“เชื่อมั้ย? ผมเคยหนักที่สุดเกือบ 100 ก.ก“
นี่คือความจริง ที่ไม่มีใครในโลกรู้ แม้แต่พ่อกับแม่ก็ยังคิดว่าผมเคยหนักสุด 70-80 ก.ก.
เพราะผมจะโกหกตลอด...
ถ้าคุณคลิกเข้ามาในกระทู้นี้ และคาดหวัง HOW TO การลดน้ำหนักสุดเริ่ด เช่น ลดน้ำหนักภายใน 7 วัน 10 วัน สูตรอาหารคลีน บลาๆ... ต้องบอกตรงๆ ว่าคุณอาจผิดหวัง จบทุกอย่างด้วยการคอมเม้นท์ด่ากราด และปิดกระทู้ผมทิ้งไป แต่ถ้าอยากได้แรงบันดาลใจดีๆ เอาไว้เปลี่ยนแปลงชีวิตสักครั้ง เรื่อง (เคย) ห่วย ในชีวิตผมรอคุณอยู่ฮะ
ผมเป็นเด็กอ้วน
ผมเกลียดเครื่องชั่งน้ำหนัก และอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับน้ำหนัก!
ผมเกลียดคนผอม และหลอกตัวเองว่าไม่อยากผอม! อ้วนแล้วหนักหัวใคร บลาๆ...
ผมรักการกิน ไม่ว่าจะกินอะไรต้องเบิ้ล 2 ตลอด กินได้ตลอด ต่อให้หัวกำลังหนุนหมอน และปิดไฟนอนไปแล้วก็ตาม
ผมโดนเพื่อนแกล้งเสมอ
หนักสุด คือโดนนักเลงประจำห้องที่ตอนนั้นอินกับละครเรื่อง นายขนมต้ม เตะ ต่อยผม ด้วยท่าแม่ไม้มวยไทยมากมายที่มันจำมา รอบข้างไม่มีคนกล้าช่วย มีแต่คนโห่เชียร์ จำได้ว่าตอนนั้นผมเกลียด สมรักษ์ คำสิงห์ กับ ช่อง 7 ไปเลย
ผมเป็นเด็กโมโหเกรี้ยวกราด ป้องกันคนแกล้ง คนแซว
ผมเกลียดวิชาพละ เพราะผมห่วย และไม่เคยตามใครทัน ต่อให้เป็นการเดินวอร์มร่างกายช้าๆ ก็ตาม
ผมไม่อยากมีตัวตน อยากเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ นั่งหมกตัวอยู่ในห้องสมุดทั้งวัน จะรักมาก ถ้าใครมองผ่านผมไป และทำเหมือนผมเป็นอากาศ
ผมต้องใส่เสื้อผ้าที่ใหญ่กว่าตัว เพื่ออำพรางชั้นไขมัน
ผมไม่ชอบถ่ายรูป ไม่ชอบเห็นตัวเองในภาพถ่าย
ผมเป็นโรคหอบ หืด หลังจากที่น้ำหนักพุ่งถึงขีดสุด หมอเคยบอกว่า หัวใจของผมตอนนี้ทำงานหนักมาก ต้องเริ่มออกกำลังกายและลดน้ำหนัก จำได้ว่าต้องเข้าไปนั่งพ่นยาในห้องมืดๆ เล็กๆ ของโรงพยาบาลทุกวันเกือบอาทิตย์ แล้วร้องไห้ไปด้วย...
แทบไม่น่าเชื่อว่าทุกอย่างที่ผมพูดมา ผมต้องเผชิญหน้ากับมันตั้งแต่อายุราวๆ 12 ปี แต่ก็ต้องบอกว่า... ตอนนั้น ผมเองก็ยังเด็กเกินกว่าจะฮึดสู้ จะคิดได้ หรือกลัวตายอะไรนักหนา เวลาผ่านไป ผมก็ลืม กลับสู่วิถีเด็กอ้วนแบบเดิมๆ อยู่ดี
แล้วจุดเปลี่ยนคืออะไร?
