ปิ่นแก้วนครา ตอนปิ่นโบราณ
ภายในห้องนอนสีขาว ที่ประดับตกแต่งด้วยสีชมพูอ่อนหวาน ทั้งผ้าม่าน ผ้าคลุมเตียง ตู้ โต๊ะ ของใช้กระจุกกระจิกต่างๆ จะมีสีแตกต่างก็เพียงแต่พวกตุ๊กตาที่วางอยู่บนเตียงและบนหัวเตียงเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงได้อย่างชัดเจน
กังสดาลออกมาจากห้องน้ำ เตรียมตัวจะเข้านอน แต่ทว่าสายตากลับปะทะเข้ากับปิ่นทองเหลืองเก่าแก่ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง หญิงสาวจึงหยิบมันขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง ขณะหย่อนตัวนั่งลงบนเตียง
ปิ่นอันนี้ดึงดูดความสนใจของเธอได้อย่างประหลาด ราวกับว่ายิ่งมองยิ่งพิจารณาเท่าไหร่ก็ไม่พอ อีกทั้งรู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับมันมาก่อน แม้จะแน่ใจว่าไม่เคยเห็นปิ่นอันนี้มาก่อนในชีวิตก็ตาม
ที่กังสดาลเคยรู้สึกว่ามันเหมือนกับปิ่นประดับมวยผมของเจ้านางทางเหนือสมัยก่อน ก็เพียงแค่มองเผินๆ เท่านั้น เมื่อพิจารณาดูดีๆ กลับมีความแตกต่างอยู่หลายจุด หากไม่นับพู่พวงสร้อยที่ห้อยระย้า
ปิ่นอันนี้มีลักษณะเหมือนเจดีย์ ลวดลายก็ดูประณีตแปลกตา และประดับประดาตรงช่อชั้นต่างๆ ด้วยอัญมณีสีเขียว แดง น้ำเงิน เหลืองฯ รวมตรงยอดซึ่งเป็นแก้วสีขาวใส นับได้ถึงเก้าสี
แม้ตอนนี้อัญมณีเหล่านั้นจะขุ่นมัวไม่เปล่งประกายสดใสเพราะความเก่าแก่ก็ตาม หากมีเวลาสักวันเธอจะนำมันไปให้ช่างทางด้านจิวเวลรี่เจ้าประจำของพี่ชายลองขัดดู อยากรู้นักว่าพอได้ขัดสีฉวีวรรณแล้วมันจะสวยงามขนาดไหน
แต่จู่ๆ เหมือนมีพลังบางอย่างแผ่ออกมาจากปิ่นโบราณในมือ แล่นเข้าสู่ร่างบางจนขนลุกซู่ ไฟในห้องดับวูบลง กังสดาลรู้สึกตกใจ แต่ก็รีบหลับตาเพื่อปรับการมองเห็นอยู่ครู่หนึ่ง
พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กลับพบว่าภายในห้องที่ควรมืดสนิทนั้นกลับมีแสงสลัว และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำให้หญิงสาวถึงกับกลั้นหายใจ
ท่ามกลางหมอกควันจางๆ มีชายชราวัยประมาณเจ็ดสิบกว่าปี รูปร่างเล็ก สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอกลมแขนยาวผ่าหน้า กับกางเกงขาก๊วยสีออกทึมๆ โพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกัน สะพายย่ามไว้บนบ่า เหมือนคนโบราณทางภาคเหนือ
“คะ...คุณ เป็นใคร? ” กังสดาลถามออกไปเสียงสั่นพลิ้ว ความกลัวแล่นเข้าสู่หัวใจ อาคันตุกะผู้ไม่ได้รับเชิญส่งยิ้มมาให้ แต่รอยยิ้มนั้นกลับแฝงไปด้วยความหม่นหมองจนรู้สึกได้
“ข้ามาจากอดีตอันไกลพ้น ที่ซึ่ง ณ.วันนี้ของเจ้า ที่แห่งนั้นได้ล่มสลายลงไปไม่เหลือซาก จนเจ้าไม่สามารถค้นหาที่มาที่ไปของชนชาติเราได้” เสียงแหบพร่าของชายชราตอบมา ทำให้ความกลัวของหญิงสาวเพิ่มระดับขึ้นกว่าเดิม
“ถะ...ถ้า... อย่างนั้น คุ...คุณก็เป็นผีน่ะสิ!! ” ริมฝีปากของเธอสั่นระริกขณะเอ่ยออกไป แต่ทว่าอาคันตุกะร่างเล็กกลับส่ายหน้าช้าๆ
“ข้ามิใช่ผี อย่าได้กลัวไปเลย ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าเท่านั้น” เมื่อรู้ถึงจุดประสงค์ และลักษณะท่าทางชายชราคนนี้ก็ไม่เหมือนผีแต่อย่างใด จึงทำให้กังสดาลพยายามเรียกสติของตนกลับคืนมา
