ได้เวลา Shop ของถูกกันแล้วครับ แบงก์อ่วมแห่ตัดขาย"หนี้เสีย" "กดราคา"หลักประกันต่ำ50%

กระทู้สนทนา
แบงก์อ่วมเอ็นพีแอลท่วมหัว แห่ขนหนี้เสียออกมาเทกระจาด ดันซัพพลายล้น จุกซ้ำโดนกดราคาหลักทรัพย์เหลือไม่ถึง 50% SAM ประเมินปีนี้แบงก์ตัดขายหนี้เสีย 4-5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกือบเท่าตัว เผย "บ้าน-โรงงาน" ยอดฮิต

แหล่งข่าวจากฝ่ายปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารพาณิชย์เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปัจจุบันจากปัญหาคุณภาพสินเชื่อที่แย่ลงส่งผลให้หนี้กล่าวถึงเป็นพิเศษ (สเปเชียล แมนชั่น) และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในระบบธนาคารพาณิชย์ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การบริหารจัดการหนี้ทำได้ยากลำบากขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ในกลุ่มสินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายย่อย โดยแนวทางการบริหารจัดการมีทั้งการปรับโครงสร้างหนี้และตัดขายออกบางส่วน

ทั้งยอมรับว่า การตัดขายหนี้ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ในระยะหลังได้ราคาที่ค่อนข้างต่ำ จากเดิมที่เคยขายในราคาประมาณ 60% ของราคาหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ปัจจุบันปรับลดลงต่ำกว่านั้นมาก และบางรายอาจขายได้เพียง 40% กว่า ๆ เท่านั้น ซึ่งบางธนาคารไม่มีทางเลือกต้องยอมขายเพราะไม่ต้องการให้ปริมาณหนี้อยู่ในระดับที่สูงเกินไป

"ตอนนี้ขายหนี้ได้ราคาต่ำมาก เพราะซัพพลายในตลาดมีมากกว่าดีมานด์เยอะ ซึ่ง AMC ก็แบกรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเพราะต้องกอดหนี้ไว้นานขึ้น ผลจากที่เศรษฐกิจไม่ดีอาจทำให้คนไม่เชื่อมั่นก็ไม่ค่อยมีใครอยากซื้อ ไม่ว่าจะนำไปทำประโยชน์เองหรือเก็งกำไรก็ตาม" แหล่งข่าวกล่าว

ตัดขายหนี้เสียปีนี้ 4-5 หมื่น ล.

นายชูเกียรติ จิตติไมตรีสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกมีสถาบันการเงิน 5-6 รายนำทรัพย์ทั้งในส่วนของหนี้เอ็นพีแอลและทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) เฉพาะส่วนที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันออกมาขายในตลาดสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท เทียบเคียงได้กับการนำทรัพย์ออกมาขายปี 2557 ทั้งปีอยู่ที่ 2-3 หมื่นล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีการนำทรัพย์ออกมาขายไม่น้อยกว่า 4-5 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ทรัพย์ที่นำออกมาขายส่วนใหญ่จะเป็นที่ดินและที่อยู่อาศัย คาดว่าจะเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและปัญหายังลากยาวกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้สภาพคล่องของผู้บริโภคและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอ่อนกำลังลง

"ส่วนใหญ่การขายทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรกจะเป็นกลุ่มเอสเอ็มอีและรายย่อย ส่วนรายใหญ่น้อยมาก และแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะเห็นการนำทรัพย์ออกมาขายใกล้เคียงหรือมากกว่าครึ่งปีแรก" นายชูเกียรติกล่าว

ขณะที่ราคาหนี้จากเดิมที่บริษัทเคยรับซื้อประมาณ 50-70% ของราคาหลักทรัพย์ค้ำประกัน ก็ปรับลดลงเล็กน้อยประมาณ 1-5% แม้ปริมาณหนี้เสียในระบบจะมากขึ้น แต่คุณภาพหนี้โดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วนที่สถาบันการเงินต้องทยอยตัดขายทรัพย์ออกมาก็เพื่อรักษาระดับเอ็นพีแอลให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และสามารถดึงสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญกลับมาเป็นกำไรได้โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ารับซื้อทรัพย์เข้ามาบริหารประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่ม ซึ่งได้เจรจากับสถาบันการเงินในหลักการเรียบร้อยแล้ว แต่รูปแบบการชำระเงินอาจเปลี่ยนเป็นการแบ่งชำระเป็นงวด ๆ จากเดิมที่จ่ายเป็นเงินสด

SCB-KTB ทยอยตัดขายหนี้

ขณะที่นายญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในไตรมาส 1/2558 เอ็นพีแอลของธนาคารอยู่ที่ 2.13% ถือเป็นระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ แต่การบริหารจัดการต้องพิจารณาอย่างละเอียดมากขึ้น

"เราต้องดูอย่างละเอียดว่าหนี้ส่วนไหนที่จะขายหรือส่วนไหนที่จะเก็บไว้บริหารเอง ที่ขายออกไปมีเยอะ ทั้งกลุ่มโรงงาน บ้าน เป็นต้น ส่วนสินเชื่อใหม่ต้องระวังมากขึ้นเพื่อให้ของที่อยู่ในบุ๊กมีตำหนิน้อยที่สุด ซึ่งบางกลุ่มก็ยังเหนื่อย บางกลุ่มดีขึ้น แต่โดยภาพรวมหนี้เสียน่าจะผ่านจุดสูงสุดแล้ว" นายญนน์กล่าว

