เจ้าของร่างบางยืนเคว้งอยู่ในห้อง ภายในเรือนของเจ้าน้อยปิ่นเมือง ไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตกลงเจ้าน้อยปิ่นเมืองจะให้เธอไปอยู่ที่เรือนของเจ้าย่าของเขาจริงๆ อย่างนั้นหรือ?
ใจหญิงสาวไม่อยากไปเลยสักนิด กังสดาลไม่ต้องการปรากฏตัว ให้เป็นที่รู้จักของใครๆ ไม่อยากข้องเกี่ยวกับใคร เพราะอีกไม่นานเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเธอก็ต้องไปจากที่นี่ ไม่มีอะไรต้องคุ้นเคยหรือผูกพันกัน
หญิงสาวคิดว่าถึงยังไงก็จะไม่ยอมไปเด็ดขาด และจะต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง แต่ป่านนี้ตัวการของเรื่องก็ยังไม่ยอมกลับมา ไม่รู้ไปไหน
“แม่นางสร้อยแสงดา เป็นอย่างไรบ้างเจ้า เทวีเจ้าตนย่าว่าอย่างไรบ้างเจ้า” บัวนวลซึ่งนั่งอยู่ข้างธรณีประตูด้านนอกตามธรรมเนียมของบ่าวไพร่ที่ปฏิบัติกันมา ถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“อ้าว... บัวนวล เข้ามาใกล้ๆ สิ” กังสดาลหันไปทางต้นเสียง แล้วจึงเรียกบัวนวลให้เข้ามาใกล้ บัวนวลก้าวข้ามธรณีประตูเสร็จก็ยอบกายลงนั่งแล้วใช้เข่าเดินเข้ามา
“ลุกขึ้นเดินก็ได้บัวนวล ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก ฉันไม่ใช่เจ้านาง ไม่ใช่เจ้าน้อย” หญิงสาวว่าอย่างขัดใจขึ้นมาตงิดๆ
“มิได้หรอกเจ้า มันเป็นการตีเสมอเจ้านาย แม้ตอนนี้แม่นางสร้อยแสงดาจะมิใช่เจ้านาง แต่อีกไม่นานก็คงได้เป็นเจ้านางอย่างเต็มตัวอยู่ดีเจ้า” บัวนวลสั่นหน้าปฏิเสธ ด้วยท่าทางจริงจัง
“ฉันคงไม่ได้เป็นหรอก แต่ช่างเถอะ พูดไปบัวนวลก็คงไม่เข้าใจ เออ... จริงสิบัวนวล เทวีเจ้าตนย่าจันทราจะให้ฉันไปอยู่ที่เรือนของท่าน แต่ฉันไม่อยากไปเลย” กังสดาลโอดครวญกับบ่าวเพียงคนเดียวที่มีอยู่ และเธอก็รู้สึกว่าบัวนวลเป็นเพื่อนมากกว่าคนคอยรับใช้ด้วยซ้ำ
“ทำไมเล่าเจ้า ทุกคนอยากไปอยู่ที่เรือนเทวีเจ้าตนย่ากันทั้งนั้น แม่ญิงเราถือกันว่าที่นั่นเป็นที่ฝึกการเรือนการฝีมือต่างๆ ใครที่ได้ไปอยู่แล้วออกมาจะต้องเป็นคนที่มีฝีมือทางการบ้านการเรือนไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่งเลยนะเจ้า” บัวนวลทำท่าแปลกใจ
“นั่นล่ะปัญหาล่ะ ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนั้นมาก่อนเลยในชีวิต” หญิงสาวนั่งลงบนเตียงอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก แต่บัวนวลกลับขมวดคิ้วมุ่น
“น่าแปลกนักเจ้า แม่ญิงเราถึงจะเป็นชาวป่าชาวดอย อย่างน้อยก็ต้องรู้จักทำกับข้าว หุงหาอาหารได้ตามอัตภาพของตน นี่แม่นางสร้อยแสงดาไม่เคยทำเลยหรือเจ้า” กังสดาลสั่นศีรษะกับคำถามนั้น
“ที่บ้านเมืองของฉัน ฉันทำงานอย่างอื่น เรื่องอาหารการกินก็ซื้อกินเป็นมื้อๆ ไป พิเศษหน่อยก็พี่ชายกับพี่สะใภ้ทำให้กิน ตอนเด็กก็คุณแม่ทำให้กิน” เธอพูดใจกระหวัดไปถึงพี่ชาย พี่สะใภ้ขึ้นมา แต่คนฟังกลับทำตาวาวด้วยความตื่นเต้นระคนประหลาดใจ
“โอ้... มีเมืองแบบที่ว่าด้วยหรือเจ้า แสดงว่าแม่นางสร้อยแสงดาคงเป็นเศรษฐี มีเบี้ยอัฐมากเลยสิเจ้า ก็ไหนว่าแม่นางสร้อยแสงดามาจากเมืองเหราดิถี เป็นศิษย์ครูเดียวกันกับเจ้าราชบุตร ท่านเตวิน ท่านนันตา
