ฮีโร่ผู้เสียสละ นอกจากภาษาอังกฤษแล้วก็มีชีววิทยานี่แหละที่เราพอจะพูดจากับมันรู้เรื่องหน่อย โดยเฉพาะเวลาที่มีการทดลองในห้องแล็บก็จะหนุก ๆหนาน ๆเพราะมักมีอะไรแปลก ๆมาให้ทำตลอดทีเดียว บางวันก็ได้ผ่ากบ ดูหัวใจที่กำลังเต้นของมัน ขนาดตัดขั้วคีบออกมาวางบนมือ มันก็ยังเต้นตุบ ๆได้ตั้งนานสองนานเชียวแหละ บางวันก็ได้ผ่าปลาเพื่อดูอวัยวะภายใน ยังจำได้เลยว่า เพื่อนในห้องชื่อวิไล ( คงไม่ต้องบอกว่าหญิงหรือชาย เพราะขืนผู้ชายชื่อวิไล ก็บรรลัยล่ะ หุหุ ) เค้าผ่า ๆปลากันอยู่ที่หน้าชั้นกับอาจารย์ เธอทะเล่อทะล่ามาอีท่าไหนไม่รู้ โผล่เข้ามาในวง แล้วก็เอื้อนเอ่ยคำถามที่ทุกคนแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองว่า " อาจารย์คะ ไหนคะปอด" เล่นเอาอาจารย์เหวอไปเลย เพราะทุกคนย่อมรู้ข้อมูลพื้นฐานมาตั้งกะสมัยพระเจ้าเหาที่สิบสี่แล้วว่า ปลาหายใจทางเกล็ด เอ๊ยไม่ใช่สิ เหงือกตะหาก แล้วมันจะมีปอดไปเฮ็ดหยังอันใดฤา งานนี้วิไลเลยบรรลัยหน้าตัวเองไปในระดับยี่สิบฝีเข็มได้มั้ง
แล้วมาวันนึง โอกาสการเป็นฮีโร่มัยซินของเราก็มาตกใส่ท้องเข้าจั๋ง ๆทีเดียวเชียว เพราะอาจารย์ต้องการอาสาสมัครสละสเปิร์มเพื่อชาติ เอ๊ยเพื่อให้เยาวชนของชาติที่เป็นเพื่อน ๆร่วมห้องได้ศึกษาเป็นวิทยาทาน เราเป็นหนึ่งในห้ามั้งจากผู้ชายในห้องเก้าคน (งานนี้ผู้หญิงหมดสิทธิ์ 555 ) ที่ยกมืออาสาออกไปรับถ้วยพลาสติกจากอาจารย์ จากนั้นพวกเราทั้งห้าก็เดินเรียงแถวออกจากห้องแล็บไป พร้อมด้วยคำมอบหมายภารกิจให้ไปตกลงกันเองว่าใครคนเดียวคนไหนจะเป็นคนลงแรง และเสียสละน้ำเชื้อในครานี้ นัยว่าเอาไป 5 เพื่อให้ทุกคนในห้องโดยเฉพาะเหล่าเพื่อน ๆสาว ๆจะได้ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นฮีโร่ผู้เสียสละน้ำเชื้อของตัวเอง ทั้งเพื่อไม่ให้ฮีโร่ต้องขวยเขินเกินงามอีกด้วย
ทว่าการณ์หาได้เป็นดังนั้นไม่ เพราะพอเดินกลับเข้ามาในห้องเท่านั้น ไอ้เพื่อนตัวดีมันก็เริ่มส่งซิกแน่ลสัญญาณรหัสพยักเพยิด บุ้ยปาก ส่งสายตาชี้ชัดมาที่เรา ทีนี้จึ่งมีการส่งรหัสสัญญาณกันไปทั่วห้อง เป็นอันว่า จบ เรื่องที่อาจารย์ตั้งใจจะให้เป็นปริศนาคาใจไปตลอดชีวิตเลยถูกเฉลยไขในชั่วไม่กี่พริบตา เล่นเอาเราหน้าเหน้อหูหางร้อนผ่าวอยู่เป็นวูบ ๆ มองไปทางไหนก็เห็นสีหน้าและสายตากรุ้ม