จาก page นายหมูบิน ........ ให้แนวรับไว้ที่ 1460 น่าจะเห็นการรีบาวด์
หมูบิน จับชีพจรหุ้น
บางที่ความจริงก็โหดร้าย (ถ้าไม่ยอมรับ) ! เลือกเชื่อในสิ่งที่ (หัวใจ) ตัวเองอยากเชื่อ หรือเลือกเชื่อในสิ่งที่ทำให้ (หัวใจ) ตัวเองรู้สึกดีเป็นพฤติกรรมปกติของนักลงทุนทั่วไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเชื่อว่าหลายท่านเป็น และเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนแต่ละคนถึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน จากประสบการณ์ของผมทำให้ผมมีความเชื่ออย่างมากครับว่านักลงทุนที่ดี แต่จะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนก็อีกเรื่องนะครับ จะมองสถานการณ์การลงทุนจากความจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้า มากกว่าใช้ความรู้สึกที่มักเข้าข้างตัวเองเสมอ ดังนั้นผมจึงมองว่าหน้าที่ของผมคือการให้ข้อมูลที่สะท้อนสถานการณ์จริงๆมากกว่าให้ข้อมูลเพื่อให้นักลงทุนมีหวังทั้งๆที่มีโอกาสผิดหวังมากกว่าสมหวัง
ที่นี้มาดูกันว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร เริ่มจากแนวโน้มทางเทคนิคก่อน แม้ว่าวานนี้ SET จะปรับตัวลงมาเรื่อยๆจนมาทดสอบ 1,480 (+/-) จุดเป้าแรกกรณีดีที่สุด (Best Case) ที่ผมให้ไว้แล้ว แต่แรงดีดตัวกลับผมยังมองว่าเปราะบางมากนะครับ โดยที่สมมติฐานของผมคือตราบใดที่ SET ยังกลับไปปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA 52 และ 75 ในราย 120 นาทีบริเวณ 1,510 จุดไม่ได้ การดีดตัวขึ้นระยะสั้นในราย Weekly จะเป็นเพียงการ Technical Rebound เท่านั้น โดยที่ระหว่างสัปดาห์ถ้า SET ปิดต่ำกว่า 1,480 จุด บริเวณ Fib Node 1.382 ของ Extension Wave (คลื่นต่อตัว) ในกรอบขาลงรอบนี้ที่ 1,460 จุด และที่บริเวณ Fib Node 1.618 ของ Extension Wave (คลื่นต่อตัว) ในกรอบขาลงรอบนี้ที่ 1,440 จุด จะทำหน้าที่เป็นแนวรับต่อไปในกรณีปกติ (Base Case) และในกรณีแย่ (Worse Case) ตามลำดับ
ทั้งนี้เมื่อมาพิจารณาในเชิงพื้นฐานการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเวลานี้ด้วยเหตุด้วยผล ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าปัจจัยบวกใหม่ยังไม่มี ขณะที่ปัจจัยลบใหม่ยังคงรออยู่เพียบ โดยที่ในส่วนของปัจจัยในประเทศมุมมองจากนักลงทุนต่างชาติสะท้อนความเสี่ยงของตลาดหุ้นไทยเวลานี้ได้เป็นอย่างดี เพราะล่าสุดนอกจาก JP Morgan จะปรับน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็น Underweight จากเดิม Neutral แล้ว ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Bloomberg Consensus ยังปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น หรือ EPS ของตลาดหุ้นไทยในปี 2558 ลงอีกราว 0.22% โดยกลุ่มหลักทรัพย์ที่ถูกปรับประมาณการณ์ลงมากที่สุดได้แก่ขนส่ง (-2.8%), ปิโตเคมี (-2.5%) และยานยนต์ (-0.5%) ขณะที่กลุ่มที่ถูกปรับประมาณการ EPS ขึ้นมากที่สุด แต่ก็ถือว่าแทบไม่มีนัยสำคัญ ได้แก่รับเหมาก่อสร้าง (+0.5%), โรงพยาบาล (+0.4%) และอิเล็กทรอนิกส์ (+0.2%) ส่วนหุ้นถูกปรับประมาณการณ์ EPS ลงมากที่สุดได้แก่ TTA (-68.2%), ROJNA (-10.8%) และ MCOT (-10.5%) ขณะที่หุ้นที่ถูกปรับขึ้นมากที่สุด ได้แก่ TASCO (+9.1%), EASTW (+5.6%) และ ITD (+3.8%) นอกจากนี้ถ้าพิจารณาปัจจัยภายนอกจะพบว่ามีโอกาสที่ปัจจัยกดดันจากต่างประเทศจะยังคงมีอยู่อย่างน้อยๆจนกว่าจะผ่านวันที่ 19 มิ.ย.2558 ซึ่งจะเป็นเส้นตายการชำระหนี้ของกรีซ ที่ล่าสุดยังคงไม่มีอะไรแน่นอน ขณะที่ในการประชุม FOMC วันที่ 16-17 มิ.ย.2558 ท่าทีของเฟดต่อทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐ และแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ย ก็ยังคงยากที่จะคาดเดามากขึ้นเรื่อยๆด้วย
