Run for Reason !!!

อาทิตย์ ที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ณ อำเภอริมทะเลแถวบ้านผม มีการจัดงานวิ่งมินิมาราธอน (ระยะทาง 10 กม.) ผมเข้าร่วมด้วยความฮึกเหิม มันเป็นการลงสนามวิ่งอย่างจริงจังครั้งแรกในรอบสองปี และถือเป็นการทดสอบความฟิตของร่างกายหลังจากเพียรออกกำลังในฟิตเนสมาเกือบ 1 เดือนเต็ม อันที่จริง ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กชั้นประถม ผมก็เป็นนักวิ่งขาประจำอยู่แล้ว และวิ่งได้ดีกว่าตอนนี้เสียอีก สมัยนั้นผมคลุกคลีอยู่กับชมรมวิ่งตำรวจน้ำ ระยะทาง 10 กิโลเมตร ทำเวลาอยู่ที่ประมาณ 50 นาที แบบไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้ล่อไปชั่วโมงนิดๆ แบบหอบรับประทาน

กลับเข้าเรื่องปัจจุบัน ครั้งนี้ผมเข้าใจผิด คิดไปเองว่าวิ่งได้สบายๆ แต่ออกตัวไว้ก่อนเลยว่า ช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ผมเข้าฟิตเนสอย่างเดียว พยายามเพาะกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน โดยไม่ได้ซ้อมวิ่งเลย ไม่ได้ซ้อมเลยจริงๆ แต่เมื่อได้ข่าวงานดังกล่าว ก็พร้อมลงสนามเพราะคิดว่าเราเคยวิ่ง ระยะทางแค่ 10,000 เมตร แค่นี้ไม่คณามือหรอก ...

ตัดมาฉาก ณ จุดปล่อยตัว นักวิ่งหลากหลายอายุ ตั้งแต่แก่ยันเด็ก รอสัญญาณปล่อยตัวจากประธานที่พล่ามยาวถึงจุดประสงค์ของการจัดงานเป็นสิบนาที จนเวลาเลยมาหกโมงเช้า ฟ้าสาง มองเห็นแสงสีส้มแต้มขอบฟ้า ท่านประธานก็ยอมบีบแตรสัญญาณปล่อยตัวเสียที กลุ่มคนราวๆ พันกว่าคน เฮละโลวิ่งผ่านจุดสตาร์ตอย่างฮึกเหิม ผมก็ฮึกเหิมตามกระแสสังคมเช่นกัน อารมณ์ตอนนั้นเหมือนเราได้รับพลังจากคนรอบตัวที่พลังใจและพลังกายยังเต็มถังอยู่

กลยุทธ์การวิ่งแบบเอาตัวรอดของผมคือหากลุ่มเกาะ หาคนที่วิ่งในความเร็วเท่ากันๆ ให้เขาลากเราไป กลุ่มแรกเป็นกลุ่มนักวิ่งวัยกลางคน น่าจะมาด้วยกันประมาณ 5 คน ผมวิ่งเกาะไปกับเขาในช่วงกิโลเมตรแรก แต่ยังไม่ทันถึงกิโลเมตรดีเท่าไร ผมเริ่มหอบกับการวิ่งตามกลุ่มนี้ พวกเขาก้าวขายาว และสับขาเร็วกว่า ผมพยายามก้าวให้ทัน แต่เหมือนต้องใช้แรงมากกว่าเป็นสองเท่า ผมตัดสินใจตอนนั้นเลยว่า "ไม่ไหว" ปล่อยพวกเขาไปเถอะ เรากลับมาจังหวะก้าวของเราก่อนดีกว่า ระยะทางยังอีกไกล ตามกลุ่มนี้ตายพอดี พอผ่อนฝีเท้าลง คณะกลุ่มแรกที่ผมทำตัวเป็นกาฝากก็ค่อยๆ ห่างออกไป ไกลขึ้นๆ จนผมเลิกสนใจ

ถัดมาได้สองสามนาที คุณป้าคนหนึ่งก็วิ่งแซงผมขึ้นมา ข้างหลังเสื้อแก มีตัวหนังสือเขียนว่า "Run for Reason" เป็นวลีที่เท่มากในอารมณ์ของคนวิ่งที่กำลังเหนื่อยทั้งที่ยังไม่ควรเหนื่อยแบบผม ผมก็มี Reason ที่ต้องมา Run เหมือนกัน ... เอาล่ะ ผมจะวิ่งไปกับป้าคนนี้ ว่าแล้วผมก็เร่งฝีเท้าเข้าไปตีคู่ คุณป้าแกหันมาสบตาผม ผมยิ้มหวานให้แก ประมาณจะสื่อสารว่า "ขอไปด้วยคนนะครับ" จนผ่านมาถึงกิโลเมตรที่ 2 ความเหนื่อยเริ่มอยู่ตัว ผมรู้แล้วว่าจังหวะวิ่งประมาณนี้ สบายผมแล้ว ดูเวลาตอนนั้นผ่านมาประมาณ 12-13 นาที เงยหน้าขึ้นมาอีกที ข้างหน้าประมาณ 200 เมตร มีโต๊ะให้น้ำจุดแรกรออยู่ ป้าแกวิ่งเบี่ยงชิดขวาออกไปหาโต๊ะน้ำ ผมตามไป แต่พอใกล้ถึงโต๊ะ ป้าแกหยุดวิ่งแล้วเดินเสียอย่างนั้น