“ไม่ใช่ผี แล้วต้องการให้ฉันช่วยอะไรคะ ของกิน ของใช้ หรือเงิน แต่ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าถ้าเป็นอย่างหลังฉันให้ได้ไม่มาก” หญิงสาวทั้งถามและบอกเสียงระรัวในคราวเดียวกัน
“ขอบใจเจ้ามากสำหรับน้ำใจ แต่ตอนนี้ที่ข้าต้องการมิใช่สิ่งเหล่านั้น สิ่งที่ข้าต้องการคือให้เจ้าเดินทางไปช่วยบ้านเมืองหนึ่ง ช่วยลูกหลานและชนชาติเหล่านั้นด้วย
“เวียงสีปันจา กำลังจะถึงกาลล่มสลาย เจ้าต้องไปยับยั้งเพื่อช่วยเหลือเหล่าวงศ์วานและชาวเมืองให้รอดพ้นจากภัยอันใหญ่หลวงในครั้งนี้ เพื่อให้ชาติพันธุ์สีปันจายังคงอยู่จนถึงยุคสมัยของเจ้า”
“อะ...อะไรนะคะ อะไรคือเวียงสีปันจา เมืองนี้อยู่ที่ไหนกัน ทำไมฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีเมืองชื่อนี้อยู่ในโลกด้วย” สิ่งที่ได้ยินทำให้กังสดาลร้องออกมาด้วยความตกใจไม่น้อย ที่คำร้องขอของชายชราผู้นี้ผิดไปจากที่เธอคาดเอาไว้โดยสิ้นเชิง
“เจ้าและคนในยุคของเจ้าไม่มีวันรู้จักอย่างแน่นอน เพราะเวียงสีปันจาได้ล่มสลายไปเมื่อเก้าร้อยปีก่อน จากความมักใหญ่ใฝ่สูง แย่งชิงอำนาจของผู้คนในสีปันจาเอง
“จึงทำให้ความมืดดำ ความบาปถือโอกาสเข้ามาครอบงำสีปันจาได้ ฉะนั้นข้าจึงมาจากอดีตเมื่อเก้าร้อยปีก่อน เพื่อขอร้องให้เจ้าช่วยอย่างไรเล่า” คำบอกเล่าต่อมาทำให้เจ้าของร่างบางอ้าปากค้างไปหลายวินาที
“เป็นไปไม่ได้! คุณ... เอ่อ ท่านต้องเป็นแค่ความฝันแน่ๆ ” ก่อนจะสะบัดหัวไปมา ราวกับจะให้ตัวเองตื่นจากความฝันอันเหลือเชื่อนี้
“นั่นก็แล้วแต่เจ้าจะคิดเถิด แต่ทุกสิ่งที่ข้าพูดมาล้วนแล้วแต่เป็นความจริงโดยแท้” เสียงนั้นตอกย้ำมา ทำให้เธอต้องหันมาถามต่อ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะคะ คนอื่นทำไม่ได้หรือคะ ตั้งเก้าร้อยปี มันเหลือเชื่อมาก”
“เพราะ ปิ่นแก้วนครา ดั้นด้นมาหาเจ้า ซึ่งหมายความว่าเจ้ามีจิตผูกพันกับที่นั่น ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงถูกเลือกให้เป็นผู้ที่จะช่วยยับยั้งภัยในครั้งนี้ เจ้าจงไปที่เวียงสีปันจาเพื่อพบกับ เจ้าน้อยปิ่นเมือง
“ช่วยเขายับยั้ง แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดนี้ เพราะที่นั่นเจ้าน้อยปิ่นเมืองคือผู้เดียวที่จะช่วยเหลือชาติพันธุ์สีปันจาให้คงอยู่สืบไปได้” เสียงเย็นเนิบนาบแต่ทว่าหนักแน่นนั้น ตอกย้ำว่าสิ่งที่พูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่แล้ว
“ฉันจะไปที่นั่นได้ยังไง แล้วหากสามารถไปที่นั่นได้แล้วฉันจะกลับมาได้ยังไง” หญิงสาวหวั่นวิตก แม้จะยังไม่อยากเชื่อเรื่องที่ชายชราแปลกหน้าพูดมาก็ตาม
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องกังวล ปิ่นแก้วนคราจะนำทางเจ้าไป ปิ่นแก้วนี้มีพลังอำนาจในการปกป้องเมือง ผู้คนในสีปันจา โดยเฉพาะ ราชวงศ์
ไจยวงษ์สา ปิ่นแก้วนคราเป็นของ พระมหาเทวีเจ้าสีลา ที่สวรรคตไปแล้วเมื่อสี่ร้อยกว่าปีก่อน และปิ่นนี้ก็ได้หายไปจากเวียงสีปันจานับแต่นั้น
“จนกระทั่งตอนนี้ปิ่นแก้วปรากฏขึ้นพร้อมกับชะตากรรมอันโหดร้ายของเวียงสีปันจา และดั้นด้นมาหาเจ้า เจ้าต้องนำปิ่นแก้วนครากลับไปเวียงสีปันจา ทำทุกอย่างเพื่อช่วยพวกเขาให้ได้ แล้วชีวิตของเจ้าก็จะกลับมาเป็นดังเดิม... หากเจ้าต้องการ” พอพูดจบร่างของชายชราก็ค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับหมอกควันจางๆ นั้น
