ผมยังติดใจกรณีนึง
คุณสุมาอี้บอกว่า กัณหากับท่านอุบลวรรณเป็นคนละคนไม่เกี่ยวข้องกัน
การที่ท่านอุบลวรรณเถรีระลึกชาติย้อนกลับไปพบว่าได้เคยตั้งความปราถนาที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อช่วยพระศาสดาให้บรรลุพระโพธิญาณ
ไม่ได้แปลว่า กัณหากับท่านอุบลวรรณจะต้องเกี่ยวข้องกัน การตั้งจิตบำเพ็ญบารมียอมรับความเหนื่อยยากในอดีต ไม่ได้เกี่ยวกับกัณหา
ทำให้พระเวสสันดร บริจาคกัณหา การเป็นการเบียดเบียนกัณหาไปด้วย
ผมจึงบอกว่าจะบอกท่านเหล่านั้นไม่เกี่ยวกันเลยก็ไม่ได้ แท้จริงแล้ว
ท่านเหล่านั้นเป็นคนเดียวกันก็มิใช่ เป็นคนละคนก็มิใช่ ก็ล้วนแต่เป็นสภาวะธรรมทีเกิดดับสืบต่อตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น
ผมโดยกล่าวตามท่านพระอริยสงฆ์คือท่านนาคเสนเถระกล่าวไว้คือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ พระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการซักว่านามรูปนี้แต่งให้สัตว์ปฏิสนธิ
หรือประการใด
พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไขว่า หามิได้ มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประ
เสริฐ สัตว์โลกหญิงชายเกิดมาในโลกนี้ กระทำกรรมคือกุศลกรรมและอกุศลกรรม คือกระทำ
บาปบุญ อิมินา นามรูเปน ด้วยนามรูปนี้ บุญสิ่งนั้นกรรมสิ่งนั้น ให้สัตว์มนุษย์หญิงชายนั้น
ปฏิสนธิเป็นนามรูปอันอื่น อย่างนี้แหละเรียกว่านามรูปให้ปฏิสนธิ ขอถวายพระพร
พระเจ้ากรุงมิลินท์จึงตรัสว่า อ้อ เพราะว่าให้การต้องในคำหา และโจรแก้ว่าอ้อยนั้น
เป็นอ้อยอื่น อ้อยเดิมนั้นเป็นขึ้นกลายเป็นอ้อยอื่น อ้อยเดิมนั้นตัวหาได้ลักไม่ และให้การกระนี้
จะพ้นตัวหามิได้ไปลักอ้อยของเขามาแล้วว่าข้าเอาอ้อยอื่นมา จะได้พ้นโทษหามิได้ น่ะพระผู้เป็นเจ้า
พระนาคเสนจึงว่าเล่าว่า ซึ่งบุคคลกระทำบาปกรรมไว้ชาตินี้ก็เหมือนกัน กรรมคงจะ
ตามตนไป ถึงจะเกิดในโลกเบื้องหน้าเป็นรูปธรรมนามธรรมอื่น จะได้พ้นจากบาปกรรมหามิได้
ดุจบุรุษโจรลักอ้อยเขามาแล้วกลับว่าอ้อยอื่น มิได้พ้นจากโทษนั้น
พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์ มีพระราชโองการตรัสว่า บุรุษที่ตามประทีปต้นไฟให้การ
นั้น จะได้พ้นโทษหามิได้
พระนาคเสนถวายพระพรว่า ฉันใดก็ดี บุคคลที่เกิดมาเป็นรูปธรรมนามธรรมนี้ กระทำ
บาปไว้ ครั้นเมื่อตายไปนามรูปนี้จะวิปริตแปรปรวนไปเป็นนามรูปอื่น คือจะไปปฏิสนธิเกิดใหม่
แล้วจะเกิดต่อไปอีกก็ดี จะได้พ้นจากบาปกรรมหามิได้ ดุจบุรุษจุดประทีปกินข้าวให้ไฟไหม้บ้านนั้น
ขอบพิตรพระราชสมภารจงทราบในพระบวรสันดาน ด้วยประการดังนี้
หรือแม้แต่พระศาสดาเอง ท่านก็กล่าวไว้เองว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ [๓๙๒] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมากประ-
ทับนั่งอยู่ที่พื้นหินอันเป็นรัมณียสถานโชติช่วงด้วยแก้วต่างๆ ในละแวก
ป่าอันมีกลิ่นหอมต่างๆ ใกล้สระอโนดาต ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลาย
ของพระองค์ ณ ที่นั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่
เราทำแล้วของเรา เราเห็นภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้วได้ถวายผ้า
เก่า เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธ-
เจ้า ในกาลนั้น ผลแห่งกรรม คือการถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็น
พระพุทธเจ้า ในกาลก่อน เราเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็น
แม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัว จึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพ
หลังสุดนี้ (แม้) เราจะกระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา
ในชาติอื่นในกาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจก
พุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้าย (ตอบ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส
หลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ เรา
จึงได้คำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา เพราะการกล่าวตู่พระเถระ
นามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึง
ท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน
ถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้การกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผล
กรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมานวิกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่
เป็นจริง ........