“แล้วก็เป็นหลานพ่อครูสิงห์แก้วอย่างไรเล่าเจ้า และเท่าที่รู้พ่อครูสิงห์แก้วก็อาศัยอยู่ที่สำนักชานเมืองเหราดิถี แม้จะมีชื่อเสียงและสำนักใหญ่โต แต่พ่อครูก็ใช้ชีวิตแบบสมถะมากมิใช่หรือเจ้า อ้อ... แล้วก็อีกอย่าง แม่นางสร้อยมีพ่อ แม่ พี่ชายด้วยหรือเจ้า บัวนวลนึกว่ามีแต่พ่อครู” ก่อนตั้งคำถามเอากับคนเป็นเจ้านายต่อยาวเหยียด ด้วยความงงหนักเข้าไปอีก
นั่นจึงทำให้เจ้าของร่างบางนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เธอคือสร้อยแสงดา หลานพ่อครูสิงห์แก้ว ไม่ใช่กังสดาล นักข่าวสายการเมืองของหนังสือพิมพ์ชื่อดังในเมืองไทยสักหน่อย
“เอ่อ... เฮ้อ! พูดไปบัวนวลคงจะไม่เข้าใจหรอก เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ เออ... จริงสิบัวนวล อะไรคือการ ‘ผิดผี’ เหรอ”
“แม่นางสร้อยแสงดาไม่รู้จักการผิดผีหรอกหรือเจ้า” และก็อีกครั้งที่บัวนวลประหลาดใจ
“ฉันหมายถึงความหมายที่เวียงสีปันจาน่ะ ไม่รู้ว่าเหมือนที่บ้านเมืองฉันหรือเปล่า” กังสดาลรีบกลบเกลื่อนอย่างที่คิดว่าเนียนที่สุด
“อ๋อ... บัวนวลเข้าใจแล้วเจ้า ที่เวียงสีปันจานี้การผิดผีก็คือการที่ชายกับหญิงได้ถูกเนื้อต้องตัวกัน อยู่ร่วมห้องหอเดียวกัน หรือทำการมิควรแบบหนุ่มสาวโดยมิได้ผูกข้อมือแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีอย่างไรเล่าเจ้า” บัวนวลอธิบาย นั่นทำให้คนฟังต้องร้องออกมาอย่างตกใจ
“ถ้าอย่างนั้นฉันกับเจ้าน้อยก็เข้าข่ายผิดผีเต็มๆ น่ะสิ มิน่าเทวีเจ้าตนย่า กับเจ้านางหลวงถึงว่าผิดผี เออ... แล้วถ้าผิดผีแล้วจะต้องทำยังไง ผีจะมาบีบคอเราไหม” ตอนท้ายน้ำเสียงของหญิงสาวหวาดๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“โอ๊ะ! คงไม่กระมังเจ้า บัวนวลก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผีจะมาบีบคอเราจริงๆ เพราะผีที่ว่าก็คือผีบรรพบุรุษของเรา ท่านอาจจะมาเตือนเราหรือญาติของเราให้ทำถูกต้องตามประเพณี ถ้าหนุ่มสาวคู่ใดผิดผีก็ต้องเซ่นไหว้ด้วยเครื่องเซ่น หรือที่เราเรียกกันว่าสูมาผีปู่ย่า แล้วก็แต่งงานอยู่กินกันเจ้า”
“แต่งงาน!! ถ้าเราไม่แต่งได้ไหมบัวนวล” ยิ่งได้ยินคำอธิบายกังสดาลก็ยิ่งสติแตก
“เอ่อ... เรื่องนี้ก็แล้วแต่เจ้าแม่นางสร้อย แต่ส่วนมากพวกเขาต้องการแต่งงานกันอยู่แล้วเจ้า แต่บางคู่ก็มิได้แต่งเพราะเหตุบางอย่างก็มีนะเจ้า แต่ถึงอย่างไรการเซ่นไหว้ขอขมาที่ทำผิดผี ผิดจารีตก็ต้องมีเจ้า”
คำตอบนั้นทำให้กังสดาลแอบถอนหายใจโล่งอก และภาวนาขอให้ระหว่างตนกับเจ้าราชบุตรเป็นกรณีส่วนน้อยนั้นด้วยเถิด เมื่อคิดไปถึงเจ้าน้อยปิ่นเมืองใจก็เกิดอาการร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วนี่ทำไมเจ้าน้อยถึงยังไม่มาอีกนะ ไม่รู้หรือไงว่าคนรออยู่ ไม่ได้การล่ะฉันต้องไปตามเสียแล้ว จะได้พูดให้รู้เรื่องกันไปเลย” ก่อนหญิงสาวจะเปรยออกมา พลางลุกขึ้นหมายจะก้าวออกไปข้างนอก แต่พอดีร่างสูงสง่าของเจ้าน้อยปิ่นเมืองก้าวเข้ามาในห้องเสียก่อน
“เจ้าน้อย ทำไมพึ่งมาล่ะคะ ฉันรอตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ ฉันมีเรื่องจะพูดกับท่าน ถ้าไม่รู้เรื่องฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นจริงๆ ด้วย”
“เราต่างหากที่มาตามตัวเจ้า ไปกับเราเดี๋ยวนี้เลย” ชายหนุ่มว่าพลางฉวยข้อมือบาง ก่อนดึงให้ก้าวตามออกจากห้อง แม้จะตกใจและพยายามขืนตัว แต่ด้วยเรี่ยวแรงที่น้อยกว่าทำให้กังสดาลไม่อาจขืนเอาไว้ได้
