี่และอย่าได้ออกไปนอกเขตห้องนี้โดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเราจะไม่รับรองความปลอดภัยของเจ้า” เจ้าของร่างสูงสง่าทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น ราวกับล่วงรู้ถึงความคิดคำนึงของเธอ
ก่อนจะดับตะเกียงและเทียนบางส่วน จนเหลือเพียงเทียนบนเชิงเทียนสูงข้างหัวนอนเพียงเล่มเดียว แล้วจึงก้าวออกจากห้องหับไป
กังสดาลถอนหายใจหนักหน่วง มองตามบานประตูที่ปิดลง แน่นอนล่ะ... ว่าเธอไม่เชื่อเขาเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวจึงลุกขึ้นจากเตียง แม้ร่างกายจะมีความเจ็บและปวดเมื่อยอยู่ แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็มีมากกว่า
เจ้าของร่างบางค่อยๆ สาวเท้าไปยังริมหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ แต่ก็เห็นเพียงแสงสว่างจากคบไฟซึ่งจุดขับไล่ความมืดอยู่รายรอบเรือน แถมยังมีชายฉกรรจ์หลายคนถือดาบยาวปลายโค้งเดินไปมาเพื่อเฝ้าเวรยามอีกต่างหาก
ท่าทางอีตานี่จะไม่ธรรมดาแฮะ แต่ตอนนี้จะทำอะไรได้ล่ะ ทั้งมืด ทั้งเวรยามหนาแน่นขนาดนี้ กังสดาลได้แต่ยืนคอตก อยากให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเพียงความฝันเหลือเกิน
ท่ามกลางแสงไฟจากเทียนเพียงเล่มเดียวที่ส่องสว่าง หญิงสาวมองเห็นชุดนอนตัวโปรดที่ใส่มาวางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียง กังสดาลรีบไปฉวยมันขึ้นมา ก่อนก้มลงสำรวจสภาพตัวเอง
ตอนนี้เธอสวมเสื้อแขนยาวสีทึม คอป้าย ติดกระดุมผ้าด้านข้างตรงเอวให้กระชับกับลำตัว และสวมผ้าซิ่นทอลายขวางสลับสียาวกรอมเท้า ที่ยึดไว้ด้วยเข็มขัดเงินเส้นเล็กๆ
แล้วปิ่นล่ะ? หญิงสาวรีบค้นกระเป๋าชุดนอนที่ใส่มา ก็พบว่ามันยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม และยังคงรู้สึกถึงพลังเชื่อมโยงของมันอยู่ แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น และมันคงรอเวลาที่จะกลับไปสู่เจ้าของที่แท้จริงสินะ นั่นเป็นภารกิจที่เธอต้องทำให้สำเร็จลุล่วง หญิงสาวคิดพลางซุกปิ่นทองคำอันนั้นเอาไว้ใต้หมอน
แม้สิ่งที่ปะติดปะต่อกันได้จะตอกย้ำให้รู้ว่าทุกสิ่งที่เธอกำลังเผชิญคือความจริง แต่ถึงกระนั้นคนที่ไม่อยากยอมรับความจริงก็ยังสะบัดหัว พยายามขับไล่ความฟุ้งซ่านต่างๆ
ก่อนล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ด้วยความหวังว่าพรุ่งนี้เธอจะตื่นขึ้นมาในห้องนอนสีชมพูของตัวเอง และเจอพี่ชายกับครอบครัวที่ร้านลายครามตามปกติเช่นทุกที
ปิ่นแก้วนครา ตอน สร้อยแสงดา (1) โดย พิริตา
