บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง-19/49 ซีรี่ย์ครูโดน ๆ

จะว่าไป ชักจะเข้าเค้าเข้าคุ้นว่า คำว่ากูละเบื่อที่ว่าเนี่ยจะมาจากเพลงสวัสดีคุณครูของวงชาตรี เพลงประกอบหนังเรื่องสวัดีคุณครูที่จารุณีเล่นเป็นเด็กนักเรียนแก่นแก้วนะ ที่มีท่อนร้องว่า " เมื่อคุณครูจู้จี้ ผมก็จุ๊กจิ๊กเป็นธรรมดา ตามประสาคนดีที่อดทนฟังครู เฮ้อออ กูล่ะเบื่อ " หรือไงนี่แหละ ขอพูดเรื่องวงชาตรีต่อเลยแล้วกัน สมัยนั้นเค้าฮ็อตสุด ๆ เรียกว่าเทียบสเกลกันแล้ว พี่เบิร์ดยังต้องชิดซ้ายไปเลย


ตอนที่เพลงแฟนฉันเริ่มดังใหม่ ๆ เนี่ย ข้างบ้านเราก็เปิดกระหน่ำซัมเมอร์เซลอีกเหมือนเดิม จนไม่ว่าเราจะทำอะไร ขึ้นรถลงเรือที่ไหน จะถ่ายทุกข์หนักทุกข์เบา กระทั่งตอนนอน เสียงเบสตะละหลุ่งตุงตุง หกนาฬิกา รีบมาเข้าเรียน ใจยังหมุนเวียน.....มันก็ยังตามมาแว่ว ๆ ในหัวสมองอยู่ตลอดเวลาทีเดียวเชียว แล้วก็ไม่รู้เป็นเพราะอิทธิพลเพลงนี้รึเปล่าก็ไม่แน่ใจ เด็กผู้ชายวัยกระเตาะเริ่มแตกเนื้อหนุ่มอย่างพวกเราเลยนึกอยากมีแฟนกันยกใหญ่ มีทั้งที่เปิดหน้าต่างตึกเยาวมาลย์แล้วชะโงกหัวออกไปตะโกนแซวเด็กสายปัญญา ที่เดินผ่านมาด้านล่างให้ได้พอชุ่ม ๆ หัวใจ บางทีก็เขียนสาส์นรักใส่บนปีกเครื่องบินกระดาษพับแล้วร่อนลงไปหาเจ้าหล่อน หนัก ๆ เข้าก็ไปยืนเกาะรั้วเหล็กโรงเรียน คอยพูดจาแทะโลมพอขำ ๆ ฮา ๆ กับก๊วนเพื่อนฝูงอีกตะหาก

แต่เรื่องการสีหญิงเนี่ย ไม่มีใครร้อนรุ่มร้อนรนและเอาเป็นเอาตายเท่ากับไอ้พุดเพื่อนเราแน่แท้ มันดูท่าทางจะเป็นเด็กเรียบร้อยคงแก่เรียน ประเภทเด็กใส่แว่นหนา ๆ นั่งหน้าห้องตรงกลางนั่นแหละ แต่ขณะที่พวกเรายังมัวพับเครื่องร่อนจีบสาวอยู่ โน่น มันชวนพรรคพวกไปสยามแล้ว กลับมาแต่ละทีก็จะเอาเบอร์โทรศัพท์บ้านสาว ๆ ที่มันจดลงในสมุดโน้ตเล่มเล็ก ๆ มาอวดพวกเรา แล้วก็ไม่วายทั้งชวนทั้งท้าทายศักดิ์ศรีลูกผู้ชายอย่างเรา ๆ ว่า " กล้าเดินเข้าไปขอเบอร์สาว ๆ ที่สยามรึเปล่าล่ะ" แหม ท้ากันแบบนี้ เอาขวานมาจามหัวเลยดีกว่า