“ว้าย! เดี๋ยวก่อนเจ้าน้อย ท่านจะทำอะไร? ฉันไม่ไปนะ เราต้องคุยกันก่อน” ปากของหญิงสาวโวยวาย พอดีกับมือข้างที่เป็นอิสระคว้ากรอบประตูเอาไว้ได้ เธอจึงมีโอกาสตั้งตัวอีกครั้งก็คราวนี้
“มีสิ่งใดเอาไว้คุยกันทีหลัง เรื่องนี้เร่งด่วนและสำคัญมาก เจ้าจะต้องมากับเรา” เจ้าราชบุตรหนุ่มยืนยันความตั้งใจเดิมด้วยสีหน้าจริงจัง
“เรื่องอะไร ทำไม? หรือว่าเจ้าย่าของท่าน... ” ในสมองของกังสดาลมีภาพหญิงชราผู้สูงศักดิ์อยู่เต็มไปหมดโดยเฉพาะท่าทางน่าเกรงขามเต็มไปด้วยอำนาจนั้น
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องเจ้าย่า เจ้าอย่าได้ถามอะไรอีก อ้อ... บัวนวลเดี๋ยวเจ้าไปหานันตา แล้วช่วยกันไปหาเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ให้สร้อยแสงดาด้วยนะ ตั้งแต่เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว ทุกอย่างของแม่ญิง แล้วกลับมาให้ทันเช้าวันพรุ่งนี้ เข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มหันไปทางบ่าวเพียงคนเดียวของหญิงสาวพลางสั่งการ
“เจ้า เจ้าน้อย” บัวนวลรับคำแล้วก็รีบก้มหน้าไปอีกทาง พอเจ้าราชบุตรหันมาทางกังสดาล เธอก็ยิ่งเกาะกรอบประตูไว้มั่นราวกับรักมันเสียนักหนา
“ปล่อยมือจากประตูนั่นได้แล้ว” เจ้าน้อยปิ่นเมืองเห็นดังนั้นจึงออกคำสั่งเสียงเรียบ พลางดึงมือข้างที่เขาจับไว้อยู่ แต่อีกฝ่ายสั่นศีรษะพรืด ออกแรงเกาะกรอบประตูชนิดตุ๊กแกยังอาย
“ไม่! ฉันบอกท่านแล้วไงว่าฉันจะไม่ทำอะไร ไม่ไปไหนทั้งนั้น ถ้าเรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง” และประกาศกร้าวถึงเจตนาอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
“อย่ารั้นกับเราสร้อยแสงดา” คราวนี้น้ำเสียงของเจ้าราชบุตรหนุ่มเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ
“ฉันไม่ใช่สร้อยแสงดา ฉันชื่อกังสดาล และขอยืนยันคำเดิมว่า...ไม่! ” แต่หญิงสาวไม่สนใจกลับแหวใส่เสียงสูง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการเช่นนี้” และนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มเริ่มหมดความอดทน เขาเข่นเขี้ยวถาม พอกังสดาลเชิดหน้ารับ เจ้าน้อยปิ่นเมืองจึงตวัดเอาร่างบางขึ้นมาอุ้มในทันที
“ว้าย! เจ้าน้อย อย่านะ” ส่งผลให้มือที่จับกรอบประตูพลิก หญิงสาวรู้สึกเจ็บจึงต้องปล่อยมือโดยอัตโนมัติ
“ปล่อยนะคนบ้า! ” นาทีที่ร่างของเธอถูกพาดวางไว้บนบ่า กังสดาลก็ออกแรงทุบแผ่นหลังกว้างนั้นสุดแรง
แต่ก็เหมือนแรงมด เพราะคนตัวโตกลับพาเธอเดินดุ่มผ่านโถงกว้าง ชานเรือน และลงบันได พวกบ่าวไพร่ที่กำลังทำงานกันอยู่ประปรายข้างล่างต่างก็หัวเราะคิกคัก
ชี้ชวนให้กันดูเหมือนเห็นเป็นเรื่องสนุก แต่ดูเหมือนเจ้าของร่างงามสง่าไม่นำพาสักนิดว่าจะมีใครมองอยู่ หรือเห็นเป็นเรื่องน่าขบขันเพียงใด
กังสดาลรู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบด้วยความอับอาย เมื่อตระหนักถึงสภาพของตนกันเจ้าราชบุตรหนุ่ม และก็อีกครั้งกับการแนบชิดในแบบทุลักทุเล ฉุกละหุก หรือไม่ตั้งใจ แต่มันกลับส่งผลให้หัวใจแกว่งไกวอย่างยากจะห้าม
“ปล่อยฉันลงก่อนได้ไหมเจ้าน้อย ฉันอายคนจะแย่แล้วนะ” ในที่สุดหญิงสาวก็เปรยขึ้นเสียงเบา กลัวพวกคนที่มองอยู่จะได้ยิน