ยังเตียงกลางห้อง ทรุดกายนั่งลงข้างเตียง ท่ามกลางแสงละมุนของเทียนไขที่จุดไว้บนเชิงเทียนทรงสูงข้างหัวนอน เขาทอดสายตามองใบหน้าใส ที่มาเวลานี้ได้รับการชำระจนสะอาดสะอ้านแล้วอย่างสงสัย
แม่ญิงคนนี้เป็นใครกัน? เจ้าราชบุตรแห่งเวียงสีปันจาตั้งคำถามกับตัวเอง ดูผาดๆ นางช่างแตกต่างจากผู้หญิงสีปันจาและผู้หญิงบ้านพี่เมืองน้องที่เขาเคยพบเจอยิ่งนัก ผิวพรรณขาวนวลเนียน หน้าตาแม้จะดูแปลกตาแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่างดงามนัก
ดวงหน้านั้นประดับไปด้วยคิ้วเรียวได้รูป พาดผ่านบนดวงตาคู่ที่ปิดสนิท ขนตายาวงอนจนน่าไล้มือเล่น หากจมูกเล็กนั้นก็ดูโด่งรั้น รับกับริมฝีปากสีระเรื่อ ที่มาตอนนี้ตรงมุมปากปรากฏรอยช้ำชัดเจน อีกทั้งแก้มเนียนก็ปรากฏรอยแดงเป็นปื้นเช่นกัน
และโดยไม่รู้ตัว มือหนาเอื้อมไปแตะรอยช้ำตรงมุมปาก ไล้ผ่านมายังแก้มเนียนนุ่มแผ่วเบา ราวกับสัมผัสนั้นของเขาจะสามารถทำให้ร่องรอยฟกช้ำเหล่านั้นหายไปได้กระนั้น ดวงตาคมกล้าทอประกายอ่อนแสงลง ริมฝีปากหยักลึกคลี่ยิ้มบางอย่างเผลอไผล
แต่ทว่า... สัมผัสนั้นกลับทำให้เจ้าของร่างที่กำลังหลับใหลสะดุ้งตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตเบิกกว้างขณะสบกับดวงตาคู่คมของชายหนุ่ม
“ว้าย!! คุณเป็นใคร จะทำอะไรฉัน อย่านะ ไอ้บ้า!! ” หญิงสาวกรีดร้องขึ้น พร้อมกับผลักร่างสูงจนผงะไปข้างหลัง
“เดี๋ยว... เจ้า!! ” เจ้าน้อยปิ่นเมืองพูดออกมาได้เพียงแค่นั้น ก็ต้องรีบตวัดเอาร่างบางที่กำลังจะลุกขึ้นเอาไว้
“ปล่อยฉันนะ! ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต แกจะทำอะไรฉัน ปล่อยๆๆๆ ” แล้วเสียงโวยวายสูงปรี๊ดก็แปรเปลี่ยนเป็นอู้อี้ในทันทีที่ปากถูกปิดไว้ด้วยมือใหญ่ ร่างบางยังพยายามดิ้นรนอย่างไม่ยอมแพ้
“หยุดตะเบ็งเสียงแสบแก้วหูได้แล้ว แล้วก็เลิกดิ้นรนเสียที หากเจ้าไม่หยุดเราจะรัดเจ้าให้ขาดใจตายเลยทีเดียว” ไม่พูดเปล่า แต่ชายหนุ่มรัดร่างที่ดิ้นขลุกขลักแน่นขึ้นเป็นการยืนยันว่าเอาจริง ส่งผลให้คนดิ้นถึงกับชะงักในทันที
“ฉะ...ฉันหยุดก็ได้ ปล่อยก่อนได้ไหม ฉันหายใจไม่ออก” หญิงสาวพยายามอุทธรณ์เสียงหอบ
เจ้าราชบุตรหนุ่มจึงคลายอ้อมกอดออก แต่ก็เพียงเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายหายใจคล่องขึ้นเท่านั้น ภาษาที่ผู้หญิงคนนี้ใช้เขาพอฟังเข้าใจได้ แต่ที่ไม่ค่อยเข้าใจก็เห็นจะเป็นบางถ้อยคำที่นางสาดออกมา แต่ก็พอเดาจากท่าทีได้ว่าต้องมิใช่คำสรรเสริญเป็นแน่