ๆกริ่ม ๆระคนอมยิ้ม ประมาณว่า " อิอิ คริ ๆ ชั้นรู้นะว่า เมื่อกี้เธอไปทำไรมา หุหุ" ประเภท ถ้าเป็นหนังก็ต้องตั้งชื่อว่า I Know What You Did Last 10 Minutes นั่นแหละ สิ่งที่ตามมาอีกอย่างคือ นั่นก็ทำให้อริชายในห้องของเราที่ไม่ได้อาสาตัวออกไปในตอนแรก ไม่ยอมมาส่องกล้องจุลทรรศน์ดูลูก ๆของราแหวกว่ายอย่างเริงร่า นัยว่าไม่อยากเสียสายตาอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของมัน ในขณะที่เพื่อนคนอื่น ๆโดยเฉพาะสาว ๆผัดกันต่อคิวมาส่องดูกันด้วยความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจ เพราะไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตมีหางนับล้าน บ้างก็หางขาดแน่นิ่งตายสนิท บ้างกระดื๊บ ๆอย่างอ่อนแรง บ้างกลับแข็งขันขยันว่าย บ้างกำลังเล่นตี่จับกับพรรคพวกอยู่ บ้างก็ใส่แว่นซะด้วยสิ ( ตามที่เพื่อน ๆเค้าแซว หลังจากที่ได้ดูแล้ว ) เราเองก็ตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกนั่นเหมือนกัน มันทั้งแปลกทั้งฮาเชียวแหละ เลยได้แต่ขอแสดงความเสียใจกับเพื่อนอริมา ณ หม่องนี้ด้วย เหอเหอ
ยุทธหมัดถีบนป้อมพระสุเมรุ มีอาซิ้มอาแปะหลายคน พอรู้ว่าเราแซ่เอ็ง ก็บอกว่า เรามีรากเหง้ามาจากหมู่บ้านเอ็งในมณฑลแต้จิ๋ว คนในหมู่บ้านี้เป็นพวกนักรบ คงจะประมาณบ้านบางระจันของไทยนั่นแหละ เราเองก็ฟัง ๆแล้วก็ย้อน ๆดูโพรไฟล์ที่ผ่าน ๆมาทั้งของตัวเองและพี่ ๆน้อง ๆ มันก็เข้าเค้าอยู่นา จู่ ๆพี่ชายคนนึงของเราก็เคยเอามีดไปจิ้มพุงเพื่อนข้างบ้านซะงั้น ดีที่เป็นมือใหม่หัดแทง เลยแค่เฉียด ๆเฉี่ยว ๆถลอก ๆซิบ ๆเท่านั้น แต่ก็เดือดร้อนแม่ต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยและเสียค่าทำขวัญไปจำนวนหนึ่ง เรื่องถึงได้จบ และจบไปพร้อมความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้านที่มีมายาวนานกันด้วย ( ไม่คุยกันมานับสิบปีทีเดียวเชียว เพิ่งจะกลับมาดีกันตอนที่แม่กับแม่คนโดนแทงแก่หง่อมได้ระดับหนึ่งแล้วนั่นแหละ )