ว่าแล้วเราจึงพาตัวร่วมก๊วนไปกับมันด้วยในวันนึง สมุดโน้ตมีพร้อม ปากกามีพร้อม ไอ้ที่ไม่พร้อมก็ใจนี่แหละท่านผู้ชม ได้แต่จด ๆ จ้อง ๆ เก้ ๆ กัง ๆ ละล้าละลังอยู่นั่นแหละ ส่วนไอ้พุดมันวาดลีลาลวดลายไปหลายสาวแล้ว สุดท้าย ยอมอายดีกว่ายอมกล้า ใครมันอยากจะล้อก็ล้อไปสิ ( วะ ) จึ่งเรากลับมาด้วยหน้าสมุดโน้ตอันว่างเปล่า ร้างไร้เบอร์โทรสาวแม้แต่เบอร์เดียว คิดในใจว่า " โด่เอ๊ย วัยนี้วัยเรียนเฟ้ย จีบสาวค่อยว่ากันอีกทีก็ไม่เห็นจะสายตรงไหน"

มาว่ากันเรื่องวงชาตรีต่อกันดีกว่า เราเคยเก็บเงินค่าขนมมาซื้อตั๋วคอนเสิร์ต ไปดูตัวเป็น ๆ ของพวกพี่เค้าเล่นที่ มศว.ประสานมิตรด้วยนะ แถมได้ลายเซ็นมาครบทุกคนซะด้วย แต่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหนแล้ว ถ้าอยู่อาจจะขายได้ซักลายละห้าบาทก็ได้นะ หกคนก็สามสิบบาท ได้ก๊วยเตี๋ยวบ้านบึงชามนึงแล้วอะ

อาจารย์ " กูล่ะเบื่อ" ไม่ใช่คนเดียวที่โดนของแข็งหรอกนะ กรณีนี้เป็นของอีกห้องนึง คือผู้อำนวยการคนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ เค้าเป็นคนสุพรรณ เลยยึดดคติ " มาด้วยกัน ไปด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๋ย" หรือไงก็ไม่แจ่มชัด ที่แน่ ๆ แกเลยหนีบเอาเพื่อนมาเสียบสอนที่นี่ด้วย แล้วสอนอะไรไม่สอน ดันให้มาสอนภาษาอังกฤษ

ชั่วโมงแรกก็ได้เรื่องเลย ทั้งเงอะ ๆ งะ ๆ งุม ๆ ง่าม ๆ แล้วก็มีจังหวะที่แกต้องออกเสียงคำว่า " ช้าง" ในภาษาอังกฤษ จะเป็นเพราะเหน่อแบบสุพรรณก็คงจะไม่ใช่ เพราะแกดันออกเสียงว่า " อีหละพ้าาาน " ซะหน้าตาเฉย เล่นเอาทุกคนในชั้นเหวอไปตาม ๆ กัน จากนั้นแกก็ไม่กล้าสอนอะไรอีก เข้าห้องปุ๊บก็แจกการบ้านปั๊บ สุดท้าย คิดหรือว่าทำแบบนี้แล้วจะรอดสันดอนไปได้ วันนึงพวกนักเรียนห้องนั้นมันก็รวมตัวกันหน้าห้องไม่ยอมเข้าเรียนสิครับ ร้อนถึงผอ.ผู้เพื่อนต้องลงมาเคลียร์ และตัดใจยอมเก็บเพื่อนกลับไปไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ได้

ต่อซีรี่ย์เรื่องครูแล้วกันเนาะ ห้องเรามีครูสาวสวยอยู่สองคน คนนึงสอนภาษาไทยชื่อ เรืองลักษณ์ หน้าตาคมคายแบบสาวไทย ราว ๆ เจนี่ เทียนไขนี่แหละ เพื่อน ๆ ในห้องมันชอบแซวชอบหยอดชอบแหย่ชอบตอดนิดตอดหน่อยตลอดเวลาทีเดียวเชียว แถมมันยังแอบเปลี่ยนชื่อครูให้วาบหวิวขึ้นเป็น "เริงรัก" อีกตะหาก ดูดู๊ดู ดูมันทำ ช่างกล้าเนาะ อีกคนสอนอะไรก็จำไม่ได้แล้ว คนนี้จะออกแนวเซ็กซี่ ชื่อประชิด เรตติ้งพอ ๆ กับครูคนเมื่อกี้เลย จะว่าไป เราก็แอบ ๆ มีใจให้ครูประชิดเหมือนกันนะ เหอเหอ

