เมื่อนกกระจอกบอกว่า ใครเชื่อว่ามีกรรมวิบากที่สืบต่อจากพระโพธิสัตว์ชาติต่างๆถึงพระพุทธเจ้า คือมิจฉาทิฏฐิ

ผมยังติดใจกรณีนึง
คุณสุมาอี้บอกว่า กัณหากับท่านอุบลวรรณเป็นคนละคนไม่เกี่ยวข้องกัน
การที่ท่านอุบลวรรณเถรีระลึกชาติย้อนกลับไปพบว่าได้เคยตั้งความปราถนาที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อช่วยพระศาสดาให้บรรลุพระโพธิญาณ
ไม่ได้แปลว่า กัณหากับท่านอุบลวรรณจะต้องเกี่ยวข้องกัน การตั้งจิตบำเพ็ญบารมียอมรับความเหนื่อยยากในอดีต ไม่ได้เกี่ยวกับกัณหา
ทำให้พระเวสสันดร บริจาคกัณหา การเป็นการเบียดเบียนกัณหาไปด้วย



ผมจึงบอกว่าจะบอกท่านเหล่านั้นไม่เกี่ยวกันเลยก็ไม่ได้ แท้จริงแล้ว
ท่านเหล่านั้นเป็นคนเดียวกันก็มิใช่ เป็นคนละคนก็มิใช่ ก็ล้วนแต่เป็นสภาวะธรรมทีเกิดดับสืบต่อตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น

ผมโดยกล่าวตามท่านพระอริยสงฆ์คือท่านนาคเสนเถระกล่าวไว้คือ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


หรือแม้แต่พระศาสดาเอง ท่านก็กล่าวไว้เองว่า

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



สุมาอี้ก็บอกว่าใครที่เห็นว่ามีการสืบต่อกรรมวิบาก เป็นมิจฉาทิฏฐิ ลัทธิส่าย

ไม่ว่าท่านจะอ้างว่า มีการเกิดดับสืบต่อไปตามเหตุปัจจัย อะไรก็ตาม ขันธ์ทั้งหลาย ที่สมมุติเรียกว่า โพธิสัตว์ ก็ไม่ใช่ พระพุทธเจ้า อยู่ดี
ก็มันดับไปแล้วนี่ครับ ขันธ์นั้นน่ะ แล้วท่านจะมาสำคัญมั่นหมาย อาลัยอาวรณ์ ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ได้ไงหละครับ ?

เพราะถ้าคิดแบบนั้นเมื่อไร ไม่ว่าจะเรียกว่า บารมี คุณธรรม หรือขันธ์ ธาตุ กรรม วิบาก ฯลฯ อะไรก็ตาม
มันก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิด อยู่ดี ครับท่าน .......



ดังนั้นผมจึงอยากถามว่า
ถ้าใครเชื่อว่ามีกรรมวิบากที่สืบต่อจากพระโพธิสัตว์ชาติต่างๆถึงพระพุทธเจ้า คือมิจฉาทิฏฐิ
แล้วพระพุทธเจ้าได้รับวิบากต่างๆตามที่แสดงด้านบนได้อย่างไร ท่านไปทำกรรมไว้ตอนไหน
?
ชัดเจนคำถามนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่