ส่วนน้องสาวเรา มันก็มี "วีรกรรมทำเพื่อ ( อะไรฟะ)" ด้วยเหมือนกัน เย็นวันนึง เธอพาหน้าตาตื่นกลับมาบ้าน เล่าด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายตื่นเต้นระคนภาคภูมิว่า ขณะที่กำลังเดิน ๆอยู่แถวหน้าโรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม โรงเรียนเก่าของเธอ ก็มีกระทาชายนายหนึ่ง สมมุติว่าพันตรีประจักษ์ก็แล้วกัน ให้คิดสั้น ไม่ดูตาม้าตาเรือ หรือดูเบญจลักษณ์น้องสาวเราให้ดีซะก่อนว่าน่ามาก่อกรรมทำเข็ญด้วยมั้ย มันเลยกระตุกกระเป๋าสะพายใบละ 199 ข้างในมีเงินอยู่ยี่สิบของ วนิดา ( นามสมมุติของน้องสาวเรา ) แล้วก็สปีดฝีเท้าวิ่งหนีไปทางตลาดน้อยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ขณะวิ่งไป มันคงเคลิ้มฝันถึงความสุขเล็ก ๆน้อย ๆที่เงินในกระเป็า " กุดจี่ " ของวนิดาที่จะซื้อหามาให้มันได้ ......อะจ๊าก ฝันพลันสลายกลายเป็นอากาศธาตุ เมื่อจู่ ๆน้องวนิดาสวมวิญญาณวันเดอร์เกิร์ล โนบอดี้ ๆ... เอ๊ย วันเดอร์วูแมน วิ่งไล่ตามมาติด ๆ จังหวะทางลาดขึ้นสะพานข้ามคลอง หล่อนก็ทิ้งตัวลงรวบขาพันตรีประจักษ์ซะงั้น พอลุกขึ้นได้ มันคงตื่นตระหนก กลัวสรรพอาวุธของสาวน้อยมหัศจรรย์ที่จะตามมาหรือไงก็ไม่รู้ เลยขว้างกระเป๋ากุดจี่ทิ้ง แล้วโกยอ้าวหายวับไปซะอย่างนั้น เมื่อเชษฐาทั้งสอง ( เรากับพี่ชาย ) ได้ฟังแล้ว จึ่งสรรเสริญเยินด่าซะชุดใหญ่ทีเดียว เพราะจะไปคุ้มอะไรกับการเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อแลกกับกระเป๋าประตูน้ำก๊ะเงิน อีกแค่ไม่กี่หมื่นกีบแบบนั้น เกิดพุงเป็นรูหรือปอดม้ามทะลุขึ้นมา มิใยต้องเที่ยวหาดินน้ำมงน้ำมันมาอุดกันแย่เหรอ
ว่าจะเกริ่นแค่น้อยเดียว ซะเยอะเลย ..... และแล้ว ด้วยความที่ฮึ่มแฮ่กันมานานนมตั้งกะเปิดเทอม โดยไม่รู้สาเหตุแน่ชัดว่าทำมั้ยทำไม ทั้ง ๆที่เราและมันไม่เคยมีปัญหากับเพื่อน ๆผู้ชายในห้องอีกเจ็ดคนเลย ออกจะซี้ซะด้วยซ้ำ ทว่าเรากะมันดั๊นไม่เคยจะญาติดีกันได้เลยสิเอ้า หรือว่ามันจะอิจฉาในความหล่อเหลาเอาการเอาถ่านของเราซะก็ไม่รู้ และแล้ว พอเราแหลมไปจีบเพื่อนในห้องคนนึงที่เผอิญมันคั่ว ๆอยู่ ( ยังก๊ะเค้าเป็นเกาลัดงั้นแหละ ) ปรอทเลยทะลุจุดเดือด และไประเบิดออกที่ลานนัดประลองบนป้อมพระสุเมรุข้างโรงเรียน อันเป็นสถานประวัติศาสตร์ชาติไทยแห่งหนึ่ง ผลจบลงด้วยความพ่ยแพ้อย่างยับเยินของ.............