จากประสบการณ์การเรียนมาหลายปี ที่เจอส่วนใหญ่คือครูมักจะสอนจนหมดคาบ หรือไม่ก็เลทไปอีกนิดหน่อย แต่มีครูคนนึง แกจะผละออกจากห้องสอนเร็วกว่าคาบประมาณห้านาที เพราะแกจะออกไปเตรียมที่ทางวางกระบะขนมปังที่หน้าห้อง พอออดพักเล็กดัง นั่นเป็นสัญญาณว่าร้าน " หนมปังกะตังค์ครู" ได้เปิดบริการแล้ว พวกเราก็จะเข้าไปมะรุมมะตุ้มอุดหนุนคนละนุบละนับ นัยว่าได้กินของอร่อยมีคุณภาพระดับครูบาอาจารย์คัดสรรแล้ว เรายังคาดหวังถึงคะแนนนิยมพิเศษที่อาจจะได้ในฐานะลูกค้าประจำด้วย เพราะใครจะไปรู่ล่ะครับว่าอาจารย์อาจจะทดไว้ในใจก็ได้ว่า " ไอ้นี่ซื้อวันเว้นวัน เอาไปสาม ไอ้แว่นเนี่ยซื้อทุกวัน ๆ ละสองชิ้น เอาไปสี่ ไอ้คุณเอ็งฟายเนี่ย มันไม่ค่อยจะอุดหนุนเลย เดี๋ยวเหอะ แม่จะตัดเกรดมให้หลุดลุ่ยเลย " ก็เป็นได้ ที่จริงเราก็มโนเว่อร์ไปยังงั้นแหละ เราว่าอาจารย์เค้าไม่มีทางเป็นยังงั้นแน่ ๆ อยู่แล้น........................................มั้ง

และแล้ววันนึงก็มีเรื่องตื่นเต้นหวาดเสียวเกี่ยวกับครูเกิดขึ้น จู่ ๆ ขณะที่นักเรียนอีกห้องนึงกำลังตอกตะปูลงในรูเข็มขัดรัดสายไฟกันอย่างเอาจริงเอาจังในชั่วโมงวิชาไฟฟ้า อาจารย์ผู้ชายที่สอนวิชานี้ นัยว่ากำลังมีปัญหากับเมียที่บ้านหรือไงนี่แหละ แกเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา ( อาจจะขัดใจที่เห็นบางคนตอกตะปูเบี้ยวอยู่นั่นแหละ ) เลยเอามีดมาไล่แทงนักเรียนในห้องช็อปจนแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางซะงั้น ร้อนถึงเหล่ายามและเพื่อน ๆ อาจารย์ต้องมาช่วยระงับเหตุ ชนิดวุ่นวายหวาดเสียวกันไปหมด ตอนหลังอาจารย์คนนี้ก็ต้องถูกให้ออกไปรับการบำบัดรักษา ทิ้งเรื่องราวไว้ให้เล่าขานกันรุ่นสู่รุ่นต่อไป

