คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 42
ผลกระทบการเปิดเสรีอาเซี่ยน และนโยบายสองสูง ที่กระทบคนไทยโดยตรง
1.บริษัท ทั่วประเทศเร่งลดต้นทุนบ้างก็ย้ายบริษัทไปประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ญี่ปุ่นเตรียมทยอยย้ายฐานการผลิตไปพม่า ช่วยสร้างสนามบิน และนำฝูงบิน mitsubishi เข้าประจำการ(เครื่องบินที่ญี่ปุ่นผลิตเอง) และเปิดธนาคารญี่ปุ่นในพม่าและประเทศในกลุ่มอาเซี่ยน สนับสนุนการเปิดตลาด....ลักทรัพย์ที่นั่น เพื่อคานจึนและเกาหลี เพราะกลุ่มทุนก็ต้องการเข้ามายึด ธุรกิจในกลุ่มอาเซี่ยน อาทิ น้ำมัน แก๊ส ธนาคาร ผลิตไฟฟ้า ที่ดิน และอื่นๆ เท่าที่ต่างชาติจะได้สัดส่วน % มากน้อยแล้วแต่ว่ากลุ่มอาเซี่ยนจะเปิดให้กลุ่มทุนใหญ่ ถือได้ แต่กลุ่มทุนก็สามารถเพิ่ม % ให้มากสุดได้โดยผ่าน nominee(จ้างคนในประเทศนั้นๆถือแทน) ส่วนในไทยญี่ปุ่นก็เข้ายึดแบงค์กรุงศรีในสัดส่วนที่สูง ด้วยเงิน QE (การใช้กระดาษพิมพ์เงินเยนเพิ่มมหาศาลโดยไม่อิงทองคำที่มีอยู่ เหมือน อเมริกาทำ)....การทำQEทำให้ค่าเงินเยนลดลงทันทีประมาณ 30%เพื่อกดดันให้สินค้าและบริการญี่ปุ่นมีราคาถูกลง เพื่อสู้กับเกาหลีและจีน แต่อีกมุม คนญี่ปุ่น ก็จนลงทันที 30% ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวญี่ปุ่น โตกระโดด(....ในธนาคารกรุงศรี มีแต่โฉนดที่ดิน) บริษัทอื่นๆ ก็เพิ่มประสิทธืภาพโดยการปรับเครื่องจักรให้ทันสมัยและเร่งปลด คนงานไทยออก(แต่จะมีป้ายรับสมัครคนงานไทย 300-500ตำแหน่ง อยู่หน้าบริษัท เพื่อหลอกกรมแรงงานว่ารับคนไทย)แต่ความเป็นจริง กับจ้างซับคอนแทคจัดส่งแรงงานต่างด้าวให้ค่าจ้างประมาณ250บาทต่อวันแต่มีโอทีให้ใครขยันอาจได้ถึงวันละ350-500ต่อวันแล้วแต่งาน (ทำหอพักและคิดค่าเช่าโดยหักจากโอที)วันไหนไม่ทำก็ไม่จ่าย ไม่บรรจุ ไม่ต้องชดเชยเวลาเลิกจ้าง ไม่มีโบนัส เหมางานเป็นชิ้น ประหยัดสุดๆ พอโรงงานฝั่งพม่า เวียดนาม กัมพูชา และลาวสร้างเสร็จ ก็ย้ายฐานการผลิตหนี ไม่เกิน2ปี ค่าแรงกลุ่ม clmv จะค่อยๆปรับแพงขึ้นเพราะขาดแคลนแรงงาน และไม่นานค่าแรงในกลุ่มอาเซี่ยนจะใกล้เคียงกัน แรงงานต่างด้าวก็เริ่มกลับบ้าน ต่างด้าวในไทยอีกกลุ่มก็เริ่มเป็นเถ้าแก่เอง(อาจแต่งงานกับคนไทย หรือ จ้างคนไทยจดทะเบียนสมรสเพื่อซื้อ อสังหา และทำธุรกรรมการเงิน คล้ายอดีตคนฮ่องกงเคยทำ ตอนที่จีนจะเอาเกาะฮ่องกงคืนจากอังกฤษ) ไม่นานคนไทยอาจข้ามไปทำงาน พม่า กัมพูชาและลาว เพราะแต่ละประเทศไม่มีใครโง่กว่าใคร
เงินฝากฝั่งลาว ดอกเบี้ย 10-15%ต่อปี ส่วนไทย 1.5% ส่วนต่าง 10เท่า (1 000 %) หากคนไทยจะไปฝากฝั่งลาว รัฐจะยอมไหม
2.คนไทยตกงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยเป็นกำลังซื้อในตลาด กับต้องออกมาขายของ( ทำให้ห้างค้าส่ง m.....ยอดโตกระโดด)เมื่อร้านค้าเพิ่มมากขึ้นก็ขายตัดราคา แย่งเศษเงินในตลาดที่น้อยลงทุกวัน จากเคยเป็นเพื่อนบ้าน กับมาขายของเหมือนกัน กลายเป็นศัตรูกัน สถานบริการ สถานบันเทิง คาราโอเกะ บริษัท โรงงาน โรงแรม และห้าง หันมาใช้แรงงานต่างด้าวแทนคนไทยเกือบหมด พอเงินเดือนออก ต่างด้าว โอนเงินออกจากไทยหลายหมื่นล้าน และนับวันจะออกมากขึ้น(โดยผ่านคนต่างด้าวที่มาเปิดทำธุรกิจแลกเงิน ฝั่งไทยแถวชายแดนของแต่ละประเทศ) ทำให้ตลาดเงียบเพราะต่างด้าวประหยัดไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ได้เงินเท่าไรส่งกลับบ้านหมด เพราะเคยยากจนและลำบากมาก เมื่อประเทศไทยเปิดรั้วให้เข้ามาปล้น จึงไม่รอช้า(ต่างด้าวในไทยทั้งถูกและผิดกฎหมายตอนนี้น่าจะประมาณ5-10ล้านคน อนาคตเพิ่มไม่หยุด)