ร่างสูงสง่าจึงหยุดเดินตรงตีนบันได ก่อนจะขยับตัวเธอลงมาอยู่ในท่านอนหงายในอ้อมแขนแข็งแกร่งของเขา จนคนถูกอุ้มต้องรีบกอดคอเขาเอาไว้ในฉับพลัน ด้วยกลัวร่วงลงไปกระแทกพื้น
“เรานึกว่าเจ้าชอบแบบนี้เสียอีก พูดดีๆ ไม่ยอมฟัง หรือว่าเจ้ามีเล่ห์กลอันใด” ตอนท้ายไม่วายหรี่ตามองเธออย่างระแวง
“เปล่านะคะ ฉันไม่เคยมีเล่ห์กลอะไรทั้งนั้น มีแต่ท่านเองนั่นแหล่ะที่เจ้าเล่ห์ โอเค. ฉันยอมไปกับท่านดีๆ ก็ได้ แต่ปล่อยฉันลงก่อนเถอะนะคะ” ร่างบางเริ่มดิ้นขยุกขยิก สายตาไม่วายมองไปรอบข้าง ใบหน้างามละมุนเริ่มซับสีระเรื่อ
จนคนที่จ้องดวงหน้างามนั้นอยู่ต้องหัวเราะออกมากับอากัปกิริยานั้น พลางนึกอยากจะสัมผัสพวงแก้มสีระเรื่อนั้นอีกสักครั้งว่านอกจากจะนุ่มมือแล้ว มากกว่านั้นคือ... จะหอมสักเพียงใด แต่ทว่าเจ้าราชบุตรก็ชะงักความคิดไว้เพียงแค่นั้น ด้วยออกจะตกใจกับความคิดของตัวเองไม่น้อย นี่เขาเป็นอะไรไปนะ? ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เจ้าของร่างบางนี้ เขามักจะควบคุมความคิดของตัวเองไม่ได้
ราวกับความคิดมันมีปีกแล้วก็บินไปได้ด้วยตัวของมันเองจนยากจะควบคุม เขาต้องสติไม่สมประดีไปแล้วเป็นแน่แท้ เจ้าราชบุตรหนุ่มคิด ก่อนจะรีบปล่อยหญิงสาวลงสู่พื้นด้วยกลัวใจจะคิดอะไรเลยเถิด แต่เพราะไม่ไว้ใจอีกฝ่ายว่าจะไม่วิ่งหนีไป มือหนาจึงรีบจับมือบางเอาไว้ก่อนพาออกเดิน
*-*-*-*-*-*
เรือนไม้กาแลแฝดหลังใหญ่โตด้านหน้า หากรวมหมู่เรือนที่กระจายรอบด้านแล้วดูใหญ่กว่าเรือนเทวีเจ้าตนย่าเกือบเท่าตัว แต่เป็นเรือนยกพื้นสูงเหมือนกัน เพียงแต่ตั้งอยู่คนละทิศ
ความสวยงามในแบบของตัวมันเองกินกันแทบไม่ลงในความรู้สึกของหญิงสาว และเรือนนี้ก็มีบ่าวไพร่ทั้งหญิงชายเดินกันไปมาขวักไขว่
“เรือนใครกันคะ ทำไมถึงทั้งใหญ่ทั้งสวยอย่างนี้” กังสดาลถามขึ้น สายตามองกวาดไปทั่วด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับหมู่เรือนกาแลที่อยู่ตรงหน้า ขณะเดินตามร่างสูงที่จับจูงมือเธอไม่ยอมปล่อย
“เรือนของเจ้าหลวงแสนเมืองจายไจยวงษ์สา เจ้าพ่อของเราเอง” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ
“เจ้าหลวงเหรอคะ มิน่า แต่... ทำไมฉันถึงไม่เคยเจอเจ้าหลวงเลย ทั้งที่เจอเจ้าย่า เจ้าแม่ของท่าน และเจ้านางน้อยแล้ว หรือว่าท่านติดราชการ” เสียงเจื้อยแจ้วกับสายตาที่จ้องมองเจ้าราชบุตรหนุ่มราวกับรอคอยคำตอบนั้น เป็นเหตุให้เขาชะงักไปนิดหนึ่ง เหมือนอยากจะพูดอะไรมากมาย
“ตามเราขึ้นมาเถอะ เรากำลังจะพาเจ้าไปเฝ้าเจ้าหลวงอยู่พอดี” แต่ก็เปลี่ยนใจตอบสั้นๆ แทน
ภายในห้องขนาดใหญ่ มีแท่นบรรทมที่แกะสลักลวดลายวิจิตร ติดผ้าม่านตั้งอยู่ตรงกลาง ข้าราชบริพารที่นั่งอยู่รายรอบ บ้างก็ทำงานเล็กๆ น้อยๆ บ้างก็นั่งเฝ้าอยู่จริงๆ ต่างรีบแสดงความเคารพเมื่อเจ้าราชบุตรเดินผ่าน ข้างแท่นบรรทมที่ติดผ้าม่านนั่นเองมีชายชราผมหงอกหลังงองุ้มคนหนึ่งนั่งอยู่ พร้อมชายอายุสี่สิบเศษๆ อีกสองคน
“เจ้าน้อย” ชายทั้งสามยกมือขึ้นไหว้สา
“ตามสบายเถิดท่านหมอหลวง แล้วนี่อาการเจ้าพ่อวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” เจ้าน้อยปิ่นเมืองถาม หมอหลวงทั้งสามได้แต่สบตากันไปมา ด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่ดีขึ้นเลยเจ้า ดูเหมือนพระอาการของเจ้าเหนือหัวจะทรุดลงกว่าทุกวัน ข้าน้อยเกรงว่า... ” ก่อนที่หมอหลวงสูงวัยจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่เต็มเสียงนัก
