มีโอกาสทำงานในโรงเรียนกลางป่าที่เขาว่ากันดาร !! เป็นอย่างไรมาร่วมแลกเปลี่ยนกันครับ

สวัสดีเพื่อน ๆ ชาวพันทิป เพื่อนชาวเสมา และเพื่อน ๆ ที่แวะเวียนเข้ามาทุกท่านครับ
เชื่อว่าครูทุกท่านหรือแม้กระทั่งคนที่พยายามมาเป็นครูในระบบราชการ คงวาดฝันกับชีวิตข้าราชการครูกันไว้ไม่น้อย แต่น้อยคนนักที่จะได้พบกับสิ่งที่คาดหวัง ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาของโลก ผมจึงตัดสินใจว่าถ้าอยากเปลี่ยนอะไรเราต้องเข้าไปทำมัน ไม่ใช่เอาแต่พูด เลยเปลี่ยนจากสายงานการสอน ไปเป็นสายบริหารเผื่อจะมีโอกาสเปลี่ยนอะไรบ้าง ไม่น่าเชื่อกับ ผมกลับพบชีวิตที่เคยหายไปขึ้นมา

ผมอยู่กาญจนบุรีครับ เป็นรอง ผอ. โรงเรียนขนาดกลาง มีนักเรียนราว ๆ 530 คน สลับกันเข้าออกเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาตลอด เพราะเด็กส่วนใหญ่ ใหญ่เกิน 2 ใน 3 เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีการโยกย้ายบ่อยมาก ๆ และแจ็คพอตก็คือ โรงเรียนผมมี 2 โรงเรียนครับ คือมีห้องเรียนสาขา (ถ้านึกภาพไม่ออกก็หนังเรื่องคิดถึงวิทยาเลยครับ) แต่ห้องเรียนสาขาของผมไม่ได้อยู่กลางเขื่อนแต่อยู่กลางป่าเขาครับ

การเดินทางมาโรงเรียนแม่ไม่ลำบากครับ แต่ระยะทางค่อนข้างไกล ขับรถมาโรงเรียน 1 ขา มีระยะทางเท่ากับจากเมืองกาญจน์ไป - กลับกรุงเทพพอดิบพอดี ที่ประทับใจคือโรงเรียนสาขาครับ ความลำบากของการเดินทางไปโรงเรียนอยู่ในระดับไม่มาก แต่ทำไมเราต้องมาเจอ นึกออกไหมครับ

ผมเคยร่วมก๊วนขบวนบริจาคของของกลุ่มต่าง ๆ บ่อยครั้ง ไปตาก แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ แต่หลังจากบรรจุแล้วก็ห่างหายไป พอมาเจอโรงเรียนสาขาก็ทรงเดียวกันกับที่เราไปช่วยเลยครับ

โรงเรียนที่ผมต้องดูแล เป็นพื้นที่บริการสำหรับนักเรียนชาวกะเหรี่ยงที่อพยพหนีสงครามมาจากพม่า อยู่ในศูนย์พักพิงของ UN เช้าเดินเท้ามาเรียนราว ๆ 1 ชม. เรียนเสร็จเดินกลับอีกเวลาเท่าเดิม ไม่มีไฟฟ้า มีพลังงานโซล่าเซลล์ที่ใช้ได้เล็กน้อย แต่ไม่พอสำหรับให้แสงสว่างทุกห้องเรียน (มี 4 อาคารเรียน ปัจจุบันใช้ได้แค่ 3 และ 1 อาคารโรงอาคารที่เป็นหอประชุมในเวลาเดียวกัน มีไฟแค่ 1 อาคาร) น้ำประปาจากตาน้ำบนภูเขาต่อท่อลงมา วันไหนน้ำขุ่นจากฝนตกเราก็ใช้น้ำขุ่น ๆ นั่นแหละครับ ผมอยู่มา 3 เดือนยังไม่พบว่ามีวันไหนแห้ง มีฝนตกทุกวันเส้นทางที่ครูต้องขี่รถจักรยานยนต์ไปทำงานค่อนข้างเละ และลำบาก (แต่ไม่เท่าแถบตากหรือแม่ฮ่องสอน) มีคุณครูดูแลนักเรียน 7 คน ทุกวันจะพักที่โรงเรียนแม่และขี่รถขึ้นไปสอน มีนักเรียนร่วม 170 คนที่นั่น ผมได้ขึ้นไปช่วยคุณครูสัปดาห์ละ 1-2 วัน แล้วแต่โอกาส เพราะต้องนำอาหารกลางวันใส่รถกระบะขึ้นไปให้ ทั้งข้าวสาร แก๊ส ของสด ของแห้ง เนื่องจากที่นั่นไม่มีตู้แช่และไม่มีไฟ จึงต้องเอาอาหารขึ้นไปทุกวัน