3.ตลาดเริ่มเกิดภาวะเงินเฟ้อและเงินฝืด (สินค้าแพงแต่เงินหายาก) เม็ดเงินจริงจากระบบผลิตและภาคบริการ เป็นของต่างด้าวเกือบทั้งหมด ไหลออกไปประเทศเพื่อนบ้านไม่หมุนเวียนในไทย คนไทยที่ตกงานก็ต้องผ่อนรถกัน 5-7ปี ไม่กล้าใช้เงิน(บางคนต้องห่อข้าวไปกินในรถเวลาท่องเที่ยว) แม้รัฐจะหว่านเงินเท่าไร เงินก็ไหลออกหมด(เหมือนเติมน้ำในโอ่งรั่ว)เงินที่สะพัดที่ต่างจังหวัด ส่วนใหญ่มาจากการขายที่ดินให้นายทุนและต่างชาติ ที่ได้ราคาดีมาก
4.ค่าแรงที่แพงขึ้นมาก มันคือ กลลวง ของคนออกนโยบาย เพื่อฆ่าคนชั้นกลางและล่างให้สูญสิ้น เปรียบเหมือนให้พนักงานเอาปืนปล้น smeและเถ้าแก่ให้อ่อนแอ จนธุรกิจ ล้มหายตายจาก(โครงการจำนำข้าวช่วยชาวนา เป็นโครงการที่ดี ถ้าไม่มีการทุจริตโดยรับซื้อข้าวเปลือกตันละ15000-20000ทุกเมล็ด ขณะที่ราคาข้าวกลุ่ม clmv ราคาข้าวเปลือกตันละ 4500-6000 ทำให้เกิดภาวะ ขนถ่ายตามชายแดน ....'''โรงสีแถวชายแดน รวยล้นฟ้า'''... ทำกันเป็นขบวนการ .....(แต่ประเทศบอบช้ำหนักจากหนี้สิน ) หนังสือพิมพ์ the telegraph ของอังกฤษ เคยตีพิมพ์ไว้ว่า มีการนำกระสอบของ.... ส่งให้ ประเทศพม่าใส่ข้าวสารเข้ามาเลยไม่ต้องสี และบางส่วนก็ เล่น สต๊อก ลม เลย ไม่ต้องขนถ่ายให้เมื่อย เพื่อรีบโยกเงิน 700000ล้านบาท ที่กู้จาก ธกส ให้หมดแบบ ด่วนๆ ไม่มีการตรวจสอบ ใครมือยาว สาวได้ สาวเอา แค่อ้างว่า ทำเพื่อชาวนา ด้วยราคาข้าวที่สุงกว่าเพื่อนบ้าน 3-4เท่าตัว จึงดึงดูดแรงงานคนไทยในระบบเศรษฐกิจให้กลับไปทำนา เพื่อให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก และรวดเร็ว เพื่อบีบให้ sme เถ้าแก่ และผู้ประกอบการ ยอมจำนน จ่ายค่าแรงแพงๆ ตามเป้าหมายในการ ปล้นเงินพนักงานอีกที) เปิดให้กลุ่มทุนใหญ่ในตลาด..ลักทรัพย์(ห้างเล็ก จนถีงห้างใหญ่) เข้ามาดุดเงินจากพนักงานที่ค่าแรงแพง ผูกขาดในทุกซอกมุมของประเทศ โดยอ้างการสมประโยชน์ว่าต่อภาษีให้ภาครัฐ แต่ไม่มองอีกด้านที่เข้าไปแย่งเงินในชุมชน และสร้างระบบฟุ่มเฟือยให้เด็กรุ่นใหม่ ทำให้พ่อแม่เด็ก ยากจนหาเงินมาไม่พอค่าใช้จ่าย เกิดปัญหาครอบครัว อาชีพที่ทำมีผลกระทบจากกลุ่มทุน มหาโหด ฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้า เพื่อที่ตัวเองจะได้ชื่อว่ารวยอันดับต้นๆ ของโลก แต่คนชั้นกลางถึงล่าง ตายเรียบ....ไม่มีที่ยืนในประเทศตัวเอง และอีกคนที่ออกนโยบาย2สูงที่ทำธุรกิจสื่อสาร เมื่อพนักงานไทยและต่างด้าวที่ได้ค่าแรงแพง...ดังหวัง งัดโทรศัพท์ออกมา โทรทั้งในไทย ไปพม่า มาลาว กัมพูชา,,,,ทั่วโลก บริษัทมือถือ อ...ก็ปล้นเงินพนักงานอีกที ราคาหุ้นจาก ไม่กี่สิบบาท พรุ่งไป หลายร้อยบาท กำไรมหาศาล แต่ sme ร้านค้าระบบเถ้าแก่ เริ่มขาดทุน รายจ่ายมากกว่ารายรับ รายไหนทนไม่ไหวก็ปิดกิจการไปเพราะมีแต่คนขายเพิ่มขึ้นจำนวนมาก แถมห้างเลขหก บวก......... (0.5...