ชายหนุ่มทอดถอนใจ ด้วยเห็นเค้าของความยุ่งยากขึ้นมารางๆ ใครจะรู้ว่าได้สติขึ้นมาแล้วฤทธิ์จะมากถึงเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นเขาแอบเอามืออุดจมูกให้สิ้นใจไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว หรือไม่อีกทีปล่อยให้ชาวบ้านรุมสกรัมให้สิ้นใจตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง เจ้าราชบุตรคิดอย่างใจร้าย
“เอาล่ะ จงบอกมาซิว่าเจ้าเป็นใคร มาจากที่ใด เหตุใดจึงพูดสำเนียงแปลกแปร่งเช่นนี้” เจ้าน้อยปิ่นเมืองจ้องดวงตาคู่กลมโตอย่างค้นคว้า ขณะที่เจ้าของร่างบางนิ่งอึ้งไป
กังสดาลสบตาคู่คมกล้าของอีกฝ่ายด้วยความหวาดหวั่น ไหนจะตระหนักถึงสภาพของตัวเองในตอนนี้ที่กำลังหมดท่าอยู่ในอ้อมกอดของเขา แล้วยังจะท่าทางจริงจังนั้นด้วย ที่สำคัญหญิงสาวเริ่มตระหนักได้ว่าตัวเองยังอยู่ในเวียงสีปันจาแน่ๆ
เนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเล่นเอาเธอต้องเจ็บตัว เจ็บใจ ส่งผลให้กังสดาลไม่กล้าพูดความจริงออกไปในตอนนี้ โดยเฉพาะต่อหน้าใครก็ไม่รู้ เธอไม่อยากเสี่ยงเจ็บตัวอีกแล้ว
“หรือเจ้ามาจากเมืองสิขะปุระจริงๆ ” คงเห็นเจ้าของร่างบางนิ่งเงียบผิดปกติ เจ้าราชบุตรหนุ่มจึงเอ่ยถามอีก พร้อมกับหรี่ตาอย่างจ้องจับผิดเต็มที่ แต่เจ้าของดวงหน้างามกลับส่ายหน้าโดยเร็ว
“ฉันไม่ได้รู้จักเมืองที่คุณ เอ๊ย! ท่านว่าสักนิด ฉันไม่ใช่คนที่นั่น แล้วก็ไม่ใช่คนที่นี่ด้วย” คำตอบของเธอสร้างความแปลกใจให้กับเจ้าของดวงหน้าคมคายจนคิ้วหนาขมวดมุ่น
“จะพูดยังไงดี คือ... ฉันมาจากที่ๆ ท่านไม่รู้จัก แต่ไม่ใช่เมืองสิขะอะไรนั่นแน่นอน” หญิงสาวพยายามจะอธิบายและปฏิเสธอย่างสุดความสามารถ
ด้วยนึกรู้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่าเมืองชื่อ ‘สิขะปุระ’ นี้เป็นภัยอันใหญ่หลวงต่อตัวเอง เธอจะไม่มีวันเอาตัวไปพัวพันด้วยเป็นแน่
“เช่นนั้นรึ เราได้ยินมาว่าเจ้าต้องการพบเจ้าน้อยปิ่นเมืองแห่งเวียง
สีปันจาใช่หรือไม่ เจ้ามีกิจอันใดหรือ” ชายหนุ่มหรี่ตามองคนในอ้อมกอดอย่างค้นคว้าอีกครั้ง
“ฉันจะคุยกับตัวเจ้าน้อยเองเท่านั้น จะไม่คุยกับคนอื่นอีกแล้ว” ท้ายประโยคกังสดาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นระคนเหนื่อยหน่าย
“ถ้าเช่นนั้น หากเราบอกว่า เราคือเจ้าน้อยแห่งเวียงสีปันจาเล่า เจ้าพอจะเอ่ยธุระของเจ้ามาได้หรือยัง” ถ้อยคำของเขา ทำให้คราวนี้หญิงสาวต้องเป็นฝ่ายหรี่ตามองคนตัวโต ที่ยังตะกองกอดตัวเองอยู่อย่างประเมินเต็มที่
แต่ก็พบเพียงดวงตาจริงจัง และรอยยิ้มน้อยๆ ที่แต้มมุมปากของอีกฝ่าย ดวงหน้าเรียวของเขาไม่ได้ขาวจัดจนซีด แต่ขาวพอประมาณทำให้ดูคมคาย คิ้วหนาโก่งรับกับดวงตาคมกล้าเป็นประกาย จมูกโด่งสวย และริมฝีปากบนหยักลึกรับกับริมฝีปากล่างที่ค่อนข้างหนา แต่พอรวมกันแล้วกลับได้รูปสวยราวกับปากผู้หญิง