“ดะ...เดี๋ยวๆๆๆ คุณ ลุง ท่านผู้เฒ่า” กังสดาลร้องเสียงดัง ก่อนจะสะดุ้งสุดตัว และพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง โดยมีปิ่นโบราณอันนั้นอยู่ในมือ
*-*-*-*-*-*
“เป็นอะไรยัยกั้ง เหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่มเลย” ตอนเช้ากัมปนาทที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอน้องสาวอยู่ที่โต๊ะอาหารถามเจ้าตัว ซึ่งก้าวมานั่งลงตรงข้าม ท่าทางยังติดงุ่นง่วงอยู่ไม่น้อย
“พี่ก้องเคยได้ยินเมืองที่ชื่อเวียงสีปันจาไหมคะ” หญิงสาวถามขึ้น พลางจ้องมาทางพี่ชายอย่างรอคอยคำตอบ กัมปนาทนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง
“เวียงสีปันจา? ไม่นี่ เป็นเมืองเล็กๆ หรือแว่นแคว้นย่อยในประเทศไหนหรือเปล่า” ชายหนุ่มตอบอย่างมั่นใจพร้อมถามในตอนท้าย สายตามองน้องสาวอย่างสำรวจตรวจตรา
“มีอะไรหรือเปล่ายัยกั้ง ท่าทางเราดูไม่ดีเลยนะ” กัมปนาทรู้นิสัยของน้องสาวดีว่า เวลามีเรื่องอะไรในใจเจ้าตัวไม่ใช่คนที่จะเก็บงำเอาไว้ได้ และตอนนี้ท่าทางหมกมุ่นครุ่นคิดของกังสดาล ก็ทำให้ เขาอดเป็นห่วงไม่ได้
“นั่นสิ น้องกั้งเอาน้ำผลไม้หน่อยไหม จะได้สดชื่น” รสรินที่พึ่งออกมาจากห้องครัวทันได้ยินถ้อยสนทนาของสองพี่น้องจึงถามขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะพี่รส กั้งโอเค.ค่ะ คือเมื่อคืนกั้งฝันถึงผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่งเขาบอกว่าตามปิ่นนี้มา เขาแต่งตัวเหมือนคนทางเหนือสมัยโบราณเลยค่ะ” กังสดาลหยิบปิ่นทองเหลืองอันเก่าออกมาจากกระเป๋าสะพาย
“ปิ่นนี้ชื่อ ปิ่นแก้วนครา และเป็นของเทวีเจ้าคนหนึ่งแห่งเวียงสีปันจา” สิ่งที่หญิงสาวบอกเล่า สร้างความประหลาดใจให้กับสองสามีภรรยาเป็นอย่างยิ่ง จนทั้งคู่ต้องหันไปมองสบตากัน กังสดาลจึงเล่าเรื่องความฝันของเธอให้พี่ชายกับพี่สะใภ้ฟัง
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ” รสรินเปรยขึ้นหลังจากฟังเรื่องความฝันของกังสดาลจบ ขณะที่กัมปนาทนิ่งอึ้งไป
“เอาปิ่นนั่นมาให้พี่เถอะ” ก่อนจะบอกน้องเมื่อตั้งสติได้
“แต่ว่าพี่ก้องให้กั้งแล้วนะคะ แล้วนี่มันก็แค่ความฝันเท่านั้นเอง” กังสดาลท้วงขึ้น
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พี่ไม่สบายใจเลยยัยกั้ง เอาปิ่นมาให้พี่เก็บไว้ก่อน แล้วอีกอย่างตั้งแต่นี้ต่อไปพี่จะไปรับเรากลับมาค้างที่บ้าน จนกว่าพี่จะแน่ใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วค่อยกลับไปใช้ชีวิตปกติของเราต่อ” พอพี่ชายบอกอย่างนั้น หญิงสาวจึงหันไปทางพี่สะใภ้หวังจะให้ช่วยเจรจา แต่มาตอนนี้
รสรินได้แต่เพียงพยักหน้าให้เธอ กังสดาลจึงไม่อาจทำอะไรได้
“ก็ได้ค่ะ” แม้จะไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่ชายทำ แต่กังสดาลก็ไม่อยากคัดค้าน เพราะรู้ว่าเขารักและเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน
หญิงสาวออกไปทำงานตามปกติ วันนั้นทั้งวันดูเหมือนเธอจะไม่มีสมาธิเท่าที่ควร เพราะใจกระหวัดไปถึงความฝันเมื่อคืน มันช่างเหมือนจริงเสียเหลือเกิน