+...0.5)ก็เอาสินค้าราคาถูกๆมาขายตัดราคาร้านโชว์ห่วย จากห้างค้าส่ง m...ที่ตัวเองกู้เงินธนาคารมาซื้อ ด้วยเงิน 2-3แสนล้านบาท เพื่อการผูกขาดสินค้า ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ และเร่งขยายสาขาทุกหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และทุกจังหวัด ทั่วประเทศ จำนวนมากเพื่อดูดเงินมาไว้ที่คนๆเดียว(จากเมื่อก่อนชาวบ้านร้านค้าเล็ก กลาง เคยกลัวว่าจะมีห้าง lotood express และห้าง mini big d มาเปิดและแย่งอาชีพ ไหนได้ ห้างเลขหกบวก...... เอาไปกินคนเดียว ดูดเงินในท้องถิ่นที่มีน้อยนิด ออกไปหมด เงินหมุนเวียนไม่มีเกิดปัญหาตามมามาก สังคมเกื้อกูลในชุมชนหายไป)ธุรกิจใหญ่ฆ่ากลาง กลางฆ่าเล็ก(เงินในตลาดไม่พอแบ่งกัน) แม่ค้าริมถนน และตลาดคลองถม เปิดเต็มไปหมดทั่วประเทศ ผุดเป็นดอกเห็ด เพราะตกงาน และมีหนี้ กลัวรถและบ้านโดนยึด เงินไม่พอใช้ในครอบครัว
5.นี่มันคือสงครามเศรษฐกิจย่อมๆ ที่ฆ่าคนชั้นกลางถึงล่างหากปรับตัวไม่ทัน (ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจค่อนข้างปลอดภัย)แถมสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ ภัยแล้ง ยิ่งทุบกำลังซื้อหายเกลี้ยง(โรงพยาบาลรัฐ ก็มีแต่แรงงานต่างด้าวมารักษาโรค เต็มไปหมด มิน่า หุ้น โรงพยาบาลเอกชน พุ่งขึ้นไม่หยุด)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เต็มๆคือ คนที่ออกนโยบายทั้ง2คน
เราคนไทยควรปรับตัวเพื่อการอยู่รอดครับ
1.อย่ามีหนี้สิน(หากมีอย่าเกินตัว)
2.เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ปรับสมดุลองค์กร ให้รายรับมากกว่ารายจ่าย
3.หาความสุข ในสิ่งที่ชอบ แบบพอเพียง(พระเจ้าอยู่หัวเราสอนไว้ครับ)
แค่นี้ก็ฝ่าวิกฤตระบบทุนนิยมล่าอนานิคมทางเศรษฐกิจได้อย่างสบายครับ
1.บริษัท ทั่วประเทศเร่งลดต้นทุนบ้างก็ย้ายบริษัทไปประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ญี่ปุ่นเตรียมทยอยย้ายฐานการผลิตไปพม่า ช่วยสร้างสนามบิน และนำฝูงบิน mitsubishi เข้าประจำการ(เครื่องบินที่ญี่ปุ่นผลิตเอง) และเปิดธนาคารญี่ปุ่นในพม่าและประเทศในกลุ่มอาเซี่ยน สนับสนุนการเปิดตลาด....ลักทรัพย์ที่นั่น เพื่อคานจึนและเกาหลี เพราะกลุ่มทุนก็ต้องการเข้ามายึด ธุรกิจในกลุ่มอาเซี่ยน อาทิ น้ำมัน แก๊ส ธนาคาร ผลิตไฟฟ้า ที่ดิน และอื่นๆ เท่าที่ต่างชาติจะได้สัดส่วน % มากน้อยแล้วแต่ว่ากลุ่มอาเซี่ยนจะเปิดให้กลุ่มทุนใหญ่ ถือได้ แต่กลุ่มทุนก็สามารถเพิ่ม % ให้มากสุดได้โดยผ่าน nominee(จ้างคนในประเทศนั้นๆถือแทน) ส่วนในไทยญี่ปุ่นก็เข้ายึดแบงค์กรุงศรีในสัดส่วนที่สูง ด้วยเงิน QE (การใช้กระดาษพิมพ์เงินเยนเพิ่มมหาศาลโดยไม่อิงทองคำที่มีอยู่ เหมือน อเมริกาทำ)....การทำQEทำให้ค่าเงินเยนลดลงทันทีประมาณ 30%เพื่อกดดันให้สินค้าและบริการญี่ปุ่นมีราคาถูกลง เพื่อสู้กับเกาหลีและจีน แต่อีกมุม คนญี่ปุ่น ก็จนลงทันที 30% ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวญี่ปุ่น โตกระโดด(....