ทราบว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงภาษิตธรรมบรรยายพุทธาปทานชื่อ ปุพพกรรมปิโลติ
อันเป็นบุพจารีตของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้แล.
สุมาอี้ก็บอกว่าใครที่เห็นว่ามีการสืบต่อกรรมวิบาก เป็นมิจฉาทิฏฐิ ลัทธิส่าย
ไม่ว่าท่านจะอ้างว่า มีการเกิดดับสืบต่อไปตามเหตุปัจจัย อะไรก็ตาม ขันธ์ทั้งหลาย ที่สมมุติเรียกว่า โพธิสัตว์ ก็ไม่ใช่ พระพุทธเจ้า อยู่ดี
ก็มันดับไปแล้วนี่ครับ ขันธ์นั้นน่ะ แล้วท่านจะมาสำคัญมั่นหมาย อาลัยอาวรณ์ ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ได้ไงหละครับ ?
เพราะถ้าคิดแบบนั้นเมื่อไร ไม่ว่าจะเรียกว่า บารมี คุณธรรม หรือขันธ์ ธาตุ กรรม วิบาก ฯลฯ อะไรก็ตาม
มันก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิด อยู่ดี ครับท่าน .......
ดังนั้นผมจึงอยากถามว่า
ถ้าใครเชื่อว่ามีกรรมวิบากที่สืบต่อจากพระโพธิสัตว์ชาติต่างๆถึงพระพุทธเจ้า คือมิจฉาทิฏฐิ
แล้วพระพุทธเจ้าได้รับวิบากต่างๆตามที่แสดงด้านบนได้อย่างไร ท่านไปทำกรรมไว้ตอนไหน?
ชัดเจนคำถามนะครับ
เมื่อนกกระจอกบอกว่า ใครเชื่อว่ามีกรรมวิบากที่สืบต่อจากพระโพธิสัตว์ชาติต่างๆถึงพระพุทธเจ้า คือมิจฉาทิฏฐิ
คุณสุมาอี้บอกว่า กัณหากับท่านอุบลวรรณเป็นคนละคนไม่เกี่ยวข้องกัน
การที่ท่านอุบลวรรณเถรีระลึกชาติย้อนกลับไปพบว่าได้เคยตั้งความปราถนาที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อช่วยพระศาสดาให้บรรลุพระโพธิญาณ
ไม่ได้แปลว่า กัณหากับท่านอุบลวรรณจะต้องเกี่ยวข้องกัน การตั้งจิตบำเพ็ญบารมียอมรับความเหนื่อยยากในอดีต ไม่ได้เกี่ยวกับกัณหา
ทำให้พระเวสสันดร บริจาคกัณหา การเป็นการเบียดเบียนกัณหาไปด้วย
ผมจึงบอกว่าจะบอกท่านเหล่านั้นไม่เกี่ยวกันเลยก็ไม่ได้ แท้จริงแล้ว
ท่านเหล่านั้นเป็นคนเดียวกันก็มิใช่ เป็นคนละคนก็มิใช่ ก็ล้วนแต่เป็นสภาวะธรรมทีเกิดดับสืบต่อตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น
ผมโดยกล่าวตามท่านพระอริยสงฆ์คือท่านนาคเสนเถระกล่าวไว้คือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หรือแม้แต่พระศาสดาเอง ท่านก็กล่าวไว้เองว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สุมาอี้ก็บอกว่าใครที่เห็นว่ามีการสืบต่อกรรมวิบาก เป็นมิจฉาทิฏฐิ ลัทธิส่าย
ไม่ว่าท่านจะอ้างว่า มีการเกิดดับสืบต่อไปตามเหตุปัจจัย อะไรก็ตาม ขันธ์ทั้งหลาย ที่สมมุติเรียกว่า โพธิสัตว์ ก็ไม่ใช่ พระพุทธเจ้า อยู่ดี
ก็มันดับไปแล้วนี่ครับ ขันธ์นั้นน่ะ แล้วท่านจะมาสำคัญมั่นหมาย อาลัยอาวรณ์ ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ได้ไงหละครับ ?
เพราะถ้าคิดแบบนั้นเมื่อไร ไม่ว่าจะเรียกว่า บารมี คุณธรรม หรือขันธ์ ธาตุ กรรม วิบาก ฯลฯ อะไรก็ตาม
มันก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิด อยู่ดี ครับท่าน .......
ดังนั้นผมจึงอยากถามว่า
ถ้าใครเชื่อว่ามีกรรมวิบากที่สืบต่อจากพระโพธิสัตว์ชาติต่างๆถึงพระพุทธเจ้า คือมิจฉาทิฏฐิ
แล้วพระพุทธเจ้าได้รับวิบากต่างๆตามที่แสดงด้านบนได้อย่างไร ท่านไปทำกรรมไว้ตอนไหน?
ชัดเจนคำถามนะครับ