ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :- ชาติที่เป็นอดีต ของพระองค์ชื่อว่ายังไม่สิ้นไปก่อน
(ด้วยมรรคเพราะชาตินั้น สิ้นไปแล้ว ในกาลก่อน.ชาติที่เป็นอนาคตของพระองค์
ชื่อว่ายังไม่สิ้นไป เพราะไม่มีความพยายาม ในอนาคต, ชาติที่เป็นปัจจุบันของพระองค์
ก็ชื่อว่ายังไม่สิ้นไป เพราะชาติยังมีอยู่, ส่วนชาติใด อันต่าง โดยประเภทคือขันธ์ ๑ ขันธ์ ๔
และขันธ์ ๕อบรมมรรค ชาตินั้นจัดว่าสิ้นไปแล้วเพราะถึงความไม่เกิด
ขึ้นเป็นธรรมดาเหตุมีมรรคอันได้อบรมแล้ว, พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ครั้นทรงพิจารณาถึงกิเลส ที่พระองค์ทรงละด้วยมรรคภาวนาแล้ว
ทรงทราบว่า เมื่อไม่มีกิเลส กรรมแม้ยังมีอยู่ ก็ไม่มีปฏิสนธิต่อ ไป
จึงชื่อว่าได้ทรงรู้ชาตินั้นแล้ว.บทว่า วุสิตํ ความว่า (พรหมจรรย์) อันเราอยู่แล้ว
คืออยู่จบแล้ว. อธิบายว่า อันเรากระทำ ประพฤติ ให้เสร็จสิ้นแล้ว.
ดูก่อนพราหมณ์ ! ก็ลูกไก่ตัวนั้น ได้ทำลายกระเปาะฟอง ไข่แล้ว
ออกไปจากกระเปาะฟองไข่นั้นย่อมชื่อว่าเกิดครั้งเดียวเท่านั้น
ส่วนเราได้ทำลายกระเปาะฟอง คืออวิชชา อันปกปิดขันธ์ที่เราเคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนแล้ว
ชื่อว่า เกิดแล้วครั้งแรกทีเดียวเพราะวิชชาคือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ
ต่อจากนั้นได้ทำลายกระเปาะฟองคืออวิชชา อันปกปิดจุติปฏิสนธิของสัตว์ทั้ง หลาย
ชื่อว่าเกิดแล้วครั้งที่ ๒เพราะวิชชา คือทิพยจักษุญาณ ต่อมาอีก ได้กระเปาะฟองคืออวิชชาอันปก
ปิดสัจจะ ๔ ชื่อว่าเกิดแล้วครั้งที่ ๓ เพราะวิชชาคืออาสวักขยญาณเราเป็นผู้ชื่อว่าเกิดแล้ว ๓ ครั้ง
เพราะ วิชชาทั้ง ๓ ดังพรรณนามาฉะนี้ และของเรานั้นจึงเป็น อริยะ คือดีงาม บริสุทธิ์.
กถาว่าด้วยอาสวักขยญาณ
(ด้วยมรรคเพราะชาตินั้น สิ้นไปแล้ว ในกาลก่อน.ชาติที่เป็นอนาคตของพระองค์
ชื่อว่ายังไม่สิ้นไป เพราะไม่มีความพยายาม ในอนาคต, ชาติที่เป็นปัจจุบันของพระองค์
ก็ชื่อว่ายังไม่สิ้นไป เพราะชาติยังมีอยู่, ส่วนชาติใด อันต่าง โดยประเภทคือขันธ์ ๑ ขันธ์ ๔
และขันธ์ ๕อบรมมรรค ชาตินั้นจัดว่าสิ้นไปแล้วเพราะถึงความไม่เกิด
ขึ้นเป็นธรรมดาเหตุมีมรรคอันได้อบรมแล้ว, พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ครั้นทรงพิจารณาถึงกิเลส ที่พระองค์ทรงละด้วยมรรคภาวนาแล้ว
ทรงทราบว่า เมื่อไม่มีกิเลส กรรมแม้ยังมีอยู่ ก็ไม่มีปฏิสนธิต่อ ไป
จึงชื่อว่าได้ทรงรู้ชาตินั้นแล้ว.บทว่า วุสิตํ ความว่า (พรหมจรรย์) อันเราอยู่แล้ว
คืออยู่จบแล้ว. อธิบายว่า อันเรากระทำ ประพฤติ ให้เสร็จสิ้นแล้ว.
ดูก่อนพราหมณ์ ! ก็ลูกไก่ตัวนั้น ได้ทำลายกระเปาะฟอง ไข่แล้ว
ออกไปจากกระเปาะฟองไข่นั้นย่อมชื่อว่าเกิดครั้งเดียวเท่านั้น
ส่วนเราได้ทำลายกระเปาะฟอง คืออวิชชา อันปกปิดขันธ์ที่เราเคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนแล้ว
ชื่อว่า เกิดแล้วครั้งแรกทีเดียวเพราะวิชชาคือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ
ต่อจากนั้นได้ทำลายกระเปาะฟองคืออวิชชา อันปกปิดจุติปฏิสนธิของสัตว์ทั้ง หลาย
ชื่อว่าเกิดแล้วครั้งที่ ๒เพราะวิชชา คือทิพยจักษุญาณ ต่อมาอีก ได้กระเปาะฟองคืออวิชชาอันปก
ปิดสัจจะ ๔ ชื่อว่าเกิดแล้วครั้งที่ ๓ เพราะวิชชาคืออาสวักขยญาณเราเป็นผู้ชื่อว่าเกิดแล้ว ๓ ครั้ง
เพราะ วิชชาทั้ง ๓ ดังพรรณนามาฉะนี้ และของเรานั้นจึงเป็น อริยะ คือดีงาม บริสุทธิ์.