ปิ่นแก้วนครา ตอน ปิ่นแก้วนครา (โดย พิริตา)
ใจหญิงสาวไม่อยากไปเลยสักนิด กังสดาลไม่ต้องการปรากฏตัว ให้เป็นที่รู้จักของใครๆ ไม่อยากข้องเกี่ยวกับใคร เพราะอีกไม่นานเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเธอก็ต้องไปจากที่นี่ ไม่มีอะไรต้องคุ้นเคยหรือผูกพันกัน
หญิงสาวคิดว่าถึงยังไงก็จะไม่ยอมไปเด็ดขาด และจะต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง แต่ป่านนี้ตัวการของเรื่องก็ยังไม่ยอมกลับมา ไม่รู้ไปไหน
“แม่นางสร้อยแสงดา เป็นอย่างไรบ้างเจ้า เทวีเจ้าตนย่าว่าอย่างไรบ้างเจ้า” บัวนวลซึ่งนั่งอยู่ข้างธรณีประตูด้านนอกตามธรรมเนียมของบ่าวไพร่ที่ปฏิบัติกันมา ถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“อ้าว... บัวนวล เข้ามาใกล้ๆ สิ” กังสดาลหันไปทางต้นเสียง แล้วจึงเรียกบัวนวลให้เข้ามาใกล้ บัวนวลก้าวข้ามธรณีประตูเสร็จก็ยอบกายลงนั่งแล้วใช้เข่าเดินเข้ามา
“ลุกขึ้นเดินก็ได้บัวนวล ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก ฉันไม่ใช่เจ้านาง ไม่ใช่เจ้าน้อย” หญิงสาวว่าอย่างขัดใจขึ้นมาตงิดๆ
“มิได้หรอกเจ้า มันเป็นการตีเสมอเจ้านาย แม้ตอนนี้แม่นางสร้อยแสงดาจะมิใช่เจ้านาง แต่อีกไม่นานก็คงได้เป็นเจ้านางอย่างเต็มตัวอยู่ดีเจ้า” บัวนวลสั่นหน้าปฏิเสธ ด้วยท่าทางจริงจัง
“ฉันคงไม่ได้เป็นหรอก แต่ช่างเถอะ พูดไปบัวนวลก็คงไม่เข้าใจ เออ... จริงสิบัวนวล เทวีเจ้าตนย่าจันทราจะให้ฉันไปอยู่ที่เรือนของท่าน แต่ฉันไม่อยากไปเลย” กังสดาลโอดครวญกับบ่าวเพียงคนเดียวที่มีอยู่ และเธอก็รู้สึกว่าบัวนวลเป็นเพื่อนมากกว่าคนคอยรับใช้ด้วยซ้ำ
“ทำไมเล่าเจ้า ทุกคนอยากไปอยู่ที่เรือนเทวีเจ้าตนย่ากันทั้งนั้น แม่ญิงเราถือกันว่าที่นั่นเป็นที่ฝึกการเรือนการฝีมือต่างๆ ใครที่ได้ไปอยู่แล้วออกมาจะต้องเป็นคนที่มีฝีมือทางการบ้านการเรือนไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่งเลยนะเจ้า” บัวนวลทำท่าแปลกใจ
“นั่นล่ะปัญหาล่ะ ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนั้นมาก่อนเลยในชีวิต” หญิงสาวนั่งลงบนเตียงอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก แต่บัวนวลกลับขมวดคิ้วมุ่น
“น่าแปลกนักเจ้า แม่ญิงเราถึงจะเป็นชาวป่าชาวดอย อย่างน้อยก็ต้องรู้จักทำกับข้าว หุงหาอาหารได้ตามอัตภาพของตน นี่แม่นางสร้อยแสงดาไม่เคยทำเลยหรือเจ้า” กังสดาลสั่นศีรษะกับคำถามนั้น
“ที่บ้านเมืองของฉัน ฉันทำงานอย่างอื่น เรื่องอาหารการกินก็ซื้อกินเป็นมื้อๆ ไป พิเศษหน่อยก็พี่ชายกับพี่สะใภ้ทำให้กิน ตอนเด็กก็คุณแม่ทำให้กิน” เธอพูดใจกระหวัดไปถึงพี่ชาย พี่สะใภ้ขึ้นมา แต่คนฟังกลับทำตาวาวด้วยความตื่นเต้นระคนประหลาดใจ
“โอ้... มีเมืองแบบที่ว่าด้วยหรือเจ้า แสดงว่าแม่นางสร้อยแสงดาคงเป็นเศรษฐี มีเบี้ยอัฐมากเลยสิเจ้า ก็ไหนว่าแม่นางสร้อยแสงดามาจากเมืองเหราดิถี เป็นศิษย์ครูเดียวกันกับเจ้าราชบุตร ท่านเตวิน ท่านนันตา
“แล้วก็เป็นหลานพ่อครูสิงห์แก้วอย่างไรเล่าเจ้า และเท่าที่รู้พ่อครูสิงห์แก้วก็อาศัยอยู่ที่สำนักชานเมืองเหราดิถี แม้จะมีชื่อเสียงและสำนักใหญ่โต แต่พ่อครูก็ใช้ชีวิตแบบสมถะมากมิใช่หรือเจ้า อ้อ... แล้วก็อีกอย่าง แม่นางสร้อยมีพ่อ แม่ พี่ชายด้วยหรือเจ้า บัวนวลนึกว่ามีแต่พ่อครู” ก่อนตั้งคำถามเอากับคนเป็นเจ้านายต่อยาวเหยียด ด้วยความงงหนักเข้าไปอีก