"อ้าว" ผมอุทานออกมา ป้าโบกมือส่งสัญญาณให้ผมไปต่อเลย ไม่ต้องรอ

ตอนนั้นจังหวะวิ่งมันเข้าที่แล้ว ผมก็ต้องวิ่งเลยต่อไป คว้าน้ำมากินได้อึกหนึ่ง ที่เหลือเทล้างหน้าและโยนแก้วทิ้งลงบนพื้น ผมคิดสงสัยในใจว่าป้าแกซ้อมมาไม่ดี? หรืออาจจะไม่ใช่นักวิ่งขาประจำ? เพราะหยุดเดินตั้งแต่สองกิโลแรกมันไม่ใช่วิสัยนักวิ่งอาชีพ (คือ ป้าแกแต่งตัวอย่างที่นักวิ่งควร ผิดกับผมที่ถุงเท้าก็ยังไม่ยอมใส่) สมองยังคิดต่อไปอีกว่าถ้าไม่ใช่นักวิ่งอาชีพ แล้วป้าแกมีเหตุผลอะไรที่มาวิ่ง คิดวนไปวนมาเจออีกกลุ่มหนึ่ง กลุ่ม 3 คนนี้น่าจะเป็นเด็ก ม.ปลาย ดูจากเสื้อทีมที่ใส่สลักหลังเป็นชื่อโรงเรียนชื่อดังแถบนั้น ผมย่องตามกลุ่มนี้ไปจนมาเรื่อยๆ ประมาณหนึ่งกิโล แล้วเชือกรองเท้าของหนึ่งในกลุ่มนั้นก็หลุด ทั้งกลุ่มก็เลยหยุดรอเพื่อนผูกเชือก ผมวิ่งแซงทั้งสามคนไป แอบคิดในใจว่า แหม! แซงแบบนี้ไม่สมศักดิ์ศรีเลย (ตั้งใจจะเกาะกลุ่มนี้ไปเรื่อยๆ)

... ช่วงกิโลเมตรที่ 3-4 นี้ ผมเห็นนักวิ่งมืออาชีพ หรือพวกอดีตทีมชาติ ถึงจุดกลับตัวแล้ว (ประมาณกิโลเมตรที่ 5) และวิ่งสวนกลับมา จากตรงนี้ เราจะเห็นว่าใครวิ่งนำมาคนแรก ใครอยู่อันดับที่สอง และจากเบอร์ที่ติดเสื้อ เราก็ได้รู้ว่าใครอายุประมาณเท่าไร เพราะแต่ละรุ่นจะมีสีป้ายต่างกันไป เช่น รุ่นอายุ 60-64 ปี ป้ายขลิบแดง ผมเห็นคุณลุงวัยประมาณนี้ วิ่งกลับตัวแล้วขณะที่ผมยังไม่ถึงครึ่งทาง ก็เกิดคึกขึ้นมาอีกก๊อกหนึ่ง เร่งฝีเท้าขึ้น เพราะอยากกลับตัวและวิ่งไปจุดถึงนั้นบ้าง

ผมวิ่งเดี่ยวๆ ไม่ได้เกาะกลุ่มใคร แซงใครหลายๆ คน และถูกใครแซงไปหลายๆ คนเช่นกัน ผ่านจุดดื่มน้ำที่สอง (ประมาณกิโลเมตรที่ 4) จนถึงจุดกลับตัว ตอนนั้นไม่รู้สึกเหนื่อยอะไร ฝีเท้าเสมอต้นเสมอปลาย ตรงจุดนี้ จะมีการรับสายข้อมือ เพื่อเป็นการยืนยันว่าเราไปถึงครึ่งทางแล้วจริงๆ ผมทำเวลาอยู่ที่ประมาณ 30 นาทีสำหรับ 5 กิโลเมตรแรก น่าพอใจในระดับหนึ่ง ประมาณกิโลเมตรที่ 6 ผมเห็นหลังของกลุ่มแรกที่ผมวิ่งเกาะ อยู่ห่างไปประมาณ 10 เมตร พวกเขายังอยู่กับครบ 5 คน แอบคิดในใจอีกแล้วว่าสุดท้ายก็หนีผมไม่พ้น ผมเริ่มก้าวยาวขึ้น ตั้งใจจะไล่ให้ทัน อารมณ์ตอนนั้ผมสนุกกับการวิ่งไล่ตามเป้าหมาย แต่เป้าหมายของผมเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แม้จะแค่ 10 เมตร แต่ก็ต้องเร่งเครื่องให้เร็วขึ้น ไม่งั้นห่าง 10 เมตร ก็ยังห่าง 10 เมตรต่อไป สิบเมตรนั้นมันไกลเหลือเกิน ยิ่งก้าวยาวยิ่งเหนื่อย ยิ่งก้าวขาเร็วยิ่งปวดขา