ที่ชอบอยู่อย่างคือ เวลามีกีฬาสี หรือฟุตบอลจตุรมิตร ( เทพศิรินทร์ ปะทะ สวนกุหลาบ ปะทะ อัสสัมชัญ ปะทะ กรุงเทพคริสเตียน ) พวกเราจะได้หยุดเรียน แล้วตั้งแถวเดินไปสนามศุภชลาศัยกัน เสร็จแล้วก็ไปร่วมเฮร่วมฮาส่งเสียงเชียร์ แหกปากตะโกนกันไป แบบว่าได้ปลีกวิเวกออกจากบรรยากาศห้องเรียนมาสัมผัสไอแดด พื้นนุ่ม ๆ สีเขียวของหญ้ากันบ้างก็ดีเหมือนกัน แต่ประสบการณ์ไม่น่าจดจำก็มีเหมือนกันนะจะบอกให้ ด้วยความที่เราเป็นคนตัวเล็กและผอมกะหร่องก่อง ตอน ม.ศ. 1 ครูเลยมาเลือกเราร่วมกับเพื่อน ๆ ที่หุ่นแนวเดียวกันให้ไปเต้นฮาวายในงานกีฬาสีที่สนามศุภฯ ประเภทสวมกระโปรงเชือกฟาง สวมสร้อยข้อมือฟาง สวมมาลัยดอกไม้ ทัดดอกไม้ เท้าเปล่าแล้วก็โยกย้ายส่ายสะโพกต่อหน้าคนหลายพันคนนั่นแหละ จำได้ว่าขมขื่นและขื่นขมเป็นที่สุด แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง คงต้องโทษแม่แหละที่ดั๊นคลอดเราออกมาตัวเล็กผอมแห้งซะขนาดนั้น เลยกลายเป็นเป้าของการแสดงประเภทนี้ไปเสียฉิบ

แล้ววันนึง สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตากลางสนามแห่งนี้ วันนั้นทีมฟุตบอลโรงเรียนเราแข่งฟุตบอลประเพณี่ที่มีมายาวนานกับปทุมคงคา ลีลาลากเลื้อยของเด็กเทพนั้นไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว ทว่าวันนั้นใกล้จะหมดเวลาอยู่รอมร่อแล้ว เด็กปทุมยังนำอยู่ 1-0 เห็นเค้าว่าวันนี้ ทีมโรงเรียนตรูแพ้แน่ และต้องโดนพวกมันเยาะเย้ยแหงม ๆ แต่แล้วก่อนหมดเวลาแค่ไม่กี่วินาที เด็กเทพได้ลูกเลยกลางสนามล้ำฝั่งปทุมมานิดนึง พวกเราตะโกนเชียร์กันสุดเสียง ยิงเลย ๆๆๆๆๆๆ แล้วลูกบอลก็ลอยโด่งสูงย้อยตรงเข้าหาประตู โกล์ปทุมยืนอยู่กลางประตู ห่างออกมาจากเส้นเล็กน้อย เงยหน้า อ้าแขนรอรับลูกเข้าซอง แบบว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้วสำหรับลูกแม่รำเพย เหยเหย ( อ่านว่าเห-ย เห--ย นะไม่ใช่เหย เหย แบบควบพยัญชนะ เข้าใจมั้ยเนี่ย ) ปรากฏว่า แว่บ ลูกบอลกลับตกลงหลังนายตูด ( ทวาร ) แล้วชแว้บเด้งเข้าไปในโกล์ซะงั้น อัฒจันทร์เชียร์ฝั่งลูกแม่รำเพยแทบจะถล่มทลายด้วยเสียงตะโกนแหกปากอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง บวกรวมกับแรงสั่นสะเทือนจากการกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ ของแฟนานุแฟนผู้บ้าคลั่ง ขณะที่อีกฟากฝั่ง เงียบสงัดราวป่าช้าวัดดอนตอนตีสองก็มิปาน หลังจากนั้นกรรมการก็เป่านกหวีดหมดเวลา เป็นอันว่าเจ๊ากันไป เด็กเทพไม่เสียหน้าเสียฟอร์ม ปีหน้าว่ากันใหม่ และนั่นก็เป็นช็อตที่ติดตรึงในความทรงจำในโหมดการเชียร์กีฬาของเราตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาทีเดียว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่