ในธนาคารกรุงศรี มีแต่โฉนดที่ดิน) บริษัทอื่นๆ ก็เพิ่มประสิทธืภาพโดยการปรับเครื่องจักรให้ทันสมัยและเร่งปลด คนงานไทยออก(แต่จะมีป้ายรับสมัครคนงานไทย 300-500ตำแหน่ง อยู่หน้าบริษัท เพื่อหลอกกรมแรงงานว่ารับคนไทย)แต่ความเป็นจริง กับจ้างซับคอนแทคจัดส่งแรงงานต่างด้าวให้ค่าจ้างประมาณ250บาทต่อวันแต่มีโอทีให้ใครขยันอาจได้ถึงวันละ350-500ต่อวันแล้วแต่งาน (ทำหอพักและคิดค่าเช่าโดยหักจากโอที)วันไหนไม่ทำก็ไม่จ่าย ไม่บรรจุ ไม่ต้องชดเชยเวลาเลิกจ้าง ไม่มีโบนัส เหมางานเป็นชิ้น ประหยัดสุดๆ พอโรงงานฝั่งพม่า เวียดนาม กัมพูชา และลาวสร้างเสร็จ ก็ย้ายฐานการผลิตหนี ไม่เกิน2ปี ค่าแรงกลุ่ม clmv จะค่อยๆปรับแพงขึ้นเพราะขาดแคลนแรงงาน และไม่นานค่าแรงในกลุ่มอาเซี่ยนจะใกล้เคียงกัน แรงงานต่างด้าวก็เริ่มกลับบ้าน ต่างด้าวในไทยอีกกลุ่มก็เริ่มเป็นเถ้าแก่เอง(อาจแต่งงานกับคนไทย หรือ จ้างคนไทยจดทะเบียนสมรสเพื่อซื้อ อสังหา และทำธุรกรรมการเงิน คล้ายอดีตคนฮ่องกงเคยทำ ตอนที่จีนจะเอาเกาะฮ่องกงคืนจากอังกฤษ) ไม่นานคนไทยอาจข้ามไปทำงาน พม่า กัมพูชาและลาว เพราะแต่ละประเทศไม่มีใครโง่กว่าใคร
เงินฝากฝั่งลาว ดอกเบี้ย 10-15%ต่อปี ส่วนไทย 1.5% ส่วนต่าง 10เท่า (1 000 %) หากคนไทยจะไปฝากฝั่งลาว รัฐจะยอมไหม
2.คนไทยตกงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยเป็นกำลังซื้อในตลาด กับต้องออกมาขายของ( ทำให้ห้างค้าส่ง m.....ยอดโตกระโดด)เมื่อร้านค้าเพิ่มมากขึ้นก็ขายตัดราคา แย่งเศษเงินในตลาดที่น้อยลงทุกวัน จากเคยเป็นเพื่อนบ้าน กับมาขายของเหมือนกัน กลายเป็นศัตรูกัน สถานบริการ สถานบันเทิง คาราโอเกะ บริษัท โรงงาน โรงแรม และห้าง หันมาใช้แรงงานต่างด้าวแทนคนไทยเกือบหมด พอเงินเดือนออก ต่างด้าว โอนเงินออกจากไทยหลายหมื่นล้าน และนับวันจะออกมากขึ้น(โดยผ่านคนต่างด้าวที่มาเปิดทำธุรกิจแลกเงิน ฝั่งไทยแถวชายแดนของแต่ละประเทศ) ทำให้ตลาดเงียบเพราะต่างด้าวประหยัดไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ได้เงินเท่าไรส่งกลับบ้านหมด เพราะเคยยากจนและลำบากมาก เมื่อประเทศไทยเปิดรั้วให้เข้ามาปล้น จึงไม่รอช้า(ต่างด้าวในไทยทั้งถูกและผิดกฎหมายตอนนี้น่าจะประมาณ5-10ล้านคน อนาคตเพิ่มไม่หยุด)
3.ตลาดเริ่มเกิดภาวะเงินเฟ้อและเงินฝืด (สินค้าแพงแต่เงินหายาก) เม็ดเงินจริงจากระบบผลิตและภาคบริการ เป็นของต่างด้าวเกือบทั้งหมด ไหลออกไปประเทศเพื่อนบ้านไม่หมุนเวียนในไทย คนไทยที่ตกงานก็ต้องผ่อนรถกัน 5-7ปี ไม่กล้าใช้เงิน(บางคนต้องห่อข้าวไปกินในรถเวลาท่องเที่ยว) แม้รัฐจะหว่านเงินเท่าไร เงินก็ไหลออกหมด(เหมือนเติมน้ำในโอ่งรั่ว)เงินที่สะพัดที่ต่างจังหวัด ส่วนใหญ่มาจากการขายที่ดินให้นายทุนและต่างชาติ ที่ได้ราคาดีมาก