เหมือนกลุ่มนั้นก็ความเร็วตกเหมือนกัน ผมไล่ทันประมาณกิโลเมตรที่ 7 ผมเกาะกลุ่มนี้อีกครั้ง แต่ไม่ถึงนาทีก็ต้องหยุดตาม เพราะอยู่ๆ อาการปวดเข่าก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน ปวดทั้งเข่า ทั้งข้อเท้า ไม่เคยปวดแบบนี้ระหว่างวิ่งมาก่อน รู้สึกว่าผิดปกติแล้ว เลยชะลอฝีเท้าลงเรื่อยๆ ฝืนอยู่สักพักจนความเร็วไม่ต่างจากการเดินเท่าไร อาการเจ็บมันเสียวแปลบตรงหัวเข่าทั้งสองข้าง ปวดหนึบตรงข้อเท้า อาการเจ็บแบบนี้มันทำให้ผมยิ่งเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าสามเท่า เพราะรู้สึกว่าเราจะไปถึงเป้าหมายช้าลงไปอีก

ผมต้วมเตี้ยมๆ อยู่สักสิบนาที น่าจะกิโลเมตรที่ 8 กลุ่มเด็ก ม.ปลายสามคนนั่นก็แซงผมไป แอบเจ็บใจนิดๆ แต่ก็ต้องปล่อยมันผ่านไป ศักยภาพตอนนี้ไปแข่งด้วยคงไม่ไหว จังหวะวิ่งผมไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมเห็นทรายบริเวณริมถนน เลยวิ่งเหยียบไปบนนั้น หวังว่ามันจะช่วยลดแรงกระแทกที่แต่ละก้าวยิ่งทำให้ปวดเข่ามากขึ้น กลับกลายเป็นว่าผมคิดผิดถนัด เพราะดันมีเม็ดทรายกระเด็นเข้ารองเท้า และผมไม่ได้ใส่ถุงเท้า ทรายเม็ดเล็กๆ คอยทิ่มฝ่าเท้า ความเจ็บจากเข่าย้ายไปที่ฝ่าเท้าแทน อันที่จริง ผมควรจะหยุดแล้วเททรายเม็ดนั้นออกจากรองเท้า แต่ความรู้สึกตอนนั้นบอกว่า ถ้าเครื่องหยุดเมื่อไร จะสตาร์ตใหม่ยากแน่นอน และผมไม่แน่ใจด้วยว่าถ้าก้มลงไปถอดรองเท้าแล้วจะลุกขึ้นไหวไหม? สุดท้ายเลยกลั้นใจวิ่งมันไปแบบนี้แหละ

แล้วก็มีเสียงสวรรค์แว่วๆ มา คุณป้า Run for Reason ที่กำลังจะแซงผม เอ่ยปากถามมาว่า "เป็นอะไรวิ่งเขยกๆ" ผมเล่าอาการให้ฟังแบบย่อๆ ด้วยเสียงที่พอจะพูดด้วยความเหนื่อยขนาดนั้น แต่คุณป้ากลับบอกผมว่า "ไป ไปด้วยกัน" เหมือน มอ'ไซค์เปิดใช้น้ำมันก๊อกสอง ผมมีฮึดอีกครั้ง ป้าแกก็ชะลอความเร็วลงมา ผมก็เร่งขึ้นไป แล้วเราก็ตีคู่กันมาเรื่อยๆ ตอนนั้นเหนื่อยมากจนไม่สามารถเก็บเสียงหอบได้ "ฮืด ฮาดๆ" เสียงดังไม่เกรงใจใครแล้ว เข่า เท้า และข้อเท้าก็ยังเจ็บอยู่ แต่หยุดไม่ได้ เพราะเกรงใจป้าแก แกอุตส่าห์รอ เราจะยอมแพ้ไม่ได้

ระหว่างกิโลเมตรสุดท้ายที่ป้าแกช่วยลากผมเข้าเส้นชัย ผมคิดสะระตะ <ไม่น่าไปเร่งความเร็วตามกลุ่มนั้นเลย น่าจะใส่ถุงเท้ามา น่าจะซ้อมล่วงหน้าสักอาทิตย์ ฯลฯ> และอีกหลายๆ "น่า และไม่น่า" ผมคิดถึงเหตุผลที่ทำให้มาลงแข่งวิ่งครั้งนี้ มีเหตุผลเดียว คือ "เธอ" เธอเป็น Reason ให้ผมลงมือทำเรื่องยากๆ เธอยังเป็น Reason ให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเอง และเธอเป็น Reason ให้ผม Run จนถึงเส้นชัย

ช่วงก่อนเข้าเส้นชัยสัก 100 เมตรสุดท้าย ผมปล่อยให้ป้าแซงผมไป ผมอยากเห็นตัวหนังสือบนหลังเสื้อของคุณป้าอีกครั้ง "Run for Reason" ผมถึงเส้นชัยและเจอ Reason ของผมแล้ว

You're my Reason!
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่