นั่นจึงทำให้เจ้าของร่างบางนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เธอคือสร้อยแสงดา หลานพ่อครูสิงห์แก้ว ไม่ใช่กังสดาล นักข่าวสายการเมืองของหนังสือพิมพ์ชื่อดังในเมืองไทยสักหน่อย
“เอ่อ... เฮ้อ! พูดไปบัวนวลคงจะไม่เข้าใจหรอก เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ เออ... จริงสิบัวนวล อะไรคือการ ‘ผิดผี’ เหรอ”
“แม่นางสร้อยแสงดาไม่รู้จักการผิดผีหรอกหรือเจ้า” และก็อีกครั้งที่บัวนวลประหลาดใจ
“ฉันหมายถึงความหมายที่เวียงสีปันจาน่ะ ไม่รู้ว่าเหมือนที่บ้านเมืองฉันหรือเปล่า” กังสดาลรีบกลบเกลื่อนอย่างที่คิดว่าเนียนที่สุด
“อ๋อ... บัวนวลเข้าใจแล้วเจ้า ที่เวียงสีปันจานี้การผิดผีก็คือการที่ชายกับหญิงได้ถูกเนื้อต้องตัวกัน อยู่ร่วมห้องหอเดียวกัน หรือทำการมิควรแบบหนุ่มสาวโดยมิได้ผูกข้อมือแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีอย่างไรเล่าเจ้า” บัวนวลอธิบาย นั่นทำให้คนฟังต้องร้องออกมาอย่างตกใจ
“ถ้าอย่างนั้นฉันกับเจ้าน้อยก็เข้าข่ายผิดผีเต็มๆ น่ะสิ มิน่าเทวีเจ้าตนย่า กับเจ้านางหลวงถึงว่าผิดผี เออ... แล้วถ้าผิดผีแล้วจะต้องทำยังไง ผีจะมาบีบคอเราไหม” ตอนท้ายน้ำเสียงของหญิงสาวหวาดๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“โอ๊ะ! คงไม่กระมังเจ้า บัวนวลก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผีจะมาบีบคอเราจริงๆ เพราะผีที่ว่าก็คือผีบรรพบุรุษของเรา ท่านอาจจะมาเตือนเราหรือญาติของเราให้ทำถูกต้องตามประเพณี ถ้าหนุ่มสาวคู่ใดผิดผีก็ต้องเซ่นไหว้ด้วยเครื่องเซ่น หรือที่เราเรียกกันว่าสูมาผีปู่ย่า แล้วก็แต่งงานอยู่กินกันเจ้า”
“แต่งงาน!! ถ้าเราไม่แต่งได้ไหมบัวนวล” ยิ่งได้ยินคำอธิบายกังสดาลก็ยิ่งสติแตก
“เอ่อ... เรื่องนี้ก็แล้วแต่เจ้าแม่นางสร้อย แต่ส่วนมากพวกเขาต้องการแต่งงานกันอยู่แล้วเจ้า แต่บางคู่ก็มิได้แต่งเพราะเหตุบางอย่างก็มีนะเจ้า แต่ถึงอย่างไรการเซ่นไหว้ขอขมาที่ทำผิดผี ผิดจารีตก็ต้องมีเจ้า”
คำตอบนั้นทำให้กังสดาลแอบถอนหายใจโล่งอก และภาวนาขอให้ระหว่างตนกับเจ้าราชบุตรเป็นกรณีส่วนน้อยนั้นด้วยเถิด เมื่อคิดไปถึงเจ้าน้อยปิ่นเมืองใจก็เกิดอาการร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วนี่ทำไมเจ้าน้อยถึงยังไม่มาอีกนะ ไม่รู้หรือไงว่าคนรออยู่ ไม่ได้การล่ะฉันต้องไปตามเสียแล้ว จะได้พูดให้รู้เรื่องกันไปเลย” ก่อนหญิงสาวจะเปรยออกมา พลางลุกขึ้นหมายจะก้าวออกไปข้างนอก แต่พอดีร่างสูงสง่าของเจ้าน้อยปิ่นเมืองก้าวเข้ามาในห้องเสียก่อน
“เจ้าน้อย ทำไมพึ่งมาล่ะคะ ฉันรอตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ ฉันมีเรื่องจะพูดกับท่าน ถ้าไม่รู้เรื่องฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นจริงๆ ด้วย”
“เราต่างหากที่มาตามตัวเจ้า ไปกับเราเดี๋ยวนี้เลย” ชายหนุ่มว่าพลางฉวยข้อมือบาง ก่อนดึงให้ก้าวตามออกจากห้อง แม้จะตกใจและพยายามขืนตัว แต่ด้วยเรี่ยวแรงที่น้อยกว่าทำให้กังสดาลไม่อาจขืนเอาไว้ได้