ด้านนายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ปีนี้ธนาคารได้ขายหนี้ออกไปบางส่วนแล้ว แต่มีสัดส่วนไม่มาก เนื่องจากธนาคารจะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเองมากกว่า ในส่วนของราคาต้องยอมรับว่าตอนนี้มีซัพพลายในตลาดมากกว่าดีมานด์ค่อนข้างมาก

"แบงก์มีการขายออกบ้าง ถือเป็นเรื่องปกติในการบริหารจัดการของแบงก์พาณิชย์ เพราะการขายออกจะทำให้เอ็นพีแอลปรับตัวลดลงทันที แต่วัฒนธรรมของเราคือต้องพยายามช่วยเหลือลูกค้าให้ถึงที่สุดก่อน โดยหนี้ที่แบงก์ขายหลากหลายแต่ถ้าเป็นหนี้รายใหญ่จะได้ราคาดี" นายวรภัคกล่าว

นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า ปริมาณหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 1/2557 ขณะที่ทิศทางไตรมาส 2/2558 น่าจะชะลอลงบ้าง ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารเข้าไปให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างเต็มที่ โดยการปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่ยังไม่เป็นเอ็นพีแอล เพื่อให้ลูกค้ายังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แต่หากไม่สามารถบริหารจัดการได้แล้วธนาคารต้องตัดขายออก ซึ่งธนาคารจะต้องประเมินว่าจะบริหารจัดการเองหรือตัดขาย ส่วนไหนจะได้รับผลตอบแทนมากกว่า โดยปัจจุบันเอ็นพีแอลอยู่ที่ระดับประมาณ 2.8-3% และคาดว่าจะปรับลดลงในช่วงไตรมาส 2-3 ของปีนี้

เอสเอ็มอีแบงก์ขายหนี้หมื่นล้าน

นายสุพจน์ อาวาส กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เปิดเผยว่า ในปี 2558 ธนาคารมีแผนจะตัดหนี้สูญรวม 3,500 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้ตัดหนี้สูญไปแล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท จากลูกหนี้ประมาณ 900 ราย ทั้งยังมีแผนขายหนี้เอ็นพีแอลให้บริษัทบริหารสินทรัพย์รวม 7,000 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้มีการขายหนี้ไปแล้วกว่า 2,600 ล้านบาท และล่าสุดเพิ่งลงนามกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชยการ จำกัด (บสก.) อีก 1,150 ล้านบาท

โดยการตัดขายหนี้ดังกล่าวเป็นไปตามแผนที่ต้องการลดเอ็นพีแอลในพอร์ตให้เหลือ 2 หมื่นล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้ หรือประมาณ 20% จาก ณ สิ้นเดือน พ.ค.อยู่ที่ 2.87 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 33.29%

ด้านนางพรนิภา หาชัยภูมิ กรรมการและผู้จัดการ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) กล่าวว่า บตท.มีแผนขายหนี้เอ็นพีแอลให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ประมาณ 200 ล้านบาท โดยจะต้องมีการเจรจาเรื่องราคาซื้อขายกันอีกที แต่เชื่อว่าราคาน่าจะยังดี เพราะเป็นหนี้ที่อยู่อาศัยที่มีหลักประกันคุ้มค่า

ทั้งนี้ สำหรับผลดำเนินงาน 5 เดือนแรกที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า สภาพตลาดปีนี้คนกู้สินเชื่อได้น้อยลง แบงก์ก็ระมัดระวังในการปล่อยกู้ และลูกหนี้ที่อยู่ในพอร์ตก็มีอัตราหนี้เสียเพิ่มขึ้น โดยเท่าที่เห็นไม่ได้ขึ้นจากพอร์ตใดพอร์ตหนึ่ง แต่มาจากทุกธนาคารกระจายตัว

นอกจากนี้ เมื่อ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมาทางธนาคารธนชาต ได้ลงนามโอนสิทธิเรียกร้องหนี้ด้อยคุณภาพของสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิตและเช่าซื้อรถยนต์ มูลค่า 3,819 ล้านบาท ให้กับ บริษัทบริหารสินทรัพย์เจ จำกัด บริษัทย่อยของบริษัทเจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน)

Q2 เอ็นพีแอลแบงก์พุ่งหมื่น ล.

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) ประเมินช่วงไตรมาส 2/58 ผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะยังคงไม่ดีนัก เนื่องจากคาดว่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ทั้งระบบน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกราว 1 หมื่นล้านบาท จากไตรมาสที่ 1/58 ที่มีการปรับเพิ่มขึ้นราว 2 หมื่นล้านบาท ทำให้ยอดเอ็นพีแอลไตรมาส 2/58 ของทั้งอุตสาหกรรมขยับตัวขึ้นมาอยู่ที่ราว 3.1% ของยอดสินเชื่อ จากไตรมาส 1/58 อยู่ที่ระดับ 3%

ขณะเดียวกันธนาคารยังได้รับปัจจัยลบทางตรงจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของทั้งอุตสาหกรรมในไตรมาส 2/58 น่าจะปรับตัวลดลงเหลือราว 2.95% จากไตรมาส 1/58 อยู่ที่ 3% ทำให้ภาพรวมของกลุ่มธนาคารในไตรมาส 2 ยังคงไม่ดีนัก และคาดว่าเอ็นพีแอลก็น่าจะปรับเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปีนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่