และเมื่อขึ้นไปที่นั่นแล้วปราศจากสัญญาณโทรศัพท์ครับ ติดต่อราชการใด ๆ ไม่ได้ จึงเป็นที่มาว่าทีมบริหารจะไปทุกวันไม่ได้เพราะต้องดูแลโรงเรียนแม่และประสานงานจากหน่วยงานภายนอกด้วย
 
แต่ก็นั่นแหละครับ ถึงจะดูยากลำบาก การเดินทาง การสื่อสาร อาคารเรียนที่ไม่พร้อม ไม่มีไฟฟ้า แต่ผมรู้สึกว่ามีความสุข เด็กที่นั่นไม่รู้สึกว่าตัวเองด้อยโอกาส มีความสุขกับทุกกิจกรรม คุณครูก็เป็นครูมืออาชีพ ทำงานเต็มที่ ถึงจะขาดบ้างแต่ก็อยู่กันด้วยรอยยิ้ม ถ้าเล่าตรงนี้ก็คงจะยาวไปหน่อย เอาเป็นว่าไปดูภาพบรรยากาศก็แล้วกันครับ

นี่เป็นสภาพโณงเรียนโดยทั่วไปครับ



ยังดีที่โรงเรียนของเรามีผู้เล็งเห็น จึงมีทีมอาสามาพอสมควร ช่วยทาสีอาคารให้ดูสดใสปกปิดรอยผุพังของโครงสร้างได้เป็นครั้งคราว 
และโรงเรียนของเราช่วงหน้าฝนสวยงามมากเลยครับ

มาดูเด็ก ๆ ของเรากันครับ ตั้งใจเรียนขนาดไหน
เด็กที่นี่พูดไทยแทบไม่ได้เลยครับ กว่าจะพูดได้ต้อง ป.4 ขึ้นไปแล้ว คุณครูพยายามอย่างหนักในแต่ละวันเพื่อทำให้อ่านออกเขีนได้ เพราะคนที่พอจะอ่านเขียนได้ ก็ย้ายออก คนเข้ามาใหม่ก็ต้องสอนใหม่ตั้งแต่ต้น เป็นแบบนี้ทุกภาคเรียนครับ

นี่เป็นสัมภาระและการเดินทางแต่ละครั้งที่ขึ้นไปครับ สู้เพื่อเด็ก ๆ โดยเฉพาะ

มีคลิปด้วยครับ 
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
อาคาร อุปกรณ์ก็เสื่อมลงไปตามการใช้งานครับ เป็นหน้าที่ของผมต้องหาทางปรับปรุง

สุดท้ายไปดูภาพรวม ๆ กันครับ 

สำหรับใครที่ยังมีไฟ มีฝัน ขอให้ทุกท่านทำให้เต็มที่นะครับ
ส่วนท่านใดมีประสบการณ์ร่วมแลกเปลี่ยน สามารถร่วมพูดคุยกันได้เลย 
หากภาคีเครือข่ายใดต้องการเข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนในพื้นที่ ทางเรายินดีมากครับ 
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า กระทูกเล็ก ๆ ชายแดนนี้จะเป็นประโยชน์กับส่วนรวม ไม่มากก็น้อยนะครับ ขอบคุณครับ

ปล.ภาพที่ลงโดยมีใบหน้าบุคคล ผมได้ขออนุญาตเด็กและผู้ปกครองแล้วครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่