ซึ่งหลังตื่นจากความฝันนั้นแล้วเธอก็นอนไม่หลับเกือบทั้งคืน เป็นสาเหตุของความงุ่นง่วงในเช้านี้นั่นเอง แถมวันนี้เธอยังได้พยายามค้นหาเมืองที่ชื่อ ‘เวียงสีปันจา’ จากอินเตอร์เน็ต แต่กลับไม่พบอะไรเลย
กังสดาลเชื่อว่าความฝันนั้นต้องมีส่วนที่เป็นความจริงอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ที่มาที่ไปของปิ่นอันนั้น เธออาจจะตกใจที่จู่ๆ ก็ฝันถึงคนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยในชีวิต จนรู้สึกกลัวในคราแรก
แต่พอมาตอนนี้ความรู้สึกกลัวนั้นหายไปอย่างง่ายดาย แทนที่ด้วยความเห็นใจคนในเวียงสีปันจามากกว่า ถ้าหากว่าเรื่องที่รับรู้มาเป็นความจริง ก็นับว่าเป็นหายนะอันยิ่งใหญ่ของชนชาติหนึ่งเลยทีเดียว
*-*-*-*-*-*
เย็นวันนั้นกว่ากังสดาลจะกลับมาถึงร้านลายคราม ก็เล่นเอาดึกพอสมควร และกัมปนาทก็ไปรอรับตามที่บอกเอาไว้ สองพี่น้องต่างก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องความฝันและปิ่นเจ้าปัญหานั่นอีก ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะสบายใจขึ้นที่ได้เป็นคนเก็บปิ่นนั้นเอาไว้เอง
จนกระทั่งถึงเวลานอน กังสดาลได้ไหว้พระ สวดมนต์ตามปกติ หวังว่าคงจะไม่ฝันเหมือนคืนที่ผ่านมาอีก หลังปิดเปลือกตาลงไม่นาน ในความสะลืมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น
เจ้าของร่างบางรู้สึกเหมือนกำลังก้าวไปตามเส้นทางสายหนึ่ง ท่ามกลางสายหมอกสีขาวที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบตัว ราวกับมีใครคนหนึ่งกำลังนำทางเธอขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ซึ่งเป็นลานหินกว้าง
เมื่อมองลงไปเบื้องล่าง กลุ่มบ้านเรือนน้อยใหญ่ เรียงรายอยู่โดยรอบ เหมือนเธอกำลังอยู่บนจุดศูนย์กลางที่สูงที่สุดกระนั้น
บ้านเรือนเหล่านั้นมีทั้งกระจายกันเป็นหย่อมๆ และอยู่ชิดกันเป็นแพราวกับชุมชนใหญ่ ในมุมสูงเช่นนี้กลับเห็นเพียงหลังคามีทั้งลักษณะมุงด้วยใบตอง หญ้าคา และวัสดุบางอย่างที่คล้ายกระเบื้อง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นลักษณะเฉพาะของบ้านเมืองนี้คือหลังคาเป็นชั้นลดหลั่นกันไปตั้งแต่สามชั้นรวมทั้งยอดจั่ว ดูสวยงามไปอีกแบบ อีกทั้งตามชุมชนน้อยใหญ่มีต้นไม้สอดแซมไปทั่วดูชุ่มชื่น สบายตา
รวมทั้งภูเขาลูกเล็กๆ จนกระทั่งไกลออกไปสุดตาจึงเห็นเป็นภูเขาลูกใหญ่สูงสลับซับซ้อน ทำให้กังสดาลเข้าใจว่าเมืองนี้เป็นเหมือนอ่างกระทะขนาดใหญ่ที่มีลานหินสูงนี้โผล่ขึ้นมาตรงกลางนั่นเอง ความสวยงามตรงหน้า อากาศที่สดชื่นทำให้กังสดาลต้องสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดโดยไม่รู้ตัว
“นี่แหล่ะคือเวียงสีปันจา เมืองที่กำลังจะล่มสลายลงในไม่ช้า หาก
ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเจ้า” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นข้างๆ หญิงสาวตกใจสุดขีด
พร้อมกับหันมามองข้างกาย และก็พบว่าชายชราคนนั้นยืนอยู่ข้างเธอ สีหน้าและแววตาที่มองลงไปยังเมืองสีปันจาอันสวยงาม เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย
“ท่านเป็นใครคะท่านผู้เฒ่า เป็นเจ้าครองเมืองนี้ เป็นเทพ หรือ... ”