“ว้าย! เดี๋ยวก่อนเจ้าน้อย ท่านจะทำอะไร? ฉันไม่ไปนะ เราต้องคุยกันก่อน” ปากของหญิงสาวโวยวาย พอดีกับมือข้างที่เป็นอิสระคว้ากรอบประตูเอาไว้ได้ เธอจึงมีโอกาสตั้งตัวอีกครั้งก็คราวนี้
“มีสิ่งใดเอาไว้คุยกันทีหลัง เรื่องนี้เร่งด่วนและสำคัญมาก เจ้าจะต้องมากับเรา” เจ้าราชบุตรหนุ่มยืนยันความตั้งใจเดิมด้วยสีหน้าจริงจัง
“เรื่องอะไร ทำไม? หรือว่าเจ้าย่าของท่าน... ” ในสมองของกังสดาลมีภาพหญิงชราผู้สูงศักดิ์อยู่เต็มไปหมดโดยเฉพาะท่าทางน่าเกรงขามเต็มไปด้วยอำนาจนั้น
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องเจ้าย่า เจ้าอย่าได้ถามอะไรอีก อ้อ... บัวนวลเดี๋ยวเจ้าไปหานันตา แล้วช่วยกันไปหาเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ให้สร้อยแสงดาด้วยนะ ตั้งแต่เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว ทุกอย่างของแม่ญิง แล้วกลับมาให้ทันเช้าวันพรุ่งนี้ เข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มหันไปทางบ่าวเพียงคนเดียวของหญิงสาวพลางสั่งการ
“เจ้า เจ้าน้อย” บัวนวลรับคำแล้วก็รีบก้มหน้าไปอีกทาง พอเจ้าราชบุตรหันมาทางกังสดาล เธอก็ยิ่งเกาะกรอบประตูไว้มั่นราวกับรักมันเสียนักหนา
“ปล่อยมือจากประตูนั่นได้แล้ว” เจ้าน้อยปิ่นเมืองเห็นดังนั้นจึงออกคำสั่งเสียงเรียบ พลางดึงมือข้างที่เขาจับไว้อยู่ แต่อีกฝ่ายสั่นศีรษะพรืด ออกแรงเกาะกรอบประตูชนิดตุ๊กแกยังอาย
“ไม่! ฉันบอกท่านแล้วไงว่าฉันจะไม่ทำอะไร ไม่ไปไหนทั้งนั้น ถ้าเรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง” และประกาศกร้าวถึงเจตนาอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
“อย่ารั้นกับเราสร้อยแสงดา” คราวนี้น้ำเสียงของเจ้าราชบุตรหนุ่มเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ
“ฉันไม่ใช่สร้อยแสงดา ฉันชื่อกังสดาล และขอยืนยันคำเดิมว่า...ไม่! ” แต่หญิงสาวไม่สนใจกลับแหวใส่เสียงสูง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการเช่นนี้” และนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มเริ่มหมดความอดทน เขาเข่นเขี้ยวถาม พอกังสดาลเชิดหน้ารับ เจ้าน้อยปิ่นเมืองจึงตวัดเอาร่างบางขึ้นมาอุ้มในทันที
“ว้าย! เจ้าน้อย อย่านะ” ส่งผลให้มือที่จับกรอบประตูพลิก หญิงสาวรู้สึกเจ็บจึงต้องปล่อยมือโดยอัตโนมัติ
“ปล่อยนะคนบ้า! ” นาทีที่ร่างของเธอถูกพาดวางไว้บนบ่า กังสดาลก็ออกแรงทุบแผ่นหลังกว้างนั้นสุดแรง
แต่ก็เหมือนแรงมด เพราะคนตัวโตกลับพาเธอเดินดุ่มผ่านโถงกว้าง ชานเรือน และลงบันได พวกบ่าวไพร่ที่กำลังทำงานกันอยู่ประปรายข้างล่างต่างก็หัวเราะคิกคัก
ชี้ชวนให้กันดูเหมือนเห็นเป็นเรื่องสนุก แต่ดูเหมือนเจ้าของร่างงามสง่าไม่นำพาสักนิดว่าจะมีใครมองอยู่ หรือเห็นเป็นเรื่องน่าขบขันเพียงใด
กังสดาลรู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบด้วยความอับอาย เมื่อตระหนักถึงสภาพของตนกันเจ้าราชบุตรหนุ่ม และก็อีกครั้งกับการแนบชิดในแบบทุลักทุเล ฉุกละหุก หรือไม่ตั้งใจ แต่มันกลับส่งผลให้หัวใจแกว่งไกวอย่างยากจะห้าม
“ปล่อยฉันลงก่อนได้ไหมเจ้าน้อย ฉันอายคนจะแย่แล้วนะ” ในที่สุดหญิงสาวก็เปรยขึ้นเสียงเบา กลัวพวกคนที่มองอยู่จะได้ยิน
ร่างสูงสง่าจึงหยุดเดินตรงตีนบันได ก่อนจะขยับตัวเธอลงมาอยู่ในท่านอนหงายในอ้อมแขนแข็งแกร่งของเขา จนคนถูกอุ้มต้องรีบกอดคอเขาเอาไว้ในฉับพลัน ด้วยกลัวร่วงลงไปกระแทกพื้น