4.ค่าแรงที่แพงขึ้นมาก มันคือ กลลวง ของคนออกนโยบาย เพื่อฆ่าคนชั้นกลางและล่างให้สูญสิ้น เปรียบเหมือนให้พนักงานเอาปืนปล้น smeและเถ้าแก่ให้อ่อนแอ จนธุรกิจ ล้มหายตายจาก(โครงการจำนำข้าวช่วยชาวนา เป็นโครงการที่ดี ถ้าไม่มีการทุจริตโดยรับซื้อข้าวเปลือกตันละ15000-20000ทุกเมล็ด ขณะที่ราคาข้าวกลุ่ม clmv ราคาข้าวเปลือกตันละ 4500-6000 ทำให้เกิดภาวะ ขนถ่ายตามชายแดน ....'''โรงสีแถวชายแดน รวยล้นฟ้า'''... ทำกันเป็นขบวนการ .....(แต่ประเทศบอบช้ำหนักจากหนี้สิน ) หนังสือพิมพ์ the telegraph ของอังกฤษ เคยตีพิมพ์ไว้ว่า มีการนำกระสอบของ.... ส่งให้ ประเทศพม่าใส่ข้าวสารเข้ามาเลยไม่ต้องสี และบางส่วนก็ เล่น สต๊อก ลม เลย ไม่ต้องขนถ่ายให้เมื่อย เพื่อรีบโยกเงิน 700000ล้านบาท ที่กู้จาก ธกส ให้หมดแบบ ด่วนๆ ไม่มีการตรวจสอบ ใครมือยาว สาวได้ สาวเอา แค่อ้างว่า ทำเพื่อชาวนา ด้วยราคาข้าวที่สุงกว่าเพื่อนบ้าน 3-4เท่าตัว จึงดึงดูดแรงงานคนไทยในระบบเศรษฐกิจให้กลับไปทำนา เพื่อให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก และรวดเร็ว เพื่อบีบให้ sme เถ้าแก่ และผู้ประกอบการ ยอมจำนน จ่ายค่าแรงแพงๆ ตามเป้าหมายในการ ปล้นเงินพนักงานอีกที) เปิดให้กลุ่มทุนใหญ่ในตลาด..ลักทรัพย์(ห้างเล็ก จนถีงห้างใหญ่) เข้ามาดุดเงินจากพนักงานที่ค่าแรงแพง ผูกขาดในทุกซอกมุมของประเทศ โดยอ้างการสมประโยชน์ว่าต่อภาษีให้ภาครัฐ แต่ไม่มองอีกด้านที่เข้าไปแย่งเงินในชุมชน และสร้างระบบฟุ่มเฟือยให้เด็กรุ่นใหม่ ทำให้พ่อแม่เด็ก ยากจนหาเงินมาไม่พอค่าใช้จ่าย เกิดปัญหาครอบครัว อาชีพที่ทำมีผลกระทบจากกลุ่มทุน มหาโหด ฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้า เพื่อที่ตัวเองจะได้ชื่อว่ารวยอันดับต้นๆ ของโลก แต่คนชั้นกลางถึงล่าง ตายเรียบ....ไม่มีที่ยืนในประเทศตัวเอง และอีกคนที่ออกนโยบาย2สูงที่ทำธุรกิจสื่อสาร เมื่อพนักงานไทยและต่างด้าวที่ได้ค่าแรงแพง...ดังหวัง งัดโทรศัพท์ออกมา โทรทั้งในไทย ไปพม่า มาลาว กัมพูชา,,,,ทั่วโลก บริษัทมือถือ อ...ก็ปล้นเงินพนักงานอีกที ราคาหุ้นจาก ไม่กี่สิบบาท พรุ่งไป หลายร้อยบาท กำไรมหาศาล แต่ sme ร้านค้าระบบเถ้าแก่ เริ่มขาดทุน รายจ่ายมากกว่ารายรับ รายไหนทนไม่ไหวก็ปิดกิจการไปเพราะมีแต่คนขายเพิ่มขึ้นจำนวนมาก แถมห้างเลขหก บวก......... (0.5...+...0.5)ก็เอาสินค้าราคาถูกๆมาขายตัดราคาร้านโชว์ห่วย จากห้างค้าส่ง m...ที่ตัวเองกู้เงินธนาคารมาซื้อ ด้วยเงิน 2-3แสนล้านบาท เพื่อการผูกขาดสินค้า ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ และเร่งขยายสาขาทุกหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และทุกจังหวัด ทั่วประเทศ จำนวนมากเพื่อดูดเงินมาไว้ที่คนๆเดียว(จากเมื่อก่อนชาวบ้านร้านค้าเล็ก กลาง เคยกลัวว่าจะมีห้าง lotood express และห้าง mini big d มาเปิดและแย่งอาชีพ ไหนได้ ห้างเลขหกบวก...... เอาไปกินคนเดียว ดูดเงินในท้องถิ่นที่มีน้อยนิด ออกไปหมด เงินหมุนเวียนไม่มีเกิดปัญหาตามมามาก สังคมเกื้อกูลในชุมชนหายไป)ธุรกิจใหญ่ฆ่ากลาง กลางฆ่าเล็ก(เงินในตลาดไม่พอแบ่งกัน) แม่ค้าริมถนน และตลาดคลองถม เปิดเต็มไปหมดทั่วประเทศ ผุดเป็นดอกเห็ด เพราะตกงาน และมีหนี้ กลัวรถและบ้านโดนยึด เงินไม่พอใช้ในครอบครัว
5.นี่มันคือสงครามเศรษฐกิจย่อมๆ ที่ฆ่าคนชั้นกลางถึงล่างหากปรับตัวไม่ทัน (ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจค่อนข้างปลอดภัย)แถมสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ ภัยแล้ง ยิ่งทุบกำลังซื้อหายเกลี้ยง(โรงพยาบาลรัฐ ก็มีแต่แรงงานต่างด้าวมารักษาโรค เต็มไปหมด มิน่า หุ้น โรงพยาบาลเอกชน พุ่งขึ้นไม่หยุด)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เต็มๆคือ คนที่ออกนโยบายทั้ง2คน