ปิ่นแก้วนครา ตอนปิ่นโบราณ (โดยพิริตา)
ภายในห้องนอนสีขาว ที่ประดับตกแต่งด้วยสีชมพูอ่อนหวาน ทั้งผ้าม่าน ผ้าคลุมเตียง ตู้ โต๊ะ ของใช้กระจุกกระจิกต่างๆ จะมีสีแตกต่างก็เพียงแต่พวกตุ๊กตาที่วางอยู่บนเตียงและบนหัวเตียงเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงได้อย่างชัดเจน
กังสดาลออกมาจากห้องน้ำ เตรียมตัวจะเข้านอน แต่ทว่าสายตากลับปะทะเข้ากับปิ่นทองเหลืองเก่าแก่ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง หญิงสาวจึงหยิบมันขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง ขณะหย่อนตัวนั่งลงบนเตียง
ปิ่นอันนี้ดึงดูดความสนใจของเธอได้อย่างประหลาด ราวกับว่ายิ่งมองยิ่งพิจารณาเท่าไหร่ก็ไม่พอ อีกทั้งรู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับมันมาก่อน แม้จะแน่ใจว่าไม่เคยเห็นปิ่นอันนี้มาก่อนในชีวิตก็ตาม
ที่กังสดาลเคยรู้สึกว่ามันเหมือนกับปิ่นประดับมวยผมของเจ้านางทางเหนือสมัยก่อน ก็เพียงแค่มองเผินๆ เท่านั้น เมื่อพิจารณาดูดีๆ กลับมีความแตกต่างอยู่หลายจุด หากไม่นับพู่พวงสร้อยที่ห้อยระย้า
ปิ่นอันนี้มีลักษณะเหมือนเจดีย์ ลวดลายก็ดูประณีตแปลกตา และประดับประดาตรงช่อชั้นต่างๆ ด้วยอัญมณีสีเขียว แดง น้ำเงิน เหลืองฯ รวมตรงยอดซึ่งเป็นแก้วสีขาวใส นับได้ถึงเก้าสี
แม้ตอนนี้อัญมณีเหล่านั้นจะขุ่นมัวไม่เปล่งประกายสดใสเพราะความเก่าแก่ก็ตาม หากมีเวลาสักวันเธอจะนำมันไปให้ช่างทางด้านจิวเวลรี่เจ้าประจำของพี่ชายลองขัดดู อยากรู้นักว่าพอได้ขัดสีฉวีวรรณแล้วมันจะสวยงามขนาดไหน
แต่จู่ๆ เหมือนมีพลังบางอย่างแผ่ออกมาจากปิ่นโบราณในมือ แล่นเข้าสู่ร่างบางจนขนลุกซู่ ไฟในห้องดับวูบลง กังสดาลรู้สึกตกใจ แต่ก็รีบหลับตาเพื่อปรับการมองเห็นอยู่ครู่หนึ่ง
พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กลับพบว่าภายในห้องที่ควรมืดสนิทนั้นกลับมีแสงสลัว และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำให้หญิงสาวถึงกับกลั้นหายใจ
ท่ามกลางหมอกควันจางๆ มีชายชราวัยประมาณเจ็ดสิบกว่าปี รูปร่างเล็ก สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอกลมแขนยาวผ่าหน้า กับกางเกงขาก๊วยสีออกทึมๆ โพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกัน สะพายย่ามไว้บนบ่า เหมือนคนโบราณทางภาคเหนือ
“คะ...คุณ เป็นใคร? ” กังสดาลถามออกไปเสียงสั่นพลิ้ว ความกลัวแล่นเข้าสู่หัวใจ อาคันตุกะผู้ไม่ได้รับเชิญส่งยิ้มมาให้ แต่รอยยิ้มนั้นกลับแฝงไปด้วยความหม่นหมองจนรู้สึกได้
“ข้ามาจากอดีตอันไกลพ้น ที่ซึ่ง ณ.วันนี้ของเจ้า ที่แห่งนั้นได้ล่มสลายลงไปไม่เหลือซาก จนเจ้าไม่สามารถค้นหาที่มาที่ไปของชนชาติเราได้” เสียงแหบพร่าของชายชราตอบมา ทำให้ความกลัวของหญิงสาวเพิ่มระดับขึ้นกว่าเดิม
“ถะ...ถ้า... อย่างนั้น คุ...คุณก็เป็นผีน่ะสิ!! ” ริมฝีปากของเธอสั่นระริกขณะเอ่ยออกไป แต่ทว่าอาคันตุกะร่างเล็กกลับส่ายหน้าช้าๆ
“ข้ามิใช่ผี อย่าได้กลัวไปเลย ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าเท่านั้น” เมื่อรู้ถึงจุดประสงค์ และลักษณะท่าทางชายชราคนนี้ก็ไม่เหมือนผีแต่อย่างใด จึงทำให้กังสดาลพยายามเรียกสติของตนกลับคืนมา