เราเอง เพราะอ่อนหัดด้านฝีไม้ลายมวยเป็นที่ยิ่ง มีแต่หัวใจเท่านั้นที่ไม่เคยยอมใคร ไอ้เกียรติ เกลอซี้เด็กใต้มันทนไม่ไหว เลยขอท้าต่อยกับมันแทน ช็อตนี้ซึ้งใจมันนัก ที่เค้าบอกว่าเด็กใต้รักเพื่อน อันนี้เราเฟิร์มให้เลยสิบนิ้ว พอฟาดปากกันครั้งนึงแล้ว หลังจากนั้นเรากับคู่ชกก็หันมารอมชอมกันพอกล้อม ๆแกล้ม ๆจนจบจากมานั่นแหละ เรื่องนี้มีเกร็ดอยู่อย่างคือ วันที่ปากแตกเนี่ย ดั๊นเป็นวันตรุษจีนซะงั้น ปีนั้นเลยเป็นตรุษจีนที่กร่อยสนิท เพราะแทบจะลิ้มรสอาหารอร่อย ๆที่อยู่เต็มโต๊ะได้ทุลักทุเลเต็มที และได้แต่บอกพี่ ๆน้อง ๆว่า บังเอิญเดินหกล้มปากแตกมาเท่านั้นเอง
บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง-23/49 นักเลงโบราณกับหมัดลุ่น ๆ
แล้วมาวันนึง โอกาสการเป็นฮีโร่มัยซินของเราก็มาตกใส่ท้องเข้าจั๋ง ๆทีเดียวเชียว เพราะอาจารย์ต้องการอาสาสมัครสละสเปิร์มเพื่อชาติ เอ๊ยเพื่อให้เยาวชนของชาติที่เป็นเพื่อน ๆร่วมห้องได้ศึกษาเป็นวิทยาทาน เราเป็นหนึ่งในห้ามั้งจากผู้ชายในห้องเก้าคน (งานนี้ผู้หญิงหมดสิทธิ์ 555 ) ที่ยกมืออาสาออกไปรับถ้วยพลาสติกจากอาจารย์ จากนั้นพวกเราทั้งห้าก็เดินเรียงแถวออกจากห้องแล็บไป พร้อมด้วยคำมอบหมายภารกิจให้ไปตกลงกันเองว่าใครคนเดียวคนไหนจะเป็นคนลงแรง และเสียสละน้ำเชื้อในครานี้ นัยว่าเอาไป 5 เพื่อให้ทุกคนในห้องโดยเฉพาะเหล่าเพื่อน ๆสาว ๆจะได้ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นฮีโร่ผู้เสียสละน้ำเชื้อของตัวเอง ทั้งเพื่อไม่ให้ฮีโร่ต้องขวยเขินเกินงามอีกด้วย
ทว่าการณ์หาได้เป็นดังนั้นไม่ เพราะพอเดินกลับเข้ามาในห้องเท่านั้น ไอ้เพื่อนตัวดีมันก็เริ่มส่งซิกแน่ลสัญญาณรหัสพยักเพยิด บุ้ยปาก ส่งสายตาชี้ชัดมาที่เรา ทีนี้จึ่งมีการส่งรหัสสัญญาณกันไปทั่วห้อง เป็นอันว่า จบ เรื่องที่อาจารย์ตั้งใจจะให้เป็นปริศนาคาใจไปตลอดชีวิตเลยถูกเฉลยไขในชั่วไม่กี่พริบตา เล่นเอาเราหน้าเหน้อหูหางร้อนผ่าวอยู่เป็นวูบ ๆ มองไปทางไหนก็เห็นสีหน้าและสายตากรุ้ม ๆกริ่ม ๆระคนอมยิ้ม ประมาณว่า " อิอิ คริ ๆ ชั้นรู้นะว่า เมื่อกี้เธอไปทำไรมา หุหุ" ประเภท ถ้าเป็นหนังก็ต้องตั้งชื่อว่า I Know What You Did Last 10 Minutes นั่นแหละ สิ่งที่ตามมาอีกอย่างคือ นั่นก็ทำให้อริชายในห้องของเราที่ไม่ได้อาสาตัวออกไปในตอนแรก ไม่ยอมมาส่องกล้องจุลทรรศน์ดูลูก ๆของราแหวกว่ายอย่างเริงร่า นัยว่าไม่อยากเสียสายตาอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของมัน ในขณะที่เพื่อนคนอื่น ๆโดยเฉพาะสาว ๆผัดกันต่อคิวมาส่องดูกันด้วยความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจ เพราะไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตมีหางนับล้าน บ้างก็หางขาดแน่นิ่งตายสนิท บ้างกระดื๊บ ๆอย่างอ่อนแรง บ้างกลับแข็งขันขยันว่าย บ้างกำลังเล่นตี่จับกับพรรคพวกอยู่ บ้างก็ใส่แว่นซะด้วยสิ ( ตามที่เพื่อน ๆเค้าแซว หลังจากที่ได้ดูแล้ว ) เราเองก็ตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกนั่นเหมือนกัน มันทั้งแปลกทั้งฮาเชียวแหละ เลยได้แต่ขอแสดงความเสียใจกับเพื่อนอริมา ณ หม่องนี้ด้วย เหอเหอ
ยุทธหมัดถีบนป้อมพระสุเมรุ มีอาซิ้มอาแปะหลายคน พอรู้ว่าเราแซ่เอ็ง ก็บอกว่า เรามีรากเหง้ามาจากหมู่บ้านเอ็งในมณฑลแต้จิ๋ว คนในหมู่บ้านี้เป็นพวกนักรบ คงจะประมาณบ้านบางระจันของไทยนั่นแหละ เราเองก็ฟัง ๆแล้วก็ย้อน ๆดูโพรไฟล์ที่ผ่าน ๆมาทั้งของตัวเองและพี่ ๆน้อง ๆ มันก็เข้าเค้าอยู่นา จู่ ๆพี่ชายคนนึงของเราก็เคยเอามีดไปจิ้มพุงเพื่อนข้างบ้านซะงั้น ดีที่เป็นมือใหม่หัดแทง เลยแค่เฉียด ๆเฉี่ยว ๆถลอก ๆซิบ ๆเท่านั้น แต่ก็เดือดร้อนแม่ต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยและเสียค่าทำขวัญไปจำนวนหนึ่ง เรื่องถึงได้จบ และจบไปพร้อมความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้านที่มีมายาวนานกันด้วย ( ไม่คุยกันมานับสิบปีทีเดียวเชียว เพิ่งจะกลับมาดีกันตอนที่แม่กับแม่คนโดนแทงแก่หง่อมได้ระดับหนึ่งแล้วนั่นแหละ )
ส่วนน้องสาวเรา มันก็มี "วีรกรรมทำเพื่อ ( อะไรฟะ)" ด้วยเหมือนกัน เย็นวันนึง เธอพาหน้าตาตื่นกลับมาบ้าน เล่าด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายตื่นเต้นระคนภาคภูมิว่า ขณะที่กำลังเดิน ๆอยู่แถวหน้าโรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม โรงเรียนเก่าของเธอ ก็มีกระทาชายนายหนึ่ง สมมุติว่าพันตรีประจักษ์ก็แล้วกัน ให้คิดสั้น ไม่ดูตาม้าตาเรือ หรือดูเบญจลักษณ์น้องสาวเราให้ดีซะก่อนว่าน่ามาก่อกรรมทำเข็ญด้วยมั้ย มันเลยกระตุกกระเป๋าสะพายใบละ 199 ข้างในมีเงินอยู่ยี่สิบของ วนิดา ( นามสมมุติของน้องสาวเรา ) แล้วก็สปีดฝีเท้าวิ่งหนีไปทางตลาดน้อยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ขณะวิ่งไป มันคงเคลิ้มฝันถึงความสุขเล็ก ๆน้อย ๆที่เงินในกระเป็า " กุดจี่ " ของวนิดาที่จะซื้อหามาให้มันได้ ......