“เรานึกว่าเจ้าชอบแบบนี้เสียอีก พูดดีๆ ไม่ยอมฟัง หรือว่าเจ้ามีเล่ห์กลอันใด” ตอนท้ายไม่วายหรี่ตามองเธออย่างระแวง
“เปล่านะคะ ฉันไม่เคยมีเล่ห์กลอะไรทั้งนั้น มีแต่ท่านเองนั่นแหล่ะที่เจ้าเล่ห์ โอเค. ฉันยอมไปกับท่านดีๆ ก็ได้ แต่ปล่อยฉันลงก่อนเถอะนะคะ” ร่างบางเริ่มดิ้นขยุกขยิก สายตาไม่วายมองไปรอบข้าง ใบหน้างามละมุนเริ่มซับสีระเรื่อ
จนคนที่จ้องดวงหน้างามนั้นอยู่ต้องหัวเราะออกมากับอากัปกิริยานั้น พลางนึกอยากจะสัมผัสพวงแก้มสีระเรื่อนั้นอีกสักครั้งว่านอกจากจะนุ่มมือแล้ว มากกว่านั้นคือ... จะหอมสักเพียงใด แต่ทว่าเจ้าราชบุตรก็ชะงักความคิดไว้เพียงแค่นั้น ด้วยออกจะตกใจกับความคิดของตัวเองไม่น้อย นี่เขาเป็นอะไรไปนะ? ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เจ้าของร่างบางนี้ เขามักจะควบคุมความคิดของตัวเองไม่ได้
ราวกับความคิดมันมีปีกแล้วก็บินไปได้ด้วยตัวของมันเองจนยากจะควบคุม เขาต้องสติไม่สมประดีไปแล้วเป็นแน่แท้ เจ้าราชบุตรหนุ่มคิด ก่อนจะรีบปล่อยหญิงสาวลงสู่พื้นด้วยกลัวใจจะคิดอะไรเลยเถิด แต่เพราะไม่ไว้ใจอีกฝ่ายว่าจะไม่วิ่งหนีไป มือหนาจึงรีบจับมือบางเอาไว้ก่อนพาออกเดิน
*-*-*-*-*-*
เรือนไม้กาแลแฝดหลังใหญ่โตด้านหน้า หากรวมหมู่เรือนที่กระจายรอบด้านแล้วดูใหญ่กว่าเรือนเทวีเจ้าตนย่าเกือบเท่าตัว แต่เป็นเรือนยกพื้นสูงเหมือนกัน เพียงแต่ตั้งอยู่คนละทิศ
ความสวยงามในแบบของตัวมันเองกินกันแทบไม่ลงในความรู้สึกของหญิงสาว และเรือนนี้ก็มีบ่าวไพร่ทั้งหญิงชายเดินกันไปมาขวักไขว่
“เรือนใครกันคะ ทำไมถึงทั้งใหญ่ทั้งสวยอย่างนี้” กังสดาลถามขึ้น สายตามองกวาดไปทั่วด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับหมู่เรือนกาแลที่อยู่ตรงหน้า ขณะเดินตามร่างสูงที่จับจูงมือเธอไม่ยอมปล่อย
“เรือนของเจ้าหลวงแสนเมืองจายไจยวงษ์สา เจ้าพ่อของเราเอง” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ
“เจ้าหลวงเหรอคะ มิน่า แต่... ทำไมฉันถึงไม่เคยเจอเจ้าหลวงเลย ทั้งที่เจอเจ้าย่า เจ้าแม่ของท่าน และเจ้านางน้อยแล้ว หรือว่าท่านติดราชการ” เสียงเจื้อยแจ้วกับสายตาที่จ้องมองเจ้าราชบุตรหนุ่มราวกับรอคอยคำตอบนั้น เป็นเหตุให้เขาชะงักไปนิดหนึ่ง เหมือนอยากจะพูดอะไรมากมาย
“ตามเราขึ้นมาเถอะ เรากำลังจะพาเจ้าไปเฝ้าเจ้าหลวงอยู่พอดี” แต่ก็เปลี่ยนใจตอบสั้นๆ แทน
ภายในห้องขนาดใหญ่ มีแท่นบรรทมที่แกะสลักลวดลายวิจิตร ติดผ้าม่านตั้งอยู่ตรงกลาง ข้าราชบริพารที่นั่งอยู่รายรอบ บ้างก็ทำงานเล็กๆ น้อยๆ บ้างก็นั่งเฝ้าอยู่จริงๆ ต่างรีบแสดงความเคารพเมื่อเจ้าราชบุตรเดินผ่าน ข้างแท่นบรรทมที่ติดผ้าม่านนั่นเองมีชายชราผมหงอกหลังงองุ้มคนหนึ่งนั่งอยู่ พร้อมชายอายุสี่สิบเศษๆ อีกสองคน
“เจ้าน้อย” ชายทั้งสามยกมือขึ้นไหว้สา
“ตามสบายเถิดท่านหมอหลวง แล้วนี่อาการเจ้าพ่อวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” เจ้าน้อยปิ่นเมืองถาม หมอหลวงทั้งสามได้แต่สบตากันไปมา ด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่ดีขึ้นเลยเจ้า ดูเหมือนพระอาการของเจ้าเหนือหัวจะทรุดลงกว่าทุกวัน ข้าน้อยเกรงว่า... ” ก่อนที่หมอหลวงสูงวัยจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่เต็มเสียงนัก