“ไม่ใช่ผี แล้วต้องการให้ฉันช่วยอะไรคะ ของกิน ของใช้ หรือเงิน แต่ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าถ้าเป็นอย่างหลังฉันให้ได้ไม่มาก” หญิงสาวทั้งถามและบอกเสียงระรัวในคราวเดียวกัน
“ขอบใจเจ้ามากสำหรับน้ำใจ แต่ตอนนี้ที่ข้าต้องการมิใช่สิ่งเหล่านั้น สิ่งที่ข้าต้องการคือให้เจ้าเดินทางไปช่วยบ้านเมืองหนึ่ง ช่วยลูกหลานและชนชาติเหล่านั้นด้วย
“เวียงสีปันจา กำลังจะถึงกาลล่มสลาย เจ้าต้องไปยับยั้งเพื่อช่วยเหลือเหล่าวงศ์วานและชาวเมืองให้รอดพ้นจากภัยอันใหญ่หลวงในครั้งนี้ เพื่อให้ชาติพันธุ์สีปันจายังคงอยู่จนถึงยุคสมัยของเจ้า”
“อะ...อะไรนะคะ อะไรคือเวียงสีปันจา เมืองนี้อยู่ที่ไหนกัน ทำไมฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีเมืองชื่อนี้อยู่ในโลกด้วย” สิ่งที่ได้ยินทำให้กังสดาลร้องออกมาด้วยความตกใจไม่น้อย ที่คำร้องขอของชายชราผู้นี้ผิดไปจากที่เธอคาดเอาไว้โดยสิ้นเชิง
“เจ้าและคนในยุคของเจ้าไม่มีวันรู้จักอย่างแน่นอน เพราะเวียงสีปันจาได้ล่มสลายไปเมื่อเก้าร้อยปีก่อน จากความมักใหญ่ใฝ่สูง แย่งชิงอำนาจของผู้คนในสีปันจาเอง
“จึงทำให้ความมืดดำ ความบาปถือโอกาสเข้ามาครอบงำสีปันจาได้ ฉะนั้นข้าจึงมาจากอดีตเมื่อเก้าร้อยปีก่อน เพื่อขอร้องให้เจ้าช่วยอย่างไรเล่า” คำบอกเล่าต่อมาทำให้เจ้าของร่างบางอ้าปากค้างไปหลายวินาที
“เป็นไปไม่ได้! คุณ... เอ่อ ท่านต้องเป็นแค่ความฝันแน่ๆ ” ก่อนจะสะบัดหัวไปมา ราวกับจะให้ตัวเองตื่นจากความฝันอันเหลือเชื่อนี้
“นั่นก็แล้วแต่เจ้าจะคิดเถิด แต่ทุกสิ่งที่ข้าพูดมาล้วนแล้วแต่เป็นความจริงโดยแท้” เสียงนั้นตอกย้ำมา ทำให้เธอต้องหันมาถามต่อ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะคะ คนอื่นทำไม่ได้หรือคะ ตั้งเก้าร้อยปี มันเหลือเชื่อมาก”
“เพราะ ปิ่นแก้วนครา ดั้นด้นมาหาเจ้า ซึ่งหมายความว่าเจ้ามีจิตผูกพันกับที่นั่น ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงถูกเลือกให้เป็นผู้ที่จะช่วยยับยั้งภัยในครั้งนี้ เจ้าจงไปที่เวียงสีปันจาเพื่อพบกับ เจ้าน้อยปิ่นเมือง
“ช่วยเขายับยั้ง แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดนี้ เพราะที่นั่นเจ้าน้อยปิ่นเมืองคือผู้เดียวที่จะช่วยเหลือชาติพันธุ์สีปันจาให้คงอยู่สืบไปได้” เสียงเย็นเนิบนาบแต่ทว่าหนักแน่นนั้น ตอกย้ำว่าสิ่งที่พูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่แล้ว
“ฉันจะไปที่นั่นได้ยังไง แล้วหากสามารถไปที่นั่นได้แล้วฉันจะกลับมาได้ยังไง” หญิงสาวหวั่นวิตก แม้จะยังไม่อยากเชื่อเรื่องที่ชายชราแปลกหน้าพูดมาก็ตาม
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องกังวล ปิ่นแก้วนคราจะนำทางเจ้าไป ปิ่นแก้วนี้มีพลังอำนาจในการปกป้องเมือง ผู้คนในสีปันจา โดยเฉพาะ ราชวงศ์
ไจยวงษ์สา ปิ่นแก้วนคราเป็นของ พระมหาเทวีเจ้าสีลา ที่สวรรคตไปแล้วเมื่อสี่ร้อยกว่าปีก่อน และปิ่นนี้ก็ได้หายไปจากเวียงสีปันจานับแต่นั้น
“จนกระทั่งตอนนี้ปิ่นแก้วปรากฏขึ้นพร้อมกับชะตากรรมอันโหดร้ายของเวียงสีปันจา และดั้นด้นมาหาเจ้า เจ้าต้องนำปิ่นแก้วนครากลับไปเวียงสีปันจา ทำทุกอย่างเพื่อช่วยพวกเขาให้ได้ แล้วชีวิตของเจ้าก็จะกลับมาเป็นดังเดิม... หากเจ้าต้องการ” พอพูดจบร่างของชายชราก็ค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับหมอกควันจางๆ นั้น