เราคนไทยควรปรับตัวเพื่อการอยู่รอดครับ
1.อย่ามีหนี้สิน(หากมีอย่าเกินตัว)
2.เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ปรับสมดุลองค์กร ให้รายรับมากกว่ารายจ่าย
3.หาความสุข ในสิ่งที่ชอบ แบบพอเพียง(พระเจ้าอยู่หัวเราสอนไว้ครับ)
แค่นี้ก็ฝ่าวิกฤตระบบทุนนิยมล่าอนานิคมทางเศรษฐกิจได้อย่างสบายครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
ขอแสดงความเห็นส่วนตัวแบบแฟร์ๆ นะครับ
1. เขาผลิตเพื่อส่งออก 100% ดังนั้นเศรษฐกิจภายในประเทศไทย ไม่มีผลกับเค้าครับ แต่เศรษฐกิจโลกกระทบเขาเต็มๆ
2. เศรษฐกิจโลกชะลอตัวทำให้เขาขายสินค้าไม่ออก
3. ค่าแรงที่แพงขึ้นจาก 180 -> 300 บาท เป็นตัวเร่งให้เขาพังเร็วขึ้นเพราะต้นทุนเพิ่มแบบก้าวกระโดด
4. นโยบายหาเสียงโดยไม่คำนึงถึงการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน สุดท้ายชาวบ้านที่เลือกพวกนี้เข้ามานี่แหละที่จะได้รับผลกระทบ
5. คนไทยบางส่วนเขาเล็งเห็นผลเสียข้อนี้เขาจึงต่อต้านการปรับค่าแรงแบบก้าวกระโดด ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากให้คนงานได้ค่าแรง 300 แต่เขาอยากให้คนงานมีการพัฒนาฝีมือแข่งขันกับตลาดโลกได้ ไม่ใช่ฝีมือเท่าเดิมแต่ค่าจ้างก้าวกระโดดขึ้นเพราะการเมือง ซึ่งเราก็เห็นอยู่แล้วว่านำพาหายนะมาให้แก่ชาวบ้านอย่างไร
ขอยืนยันว่าที่เขาออกมาต้อต้านนโยบายประชานิยม เพราะคนส่วนใหญ่ที่ออกมาเขาเล็งถึงเห็นปัญหาระยะยาว ไม่ใช่ เป็นสาวกใครแบบไม่ลืมหูลืมตา จริงครับอาจมีสาวกแป๊ะลิ้ม หรือ สลิ่มปะปนบ้างแต่จำนวนมันไม่มีทางมากพอจะล้มรัฐบาลได้ หากรัฐบาลที่แล้วไม่ออกนโยบายประชานิยมที่สร้างหายนะให้กับประเทศในระยะยาวแบบที่ผ่านมา
1. เขาผลิตเพื่อส่งออก 100% ดังนั้นเศรษฐกิจภายในประเทศไทย ไม่มีผลกับเค้าครับ แต่เศรษฐกิจโลกกระทบเขาเต็มๆ
2. เศรษฐกิจโลกชะลอตัวทำให้เขาขายสินค้าไม่ออก
3. ค่าแรงที่แพงขึ้นจาก 180 -> 300 บาท เป็นตัวเร่งให้เขาพังเร็วขึ้นเพราะต้นทุนเพิ่มแบบก้าวกระโดด
4. นโยบายหาเสียงโดยไม่คำนึงถึงการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน สุดท้ายชาวบ้านที่เลือกพวกนี้เข้ามานี่แหละที่จะได้รับผลกระทบ
5. คนไทยบางส่วนเขาเล็งเห็นผลเสียข้อนี้เขาจึงต่อต้านการปรับค่าแรงแบบก้าวกระโดด ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากให้คนงานได้ค่าแรง 300 แต่เขาอยากให้คนงานมีการพัฒนาฝีมือแข่งขันกับตลาดโลกได้ ไม่ใช่ฝีมือเท่าเดิมแต่ค่าจ้างก้าวกระโดดขึ้นเพราะการเมือง ซึ่งเราก็เห็นอยู่แล้วว่านำพาหายนะมาให้แก่ชาวบ้านอย่างไร
ขอยืนยันว่าที่เขาออกมาต้อต้านนโยบายประชานิยม เพราะคนส่วนใหญ่ที่ออกมาเขาเล็งถึงเห็นปัญหาระยะยาว ไม่ใช่ เป็นสาวกใครแบบไม่ลืมหูลืมตา จริงครับอาจมีสาวกแป๊ะลิ้ม หรือ สลิ่มปะปนบ้างแต่จำนวนมันไม่มีทางมากพอจะล้มรัฐบาลได้ หากรัฐบาลที่แล้วไม่ออกนโยบายประชานิยมที่สร้างหายนะให้กับประเทศในระยะยาวแบบที่ผ่านมา
แสดงความคิดเห็น
ปิดโรงงาน! ผลิตชุดกีฬาส่งออกเจอพิษ ศก. ลูกจ้างเคว้ง