อะจ๊าก ฝันพลันสลายกลายเป็นอากาศธาตุ เมื่อจู่ ๆน้องวนิดาสวมวิญญาณวันเดอร์เกิร์ล โนบอดี้ ๆ... เอ๊ย วันเดอร์วูแมน วิ่งไล่ตามมาติด ๆ จังหวะทางลาดขึ้นสะพานข้ามคลอง หล่อนก็ทิ้งตัวลงรวบขาพันตรีประจักษ์ซะงั้น พอลุกขึ้นได้ มันคงตื่นตระหนก กลัวสรรพอาวุธของสาวน้อยมหัศจรรย์ที่จะตามมาหรือไงก็ไม่รู้ เลยขว้างกระเป๋ากุดจี่ทิ้ง แล้วโกยอ้าวหายวับไปซะอย่างนั้น เมื่อเชษฐาทั้งสอง ( เรากับพี่ชาย ) ได้ฟังแล้ว จึ่งสรรเสริญเยินด่าซะชุดใหญ่ทีเดียว เพราะจะไปคุ้มอะไรกับการเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อแลกกับกระเป๋าประตูน้ำก๊ะเงิน อีกแค่ไม่กี่หมื่นกีบแบบนั้น เกิดพุงเป็นรูหรือปอดม้ามทะลุขึ้นมา มิใยต้องเที่ยวหาดินน้ำมงน้ำมันมาอุดกันแย่เหรอ
ว่าจะเกริ่นแค่น้อยเดียว ซะเยอะเลย ..... และแล้ว ด้วยความที่ฮึ่มแฮ่กันมานานนมตั้งกะเปิดเทอม โดยไม่รู้สาเหตุแน่ชัดว่าทำมั้ยทำไม ทั้ง ๆที่เราและมันไม่เคยมีปัญหากับเพื่อน ๆผู้ชายในห้องอีกเจ็ดคนเลย ออกจะซี้ซะด้วยซ้ำ ทว่าเรากะมันดั๊นไม่เคยจะญาติดีกันได้เลยสิเอ้า หรือว่ามันจะอิจฉาในความหล่อเหลาเอาการเอาถ่านของเราซะก็ไม่รู้ และแล้ว พอเราแหลมไปจีบเพื่อนในห้องคนนึงที่เผอิญมันคั่ว ๆอยู่ ( ยังก๊ะเค้าเป็นเกาลัดงั้นแหละ ) ปรอทเลยทะลุจุดเดือด และไประเบิดออกที่ลานนัดประลองบนป้อมพระสุเมรุข้างโรงเรียน อันเป็นสถานประวัติศาสตร์ชาติไทยแห่งหนึ่ง ผลจบลงด้วยความพ่ยแพ้อย่างยับเยินของ.............เราเอง เพราะอ่อนหัดด้านฝีไม้ลายมวยเป็นที่ยิ่ง มีแต่หัวใจเท่านั้นที่ไม่เคยยอมใคร ไอ้เกียรติ เกลอซี้เด็กใต้มันทนไม่ไหว เลยขอท้าต่อยกับมันแทน ช็อตนี้ซึ้งใจมันนัก ที่เค้าบอกว่าเด็กใต้รักเพื่อน อันนี้เราเฟิร์มให้เลยสิบนิ้ว พอฟาดปากกันครั้งนึงแล้ว หลังจากนั้นเรากับคู่ชกก็หันมารอมชอมกันพอกล้อม ๆแกล้ม ๆจนจบจากมานั่นแหละ เรื่องนี้มีเกร็ดอยู่อย่างคือ วันที่ปากแตกเนี่ย ดั๊นเป็นวันตรุษจีนซะงั้น ปีนั้นเลยเป็นตรุษจีนที่กร่อยสนิท เพราะแทบจะลิ้มรสอาหารอร่อย ๆที่อยู่เต็มโต๊ะได้ทุลักทุเลเต็มที และได้แต่บอกพี่ ๆน้อง ๆว่า บังเอิญเดินหกล้มปากแตกมาเท่านั้นเอง