“ดะ...เดี๋ยวๆๆๆ คุณ ลุง ท่านผู้เฒ่า” กังสดาลร้องเสียงดัง ก่อนจะสะดุ้งสุดตัว และพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง โดยมีปิ่นโบราณอันนั้นอยู่ในมือ
*-*-*-*-*-*
“เป็นอะไรยัยกั้ง เหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่มเลย” ตอนเช้ากัมปนาทที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอน้องสาวอยู่ที่โต๊ะอาหารถามเจ้าตัว ซึ่งก้าวมานั่งลงตรงข้าม ท่าทางยังติดงุ่นง่วงอยู่ไม่น้อย
“พี่ก้องเคยได้ยินเมืองที่ชื่อเวียงสีปันจาไหมคะ” หญิงสาวถามขึ้น พลางจ้องมาทางพี่ชายอย่างรอคอยคำตอบ กัมปนาทนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง
“เวียงสีปันจา? ไม่นี่ เป็นเมืองเล็กๆ หรือแว่นแคว้นย่อยในประเทศไหนหรือเปล่า” ชายหนุ่มตอบอย่างมั่นใจพร้อมถามในตอนท้าย สายตามองน้องสาวอย่างสำรวจตรวจตรา
“มีอะไรหรือเปล่ายัยกั้ง ท่าทางเราดูไม่ดีเลยนะ” กัมปนาทรู้นิสัยของน้องสาวดีว่า เวลามีเรื่องอะไรในใจเจ้าตัวไม่ใช่คนที่จะเก็บงำเอาไว้ได้ และตอนนี้ท่าทางหมกมุ่นครุ่นคิดของกังสดาล ก็ทำให้ เขาอดเป็นห่วงไม่ได้
“นั่นสิ น้องกั้งเอาน้ำผลไม้หน่อยไหม จะได้สดชื่น” รสรินที่พึ่งออกมาจากห้องครัวทันได้ยินถ้อยสนทนาของสองพี่น้องจึงถามขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะพี่รส กั้งโอเค.ค่ะ คือเมื่อคืนกั้งฝันถึงผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่งเขาบอกว่าตามปิ่นนี้มา เขาแต่งตัวเหมือนคนทางเหนือสมัยโบราณเลยค่ะ” กังสดาลหยิบปิ่นทองเหลืองอันเก่าออกมาจากกระเป๋าสะพาย
“ปิ่นนี้ชื่อ ปิ่นแก้วนครา และเป็นของเทวีเจ้าคนหนึ่งแห่งเวียงสีปันจา” สิ่งที่หญิงสาวบอกเล่า สร้างความประหลาดใจให้กับสองสามีภรรยาเป็นอย่างยิ่ง จนทั้งคู่ต้องหันไปมองสบตากัน กังสดาลจึงเล่าเรื่องความฝันของเธอให้พี่ชายกับพี่สะใภ้ฟัง
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ” รสรินเปรยขึ้นหลังจากฟังเรื่องความฝันของกังสดาลจบ ขณะที่กัมปนาทนิ่งอึ้งไป
“เอาปิ่นนั่นมาให้พี่เถอะ” ก่อนจะบอกน้องเมื่อตั้งสติได้
“แต่ว่าพี่ก้องให้กั้งแล้วนะคะ แล้วนี่มันก็แค่ความฝันเท่านั้นเอง” กังสดาลท้วงขึ้น
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พี่ไม่สบายใจเลยยัยกั้ง เอาปิ่นมาให้พี่เก็บไว้ก่อน แล้วอีกอย่างตั้งแต่นี้ต่อไปพี่จะไปรับเรากลับมาค้างที่บ้าน จนกว่าพี่จะแน่ใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วค่อยกลับไปใช้ชีวิตปกติของเราต่อ” พอพี่ชายบอกอย่างนั้น หญิงสาวจึงหันไปทางพี่สะใภ้หวังจะให้ช่วยเจรจา แต่มาตอนนี้
รสรินได้แต่เพียงพยักหน้าให้เธอ กังสดาลจึงไม่อาจทำอะไรได้
“ก็ได้ค่ะ” แม้จะไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่ชายทำ แต่กังสดาลก็ไม่อยากคัดค้าน เพราะรู้ว่าเขารักและเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน
หญิงสาวออกไปทำงานตามปกติ วันนั้นทั้งวันดูเหมือนเธอจะไม่มีสมาธิเท่าที่ควร เพราะใจกระหวัดไปถึงความฝันเมื่อคืน มันช่างเหมือนจริงเสียเหลือเกิน