แม้รอยแย้มยิ้มเพียงบางๆ ก็ทำให้คนมองถึงกับหายใจสะดุดได้ ยิ่งสบตาคู่คมที่จ้องมองมาอย่างไม่ยอมหลบนั้นเข้าด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้กังสดาลหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้
“ว่าอย่างไร เจ้าเชื่อแล้วใช่หรือไม่ว่าเราคือเจ้าราชบุตรปิ่นเมือง” เสียงของชายหนุ่มทำให้สติของกังสดาลกลับคืนมา สมองประมวลผลเร็วรี่
จะว่าไปหน้าตา ผิวพรรณและท่าทางของเขาก็น่าเชื่อถือดีอยู่หรอก อีกทั้งการแต่งกายก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดูต่างจากชาวบ้านธรรมดาที่เธอเคยเห็น ด้วยสวมเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลเข้ม ทับกับด้านในที่เป็นเสื้อตัวยาวสีขาว โพกศีรษะและคาดเอวด้วยผ้าสีน้ำตาลเข้ม ดูเป็นกิจจะลักษณะ
แต่ทว่าเหตุการณ์ชุลมุนที่เกิดขึ้นกับเธอจนทำให้ต้องมาซุกตัวอยู่ที่นี่พร้อมร่างกายฟกช้ำดำเขียว ทำให้หญิงสาวต้องขับไล่ความคิดคล้อยตามออกไปจากหัวอย่างรวดเร็ว
“จ้างให้ก็ไม่เชื่อ ถ้าท่านเป็นเจ้าน้อยนะ ฉันก็คงเป็นเจ้านางแล้วล่ะ” กังสดาลรีบปฏิเสธแกมประชด คนเราไม่ควรมองหรือตัดสินกันแต่เพียงหน้าตา ผิวพรรณภายนอก ถ้าไม่อยากตายอยู่ที่เวียงสีปันจานี้ เธอตอกย้ำกับตัวเองอีกครั้ง
“เจ้าว่ากระไรนะ” ใบหน้าหล่อคมคายนั้นฉายแววงงงันกับสิ่งที่เธอพูด
“เอาตรงๆ เลยนะ แม้ท่านจะหล่อดูดีมีสง่าราศีขนาดไหน แต่ขอโทษ... ฉันโดนจนอ่วมไปทั้งตัวแบบนี้ถ้ายอมเชื่อท่านง่ายๆ ก็คงไม่ใช่ยัยกั้งแล้ว” หญิงสาวพยายามอธิบาย แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
“เจ้านี่พูดจาพิลึกแท้ แต่ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด เจ้าคงไม่ยอมเชื่อสิ่งที่เราพูดใช่ไหม”
“แหงอยู่แล้ว” กังสดาลเชิดหน้าตอบ แต่พอเห็นใบหน้าที่แสดงถึงความฉงนของอีกฝ่ายอีกครั้ง จึงรีบอธิบายต่อ
“ฉันหมายความว่าฉันไม่เชื่อที่ท่านพูด และไม่ว่ายังไงฉันก็จะหาทางไปเจอเจ้าน้อยปิ่นเมืองให้ได้ ปล่อยฉันได้แล้ว” แล้วสั่งในตอนท้าย
ยิ่งอยู่ในอ้อมกอดนี้นานเท่าไหร่ ความคิดของกังสดาลก็คอยแต่จะเตลิดไปถึงไหนต่อไหน ก็ในชีวิตสาวเคยถูกผู้ชายแตะเนื้อต้องตัวถึงเพียงนี้ที่ไหนกันเล่า
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามแต่ใจเจ้า” ว่าแล้วเขาก็ปล่อยร่างบางออกจากอ้อมกอด แล้วจึงลุกขึ้นเต็มความสูง