เมื่อตอนเช้าวันที่ 29 ก.ค. 58 นายภาณุ เหี้ยมหาญ แรงงานและสวัสดิการสังคม จ.อุดรธานี พร้อมเจ้าหน้าที่จาก สนง.ประกันสังคม จ.อุดรธานี สนง.จัดหางาน จ.อุดรธานี เดินทางไปที่โรงงานของ บริษัทไทย ท็อป อีเกิ้ล การ์เมนท์ จำกัด เลขที่ 261 ถนนมิตรภาพ หมู่ 1 ต.นาข่า อ.เมือง จ.อุดรธานี ผลิตชุดกีฬาส่งออก 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อติดตามการนัดหมายจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าชดเชย กรณีประกาศเลิกกิจการ ในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ ให้กับลูกจ้างประจำ และรายวัน โดยมีกำลังตำรวจจากสถานีตำรวจย่อยนาข่า อ.เมือง อุดรธานี เดินทางมาดูแลความเรียบร้อย
ทั้งนี้ พนักงานของ บริษัทไทย ท็อป อีเกิ้ล การ์เมนท์ จำกัด ได้แจ้งให้บุคคลภายนอก รวมทั้งสื่อมวลชนออกไปอยู่ด้านนอก โดยมีพนักงานลูกจ้างทั้งหมดที่ไม่ได้ทำงาน รวมตัวอยู่ภายในโรงงาน รอการยืนยันการจ่ายเงินผ่านบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) สาขาอุดรธานี โดยมีรถบรรทุกสิบล้อ 2 คัน มารอรับสินค้าชุดสุดท้าย และมีรถตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ มาจอดรอขนของอยู่ด้านนอกโรงงาน แต่พนักงานขอไม่ให้ขนสินค้า จนกว่าจะมีการจ่ายเงินค่าจ้างและชดเชยก่อน ขณะเดียวกันได้มีนักธุรกิจจากกรุงเทพฯ มาเฝ้าดูสถานการณ์เพื่อขอซื้อสินค้า วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักร และวัสดุสำนักงาน
ส่วนภายในโรงงาน มีการปิดประกาศลงวันที่ 30 มิถุนายน 2558 ระบุว่า เป็นประกาศแจ้งปิดกิจการ ให้พนักงานและลูกจ้างทราบ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้มียอดสั่งซื้อสินค้าน้อยลง และประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ทางบริษัทฯ จึงมีความจำเป็นปิดกิจการ ในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ จึงขอเลิกจ้างพนักงานทุกท่าน โดยจะปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน ในเรื่องค่าจ้างและค่าชดเชย
นายสุริยา ชากุทน อายุ 41 ปี หัวหน้าแผนกตัดผ้าของโรงงาน กล่าวว่า โรงงานแหล่งผลิตเสื้อผ้ากีฬายี่ห้อ ‘จาโก้’ ส่งออกไปยุโรปทั้งหมด ตนมาทำงานที่นี่ 2 ครั้ง ครั้งแรก 3 ปี ครั้งที่สอง 1 ปีครึ่ง ได้เงินเดือน 12,000 บาท พอใจที่โรงงานจะจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย และรู้สึกเห็นใจโรงงานที่มีปัญหาขาดทุน ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากปัญหาค่าแรงงานที่ขยับขึ้นจากวันละ 180 บาทเป็น 300 บาท เงินเดือนลูกจ้างประจำก็ปรับขึ้นด้วย ขณะที่การผลิตสินค้าเป็นไปตามปกติ หลังจากนี้ไปคิดว่าจะหางานทำที่กรุงเทพฯ
ขณะที่ นางรุ่งอรุณ แก้วสอดส่อง อายุ 35 ปี ราษฎรบ้านเชียงหวาง ต.เชียงหวาง อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า แต่งงานแล้วมีลูก 2 คน มาทำงานในฐานะลูกจ้างรายวันมา 6 ปี เพราะเห็นว่าโรงงานอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ขี่รถจักรยานยนต์ไม่นานก็ถึงโรงงานแล้ว เสียดายที่โรงงานนี้ต้องปิดไป ยังไม่มีเป้าหมายว่าจะไปทำงานอะไร ทำที่ไหน ขอเวลาสักระยะ และจะไปขึ้นทะเบียนกับจัดหางาน จ.อุดรธานี โดยจะเลือกงานที่อยู่ใกล้บ้านก่อน