สำหรับผม มันเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่มากนะ
ผมไม่ได้โคม่า...
ไม่ได้แอบชอบใคร... ไม่ได้อกหัก...
จำได้ว่าเป็นช่วงปีใหม่ แล้วมีงานปาร์ตี้ที่บ้าน ผมกินหอยแครงดิบ
ท้องเสีย เข้าโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์
นี่แหละจุดเปลี่ยน!!!
น้ำหนักผมลดลงไปเกือบ 5 ก.ก.
เล่าให้ใครฟัง ใครก็ขำ แต่ผมไม่ได้เอาฮา ผมพูดจริงๆ มันยิ่งใหญ่มากนะ เพราะว่านั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้สึกว่า เฮ้ย! เราก็ผอมได้นี่หว่า อะไรในร่างกายเรามันลดลงได้อีกนี่ ยิ่งมีคนทักว่าผอมลง ผมยิ่งชอบ ยิ่งได้ใจ เลยตัดสินใจ เริ่มลดความอ้วนจริงจังเลยแล้วกัน
วิธีแรกในชีวิตเด็กอ้วนดำอย่างผม คือ... แอโรบิค
อายมาก เอาตรงๆ... มันควรจะต้องเป็นอาม๊า อาแปะ ที่ต้องยืนเต้นแอโรบิคอยู่หน้าโลตัสไม่ใช่เหรอ?
ใน CD สอนเต้น จำได้ว่าคนนำเต้นชื่อ เจน หรืออะไรสักอย่าง แต่งตัวเป็นสีๆ เต้นรัวๆ เร็วๆ โดยไม่ได้แคร์เด็กอ้วนซึ่งอยู่ทางบ้านอย่างผม และพร้อมจะตัวแตกใส่โทรทัศน์ตลอดเวลา
*แอโรบิค เผาผลาญแคลอรี่อยู่ที่ 500-600 แคลอรี่/ชั่วโมง
*ภายใน 3 เดือน ใช้เวลาเต้นวันเว้นวัน อาการตอนนั้น เจ็บหัวใจบ้าง หายใจไม่ทัน เจ็บเข่า แต่ก็ทนเอา จากน้ำหนัก 90 ก.ก. ลงมาเหลืออยู่ที่ 85 ก.ก.
*การกินตอนนั้น ลดลงบ้าง แต่ไม่เคร่งมาก อาศัยว่า กินเยอะ ก็เต้นหนักหน่อย อะไรประมาณนั้น
น้ำหนักลงก็จริง แต่ผมก็ไม่ได้พอใจครับ
เวลาผ่านไป... ผมเต้นแอโรบิกจนแผ่นเจ๊ง
ตอนนั้น ดูรายการอะไรสักอย่าง แล้วเห็นดาราเล่นโยคะกันเยอะ อ๋อ! ใช่ฮะ ผมเลยแว๊นมอ’ไซต์ ไปซื้อหนังสือโยคะ ที่ขายตามร้านสะดวกซื้อมาลองดู (แบบเงียบๆ)
ผลปรากฎคือ...
ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ ผมตัวใหญ่ด้วยมั้ง ไม่ถึงเดือนผมก็เบื่อแล้ว น้ำหนักไม่ได้ลดลง แต่ ผมไม่ได้บอกว่าโยคะไม่ดีนะ อย่าดราม่า ผมว่า นี่เป็นการออกกำลังกายเฉพาะ ที่ต้องการคนสอน ต้องแม่น ต้องปลอดภัย ตอนนั้น เล่นไปก็เจ็บตัวไป เลยโยนหนังสือทิ้ง
*โยคะ เผาพลังงานให้หายได้ 200-400 แคลอรี่/ชั่วโมง ถ้าคุณทำได้
*ปัจจุบันนี้ ผมเล่นโยคะบ้างฮะ สาบานเลย โยคะร้อนช่วยได้ ผมเคยน้ำหนักลดลงเกือบครึ่ง ก.ก. หลังจากเล่นโยคะร้อนเสร็จ 1 ชั่วโมง 15 นาที
ผมห่างหายจากการออกกำลังกาย ลดน้ำหนักไปพักใหญ่
ก่อนจะเริ่มกลับมาอ้วนเหมือนเดิม สังเกตได้จากการที่ตัวเองเริ่มไม่กล้าขึ้นตาชั่งน้ำหนักนี่แหละ
ตอนนั้น บ้านผมอยู่ที่ภูเก็ต
พ่อผมตื่นตี 5 ไปวิ่งออกกำลังกายหน้าชายหาดอยู่แล้ว
ผมเลยติดสอยห้อยตามพ่อไป
ความรู้สึกแรกคือเหมือนจะตาย
ตั้งแต่ตอนตื่น ตอนวอร์ม ยันตอนวิ่ง จะก้าวขายังทำไม่ได้เลย รู้สึกแย่มาก แต่ตอนนั้น ต้องกราบพ่อพันครั้ง เพราะบังคับผมทุกวัน ให้ตื่น ให้วิ่ง ให้เดิน ผมก็ชิ่งบ้าง ไปบ้าง แต่ตอนนั้น ก็ไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ละ 3 ครั้งนะ เกือบเดือนเหมือนกัน กว่าจะเข้าที่
แต่ เฮ้ย! เป็นเล่นไป นี่คือจุดพีคแรกในชีวิตเลยนะ
น้ำหนักผมลดลงเร็วมากเลย จำได้ว่าตอนนั้น กินเท่าเดิม
แต่เดือนเดียวลงไปเกือบ 3 ก.ก. (เท่าตอนแอบเต้นแอโรบิคเอง 3 เดือน)
นี่ไง ดอกจันล้านดอกไว้เลยนะเด็กๆ
*ผมวิ่งตอนเช้า 3-4 ครั้ง/อาทิตย์ รวมทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
น้ำนักผมลงไป 7-10 ก.ก. เลยนะจะบอกให้
ผมเริ่มผอมลงจากเดิม โรคหอบหืดดีขึ้น เรื่องพ่นยาหอบหืดก็ไม่ต้องแล้ว ชีวิตดีขึ้นเยอะ
*รู้มั้ย? การออกกำลังกายตอนเช้า จะลดน้ำหนักได้ดีมากเลยนะ เพราะ มันจะดึงพลังงานส่วนเกินในร่างกายมาใช้ แต่ถ้าคุณทั้งหลาย ออกกำลังกายเวลาอื่น มันจะดึงจากสิ่งที่คุณกินเข้าไปมาใช้ พวกไขมันส่วนเกินต่างๆ ก็จะยังเผละอยู่ในตัวเรา
ลองดูนะ ยากจะตาย การออกกำลังกายก็ยากแล้ว การตื่นเช้ายิ่งยากกว่า แต่เอาจริงๆ ยากแต่ทำได้นะ คุ้มที่จะลองด้วย
ในที่สุด ก็ถึงอีกช่วงพีคของชีวิต
สารภาพว่าหลังจากที่น้ำหนักเริ่มลง ผมก็เริ่มหายจากการวิ่งไปเรื่อยๆ
ชีวิตเข้าสู่ช่วง ม.ปลาย เริ่มใช้ชีวิตหนัก ไหนจะต้องเรียน ร.ด. อีก แค่นี้ก็ใช้พลังงานเป็นล้านแคลอรี่ละ
นั่นแหละ ผมหลอกตัวเอง น้ำหนักเริ่มเด้งกลับมาอยู่ที่ 80 ก.ก. แบบงงๆ
หงุดหงิดตัวเองมาก เพราะเอาเข้าจริง เรียน ร.ด. ก็ไม่ได้ต้องวิ่งพล่าน หรือวิดพื้นตลอดเวลา
ผมค้างคากับน้ำหนักตัวเอง จนเข้ามหาวิทยาลัย
พลิกชีวิต! จากเด็กอ้วนเกือบ 100 ก.ก. สู่การถ่ายแบบจริงครั้งแรก
นี่คือความจริง ที่ไม่มีใครในโลกรู้ แม้แต่พ่อกับแม่ก็ยังคิดว่าผมเคยหนักสุด 70-80 ก.ก.