ซึ่งหลังตื่นจากความฝันนั้นแล้วเธอก็นอนไม่หลับเกือบทั้งคืน เป็นสาเหตุของความงุ่นง่วงในเช้านี้นั่นเอง แถมวันนี้เธอยังได้พยายามค้นหาเมืองที่ชื่อ ‘เวียงสีปันจา’ จากอินเตอร์เน็ต แต่กลับไม่พบอะไรเลย
กังสดาลเชื่อว่าความฝันนั้นต้องมีส่วนที่เป็นความจริงอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ที่มาที่ไปของปิ่นอันนั้น เธออาจจะตกใจที่จู่ๆ ก็ฝันถึงคนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยในชีวิต จนรู้สึกกลัวในคราแรก
แต่พอมาตอนนี้ความรู้สึกกลัวนั้นหายไปอย่างง่ายดาย แทนที่ด้วยความเห็นใจคนในเวียงสีปันจามากกว่า ถ้าหากว่าเรื่องที่รับรู้มาเป็นความจริง ก็นับว่าเป็นหายนะอันยิ่งใหญ่ของชนชาติหนึ่งเลยทีเดียว
*-*-*-*-*-*
เย็นวันนั้นกว่ากังสดาลจะกลับมาถึงร้านลายคราม ก็เล่นเอาดึกพอสมควร และกัมปนาทก็ไปรอรับตามที่บอกเอาไว้ สองพี่น้องต่างก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องความฝันและปิ่นเจ้าปัญหานั่นอีก ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะสบายใจขึ้นที่ได้เป็นคนเก็บปิ่นนั้นเอาไว้เอง
จนกระทั่งถึงเวลานอน กังสดาลได้ไหว้พระ สวดมนต์ตามปกติ หวังว่าคงจะไม่ฝันเหมือนคืนที่ผ่านมาอีก หลังปิดเปลือกตาลงไม่นาน ในความสะลืมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น
เจ้าของร่างบางรู้สึกเหมือนกำลังก้าวไปตามเส้นทางสายหนึ่ง ท่ามกลางสายหมอกสีขาวที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบตัว ราวกับมีใครคนหนึ่งกำลังนำทางเธอขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ซึ่งเป็นลานหินกว้าง
เมื่อมองลงไปเบื้องล่าง กลุ่มบ้านเรือนน้อยใหญ่ เรียงรายอยู่โดยรอบ เหมือนเธอกำลังอยู่บนจุดศูนย์กลางที่สูงที่สุดกระนั้น
บ้านเรือนเหล่านั้นมีทั้งกระจายกันเป็นหย่อมๆ และอยู่ชิดกันเป็นแพราวกับชุมชนใหญ่ ในมุมสูงเช่นนี้กลับเห็นเพียงหลังคามีทั้งลักษณะมุงด้วยใบตอง หญ้าคา และวัสดุบางอย่างที่คล้ายกระเบื้อง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นลักษณะเฉพาะของบ้านเมืองนี้คือหลังคาเป็นชั้นลดหลั่นกันไปตั้งแต่สามชั้นรวมทั้งยอดจั่ว ดูสวยงามไปอีกแบบ อีกทั้งตามชุมชนน้อยใหญ่มีต้นไม้สอดแซมไปทั่วดูชุ่มชื่น สบายตา
รวมทั้งภูเขาลูกเล็กๆ จนกระทั่งไกลออกไปสุดตาจึงเห็นเป็นภูเขาลูกใหญ่สูงสลับซับซ้อน ทำให้กังสดาลเข้าใจว่าเมืองนี้เป็นเหมือนอ่างกระทะขนาดใหญ่ที่มีลานหินสูงนี้โผล่ขึ้นมาตรงกลางนั่นเอง ความสวยงามตรงหน้า อากาศที่สดชื่นทำให้กังสดาลต้องสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดโดยไม่รู้ตัว
“นี่แหล่ะคือเวียงสีปันจา เมืองที่กำลังจะล่มสลายลงในไม่ช้า หาก
ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเจ้า” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นข้างๆ หญิงสาวตกใจสุดขีด
พร้อมกับหันมามองข้างกาย และก็พบว่าชายชราคนนั้นยืนอยู่ข้างเธอ สีหน้าและแววตาที่มองลงไปยังเมืองสีปันจาอันสวยงาม เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย
“ท่านเป็นใครคะท่านผู้เฒ่า เป็นเจ้าครองเมืองนี้ เป็นเทพ หรือ... ”