เช่นเดียวกับ นางสุมิตรา วรรณษา อายุ 40 ปี แม่ค้าขายของชำในโรงงาน เผยว่า ในโรงงานมีร้านขายอาหาร 3 ร้าน ขายของชำ 1 ร้าน มีความผูกพันกับคนงานมาก เพราะอยู่ด้วยกัน จุนเจือกันมาเกือบ 10 ปี ไม่มีเงินก็ติดกันไว้ก่อน เงินออกก็เอามาให้ วันนี้จึงได้ไปเหมาก๋วยเตี๋ยวรถเร่ มาเลี้ยงคนงานเพื่อเป็นการขอบคุณ ในฐานะที่เป็นลูกค้า ดูแลเรามาเช่นกัน
ต่อมา นายชายชาญ เอี่ยมเจริญ รอง ผวจ.อุดรธานี ได้เดินทางมาพบกับนายเชลโซ่ แองเจอเลส กรรมการผู้จัดการ และผู้บริหารโรงงาน พร้อมกับนายภาณุ เหี้ยมหาญ แรงงานและสวัสดิการสังคม จ.อุดรธานี เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย โดยใช้เวลาราว 30 นาที ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ทราบล่วงหน้าว่าโรงงานนี้จะปิดกิจการ จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ พบว่าโรงงานค่อนข้างจะไปไม่ไหวจนต้องปิดกิจการ จึงแจ้งให้ทุกหน่วยมาดูแล เพราะการปิดกิจการจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานของไทย
นายชายชาญ กล่าวว่า โรงงานแห่งนี้มีคนงาน 2 ประเภท คือ ลูกจ้างรายวัน ที่มี 282 คน มีค่าจ้างค้างจ่ายในงวดที่ 2 คนละประมาณ 15 วัน ซึ่งตามกฎหมายนอกจากจะได้เงินค่าจ้างรายวันแล้ว จะได้เงินค่าชดเชยที่จะจ่ายให้ตามอายุงานเพิ่มอีก นอกจากนี้ยังมีลูกจ้างรายเดือนอีก 40 คน ที่จะได้รับเงินจาก 3 ส่วน คือ เงินค่าจ้างรายเดือน เงินชดเชย และเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ที่มีในกฎหมายแรงงาน และยังจะได้เงินจากการประกาศหยุดกิจการ หลังจากวันที่ 2 สิงหาคม ก็จะได้เงินเดือนล่วงหน้าอีก 1 เดือน รวมทั้งหมดที่นายจ้างต้องจ่ายให้คนงานรวมทั้งสิ้น 13,900,689 บาท ซึ่งมีตัวแทนคนงานเฝ้าดูบัญชี หากมีเงินเข้าบัญชีของคนงาน เขาก็พร้อมจะแยกย้ายกันกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม หากวันนี้ทางเจ้าของกิจการไม่จ่ายค่าจ้างที่ค้าง เราก็มีมาตรการล่วงหน้าที่จะดำเนินการไว้แล้ว
ด้าน นายสวาท ธีระรัตนนุกูลชัย ประธานหอการค้า จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ทราบข่าวการปิดกิจการของโรงงานแห่งนี้แล้ว ซึ่งคงเป็นไปตามภาวะตลาดโลกที่หดตัว แต่คงไม่กระทบต่อภาพทางเศรษฐกิจของ จ.อุดรธานี เพราะที่ผ่านมา จังหวัดเราเน้นในภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยว มากกว่าภาคอุตสาหกรรม ซึ่งการปิดกิจการ อาจเป็นเพราะเขาต้องการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่าบ้านเรา
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บริษัทไทย ท็อป อีเกิ้ล การ์เมนท์ จำกัด เป็นของนักลงทุนจากประเทศจีน โดยมาเช่าโกดังเก็บวัสดุก่อสร้างของโชคดีตราชั่ง นักธุรกิจของ จ.อุดรธานี ทำการปรับปรุงเป็นโรงงาน และเปิดดำเนินกิจการมากว่า 9 ปี เพื่อผลิตสินค้าที่เป็นเสื้อผ้ากีฬา ยี่ห้อหลักคือ ‘จาโก้’ และยี่ห้ออื่นในบางครั้ง ส่งออกไปประเทศเยอรมัน และยุโรป ขณะนี้โชคดีตราชั่งได้ประกาศหาผู้เช่าใหม่แล้ว.