เพราะผมจะโกหกตลอด...
ถ้าคุณคลิกเข้ามาในกระทู้นี้ และคาดหวัง HOW TO การลดน้ำหนักสุดเริ่ด เช่น ลดน้ำหนักภายใน 7 วัน 10 วัน สูตรอาหารคลีน บลาๆ... ต้องบอกตรงๆ ว่าคุณอาจผิดหวัง จบทุกอย่างด้วยการคอมเม้นท์ด่ากราด และปิดกระทู้ผมทิ้งไป แต่ถ้าอยากได้แรงบันดาลใจดีๆ เอาไว้เปลี่ยนแปลงชีวิตสักครั้ง เรื่อง (เคย) ห่วย ในชีวิตผมรอคุณอยู่ฮะ
ผมเป็นเด็กอ้วน
ผมเกลียดเครื่องชั่งน้ำหนัก และอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับน้ำหนัก!
ผมเกลียดคนผอม และหลอกตัวเองว่าไม่อยากผอม! อ้วนแล้วหนักหัวใคร บลาๆ...
ผมรักการกิน ไม่ว่าจะกินอะไรต้องเบิ้ล 2 ตลอด กินได้ตลอด ต่อให้หัวกำลังหนุนหมอน และปิดไฟนอนไปแล้วก็ตาม
ผมโดนเพื่อนแกล้งเสมอ
หนักสุด คือโดนนักเลงประจำห้องที่ตอนนั้นอินกับละครเรื่อง นายขนมต้ม เตะ ต่อยผม ด้วยท่าแม่ไม้มวยไทยมากมายที่มันจำมา รอบข้างไม่มีคนกล้าช่วย มีแต่คนโห่เชียร์ จำได้ว่าตอนนั้นผมเกลียด สมรักษ์ คำสิงห์ กับ ช่อง 7 ไปเลย
ผมเป็นเด็กโมโหเกรี้ยวกราด ป้องกันคนแกล้ง คนแซว
ผมเกลียดวิชาพละ เพราะผมห่วย และไม่เคยตามใครทัน ต่อให้เป็นการเดินวอร์มร่างกายช้าๆ ก็ตาม
ผมไม่อยากมีตัวตน อยากเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ นั่งหมกตัวอยู่ในห้องสมุดทั้งวัน จะรักมาก ถ้าใครมองผ่านผมไป และทำเหมือนผมเป็นอากาศ
ผมต้องใส่เสื้อผ้าที่ใหญ่กว่าตัว เพื่ออำพรางชั้นไขมัน
ผมไม่ชอบถ่ายรูป ไม่ชอบเห็นตัวเองในภาพถ่าย
ผมเป็นโรคหอบ หืด หลังจากที่น้ำหนักพุ่งถึงขีดสุด หมอเคยบอกว่า หัวใจของผมตอนนี้ทำงานหนักมาก ต้องเริ่มออกกำลังกายและลดน้ำหนัก จำได้ว่าต้องเข้าไปนั่งพ่นยาในห้องมืดๆ เล็กๆ ของโรงพยาบาลทุกวันเกือบอาทิตย์ แล้วร้องไห้ไปด้วย...
แทบไม่น่าเชื่อว่าทุกอย่างที่ผมพูดมา ผมต้องเผชิญหน้ากับมันตั้งแต่อายุราวๆ 12 ปี แต่ก็ต้องบอกว่า... ตอนนั้น ผมเองก็ยังเด็กเกินกว่าจะฮึดสู้ จะคิดได้ หรือกลัวตายอะไรนักหนา เวลาผ่านไป ผมก็ลืม กลับสู่วิถีเด็กอ้วนแบบเดิมๆ อยู่ดี
แล้วจุดเปลี่ยนคืออะไร?