“แต่นี่เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะคิดทำการใดก็รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเถิด ตอนนี้เจ้าจงพักอยู่ที่นี่และอย่าได้ออกไปนอกเขตห้องนี้โดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเราจะไม่รับรองความปลอดภัยของเจ้า” เจ้าของร่างสูงสง่าทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น ราวกับล่วงรู้ถึงความคิดคำนึงของเธอ
ก่อนจะดับตะเกียงและเทียนบางส่วน จนเหลือเพียงเทียนบนเชิงเทียนสูงข้างหัวนอนเพียงเล่มเดียว แล้วจึงก้าวออกจากห้องหับไป
กังสดาลถอนหายใจหนักหน่วง มองตามบานประตูที่ปิดลง แน่นอนล่ะ... ว่าเธอไม่เชื่อเขาเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวจึงลุกขึ้นจากเตียง แม้ร่างกายจะมีความเจ็บและปวดเมื่อยอยู่ แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็มีมากกว่า
เจ้าของร่างบางค่อยๆ สาวเท้าไปยังริมหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ แต่ก็เห็นเพียงแสงสว่างจากคบไฟซึ่งจุดขับไล่ความมืดอยู่รายรอบเรือน แถมยังมีชายฉกรรจ์หลายคนถือดาบยาวปลายโค้งเดินไปมาเพื่อเฝ้าเวรยามอีกต่างหาก
ท่าทางอีตานี่จะไม่ธรรมดาแฮะ แต่ตอนนี้จะทำอะไรได้ล่ะ ทั้งมืด ทั้งเวรยามหนาแน่นขนาดนี้ กังสดาลได้แต่ยืนคอตก อยากให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเพียงความฝันเหลือเกิน
ท่ามกลางแสงไฟจากเทียนเพียงเล่มเดียวที่ส่องสว่าง หญิงสาวมองเห็นชุดนอนตัวโปรดที่ใส่มาวางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียง กังสดาลรีบไปฉวยมันขึ้นมา ก่อนก้มลงสำรวจสภาพตัวเอง
ตอนนี้เธอสวมเสื้อแขนยาวสีทึม คอป้าย ติดกระดุมผ้าด้านข้างตรงเอวให้กระชับกับลำตัว และสวมผ้าซิ่นทอลายขวางสลับสียาวกรอมเท้า ที่ยึดไว้ด้วยเข็มขัดเงินเส้นเล็กๆ
แล้วปิ่นล่ะ? หญิงสาวรีบค้นกระเป๋าชุดนอนที่ใส่มา ก็พบว่ามันยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม และยังคงรู้สึกถึงพลังเชื่อมโยงของมันอยู่ แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น และมันคงรอเวลาที่จะกลับไปสู่เจ้าของที่แท้จริงสินะ นั่นเป็นภารกิจที่เธอต้องทำให้สำเร็จลุล่วง หญิงสาวคิดพลางซุกปิ่นทองคำอันนั้นเอาไว้ใต้หมอน
แม้สิ่งที่ปะติดปะต่อกันได้จะตอกย้ำให้รู้ว่าทุกสิ่งที่เธอกำลังเผชิญคือความจริง แต่ถึงกระนั้นคนที่ไม่อยากยอมรับความจริงก็ยังสะบัดหัว พยายามขับไล่ความฟุ้งซ่านต่างๆ
ก่อนล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ด้วยความหวังว่าพรุ่งนี้เธอจะตื่นขึ้นมาในห้องนอนสีชมพูของตัวเอง และเจอพี่ชายกับครอบครัวที่ร้านลายครามตามปกติเช่นทุกที