สำหรับผม มันเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่มากนะ
ผมไม่ได้โคม่า...
ไม่ได้แอบชอบใคร... ไม่ได้อกหัก...
จำได้ว่าเป็นช่วงปีใหม่ แล้วมีงานปาร์ตี้ที่บ้าน ผมกินหอยแครงดิบ
ท้องเสีย เข้าโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์
นี่แหละจุดเปลี่ยน!!!
น้ำหนักผมลดลงไปเกือบ 5 ก.ก.
เล่าให้ใครฟัง ใครก็ขำ แต่ผมไม่ได้เอาฮา ผมพูดจริงๆ มันยิ่งใหญ่มากนะ เพราะว่านั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้สึกว่า เฮ้ย! เราก็ผอมได้นี่หว่า อะไรในร่างกายเรามันลดลงได้อีกนี่ ยิ่งมีคนทักว่าผอมลง ผมยิ่งชอบ ยิ่งได้ใจ เลยตัดสินใจ เริ่มลดความอ้วนจริงจังเลยแล้วกัน
วิธีแรกในชีวิตเด็กอ้วนดำอย่างผม คือ... แอโรบิค
อายมาก เอาตรงๆ... มันควรจะต้องเป็นอาม๊า อาแปะ ที่ต้องยืนเต้นแอโรบิคอยู่หน้าโลตัสไม่ใช่เหรอ?
ใน CD สอนเต้น จำได้ว่าคนนำเต้นชื่อ เจน หรืออะไรสักอย่าง แต่งตัวเป็นสีๆ เต้นรัวๆ เร็วๆ โดยไม่ได้แคร์เด็กอ้วนซึ่งอยู่ทางบ้านอย่างผม และพร้อมจะตัวแตกใส่โทรทัศน์ตลอดเวลา
*แอโรบิค เผาผลาญแคลอรี่อยู่ที่ 500-600 แคลอรี่/ชั่วโมง
*ภายใน 3 เดือน ใช้เวลาเต้นวันเว้นวัน อาการตอนนั้น เจ็บหัวใจบ้าง หายใจไม่ทัน เจ็บเข่า แต่ก็ทนเอา จากน้ำหนัก 90 ก.ก. ลงมาเหลืออยู่ที่ 85 ก.ก.
*การกินตอนนั้น ลดลงบ้าง แต่ไม่เคร่งมาก อาศัยว่า กินเยอะ ก็เต้นหนักหน่อย อะไรประมาณนั้น
น้ำหนักลงก็จริง แต่ผมก็ไม่ได้พอใจครับ
เวลาผ่านไป... ผมเต้นแอโรบิกจนแผ่นเจ๊ง
ตอนนั้น ดูรายการอะไรสักอย่าง แล้วเห็นดาราเล่นโยคะกันเยอะ อ๋อ! ใช่ฮะ ผมเลยแว๊นมอ’ไซต์ ไปซื้อหนังสือโยคะ ที่ขายตามร้านสะดวกซื้อมาลองดู (แบบเงียบๆ)
ผลปรากฎคือ...
ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ ผมตัวใหญ่ด้วยมั้ง ไม่ถึงเดือนผมก็เบื่อแล้ว น้ำหนักไม่ได้ลดลง แต่ ผมไม่ได้บอกว่าโยคะไม่ดีนะ อย่าดราม่า ผมว่า นี่เป็นการออกกำลังกายเฉพาะ ที่ต้องการคนสอน ต้องแม่น ต้องปลอดภัย ตอนนั้น เล่นไปก็เจ็บตัวไป เลยโยนหนังสือทิ้ง
*โยคะ เผาพลังงานให้หายได้ 200-400 แคลอรี่/ชั่วโมง ถ้าคุณทำได้
*ปัจจุบันนี้ ผมเล่นโยคะบ้างฮะ สาบานเลย โยคะร้อนช่วยได้ ผมเคยน้ำหนักลดลงเกือบครึ่ง ก.ก. หลังจากเล่นโยคะร้อนเสร็จ 1 ชั่วโมง 15 นาที
ผมห่างหายจากการออกกำลังกาย ลดน้ำหนักไปพักใหญ่
ก่อนจะเริ่มกลับมาอ้วนเหมือนเดิม สังเกตได้จากการที่ตัวเองเริ่มไม่กล้าขึ้นตาชั่งน้ำหนักนี่แหละ
ตอนนั้น บ้านผมอยู่ที่ภูเก็ต
พ่อผมตื่นตี 5 ไปวิ่งออกกำลังกายหน้าชายหาดอยู่แล้ว
ผมเลยติดสอยห้อยตามพ่อไป
ความรู้สึกแรกคือเหมือนจะตาย
ตั้งแต่ตอนตื่น ตอนวอร์ม ยันตอนวิ่ง จะก้าวขายังทำไม่ได้เลย รู้สึกแย่มาก แต่ตอนนั้น ต้องกราบพ่อพันครั้ง เพราะบังคับผมทุกวัน ให้ตื่น ให้วิ่ง ให้เดิน ผมก็ชิ่งบ้าง ไปบ้าง แต่ตอนนั้น ก็ไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ละ 3 ครั้งนะ เกือบเดือนเหมือนกัน กว่าจะเข้าที่
แต่ เฮ้ย! เป็นเล่นไป นี่คือจุดพีคแรกในชีวิตเลยนะ
น้ำหนักผมลดลงเร็วมากเลย จำได้ว่าตอนนั้น กินเท่าเดิม
แต่เดือนเดียวลงไปเกือบ 3 ก.ก. (เท่าตอนแอบเต้นแอโรบิคเอง 3 เดือน)
นี่ไง ดอกจันล้านดอกไว้เลยนะเด็กๆ
*ผมวิ่งตอนเช้า 3-4 ครั้ง/อาทิตย์ รวมทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
น้ำนักผมลงไป 7-10 ก.ก. เลยนะจะบอกให้
ผมเริ่มผอมลงจากเดิม โรคหอบหืดดีขึ้น เรื่องพ่นยาหอบหืดก็ไม่ต้องแล้ว ชีวิตดีขึ้นเยอะ
*รู้มั้ย? การออกกำลังกายตอนเช้า จะลดน้ำหนักได้ดีมากเลยนะ เพราะ มันจะดึงพลังงานส่วนเกินในร่างกายมาใช้ แต่ถ้าคุณทั้งหลาย ออกกำลังกายเวลาอื่น มันจะดึงจากสิ่งที่คุณกินเข้าไปมาใช้ พวกไขมันส่วนเกินต่างๆ ก็จะยังเผละอยู่ในตัวเรา
ลองดูนะ ยากจะตาย การออกกำลังกายก็ยากแล้ว การตื่นเช้ายิ่งยากกว่า แต่เอาจริงๆ ยากแต่ทำได้นะ คุ้มที่จะลองด้วย
ในที่สุด ก็ถึงอีกช่วงพีคของชีวิต
สารภาพว่าหลังจากที่น้ำหนักเริ่มลง ผมก็เริ่มหายจากการวิ่งไปเรื่อยๆ
ชีวิตเข้าสู่ช่วง ม.ปลาย เริ่มใช้ชีวิตหนัก ไหนจะต้องเรียน ร.ด. อีก แค่นี้ก็ใช้พลังงานเป็นล้านแคลอรี่ละ
นั่นแหละ ผมหลอกตัวเอง น้ำหนักเริ่มเด้งกลับมาอยู่ที่ 80 ก.ก. แบบงงๆ
หงุดหงิดตัวเองมาก เพราะเอาเข้าจริง เรียน ร.ด. ก็ไม่ได้ต้องวิ่งพล่าน หรือวิดพื้นตลอดเวลา
ผมค้างคากับน้ำหนักตัวเอง จนเข้ามหาวิทยาลัย