โดยที่เชิงพื้นฐานผมมองว่าตัวเลข 1,460 จุดจะเป็นแนวรับที่ควรจะ (แค่ควรจะนะครับ) เห็นการ Rebound แบบเป็นเรื่องเป็นราวของ SET ให้พอได้เก็งกำไรได้บ้าง แต่จะไปได้ไกลแค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากบริเวณดังกล่าวถือว่าเป็นระดับ Forward PER ที่ 14.6 เท่า หรือค่าเฉลี่ย Forward PER 10 ปี +1.0SD บนสมมติฐานว่า Core EPS ของ SET ในปี 2558 จะขยายตัว 14.1% YoY ดังนั้นสำหรับการลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน) ในลักษณะ Long-Only ยังเน้น “ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50% ของพอร์ต” และ Wait and See รอการเข้าสะสมครั้งใหม่ไปก่อน ส่วนการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) SET จะกลับมามีสัญญาณเก็งกำไรอีกครั้ง เมื่อกลับมาปิดเหนือ 1,520 จุดเท่านั้น ..... โชคดีทุกท่านครับ
1460 น่าจะเอาอยู่
หมูบิน จับชีพจรหุ้น
บางที่ความจริงก็โหดร้าย (ถ้าไม่ยอมรับ) ! เลือกเชื่อในสิ่งที่ (หัวใจ) ตัวเองอยากเชื่อ หรือเลือกเชื่อในสิ่งที่ทำให้ (หัวใจ) ตัวเองรู้สึกดีเป็นพฤติกรรมปกติของนักลงทุนทั่วไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเชื่อว่าหลายท่านเป็น และเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนแต่ละคนถึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน จากประสบการณ์ของผมทำให้ผมมีความเชื่ออย่างมากครับว่านักลงทุนที่ดี แต่จะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนก็อีกเรื่องนะครับ จะมองสถานการณ์การลงทุนจากความจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้า มากกว่าใช้ความรู้สึกที่มักเข้าข้างตัวเองเสมอ ดังนั้นผมจึงมองว่าหน้าที่ของผมคือการให้ข้อมูลที่สะท้อนสถานการณ์จริงๆมากกว่าให้ข้อมูลเพื่อให้นักลงทุนมีหวังทั้งๆที่มีโอกาสผิดหวังมากกว่าสมหวัง
ที่นี้มาดูกันว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร เริ่มจากแนวโน้มทางเทคนิคก่อน แม้ว่าวานนี้ SET จะปรับตัวลงมาเรื่อยๆจนมาทดสอบ 1,480 (+/-) จุดเป้าแรกกรณีดีที่สุด (Best Case) ที่ผมให้ไว้แล้ว แต่แรงดีดตัวกลับผมยังมองว่าเปราะบางมากนะครับ โดยที่สมมติฐานของผมคือตราบใดที่ SET ยังกลับไปปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA 52 และ 75 ในราย 120 นาทีบริเวณ 1,510 จุดไม่ได้ การดีดตัวขึ้นระยะสั้นในราย Weekly จะเป็นเพียงการ Technical Rebound เท่านั้น โดยที่ระหว่างสัปดาห์ถ้า SET ปิดต่ำกว่า 1,480 จุด บริเวณ Fib Node 1.382 ของ Extension Wave (คลื่นต่อตัว) ในกรอบขาลงรอบนี้ที่ 1,460 จุด และที่บริเวณ Fib Node 1.618 ของ Extension Wave (คลื่นต่อตัว) ในกรอบขาลงรอบนี้ที่ 1,440 จุด จะทำหน้าที่เป็นแนวรับต่อไปในกรณีปกติ (Base Case) และในกรณีแย่ (Worse Case) ตามลำดับ
ทั้งนี้เมื่อมาพิจารณาในเชิงพื้นฐานการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเวลานี้ด้วยเหตุด้วยผล ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าปัจจัยบวกใหม่ยังไม่มี ขณะที่ปัจจัยลบใหม่ยังคงรออยู่เพียบ โดยที่ในส่วนของปัจจัยในประเทศมุมมองจากนักลงทุนต่างชาติสะท้อนความเสี่ยงของตลาดหุ้นไทยเวลานี้ได้เป็นอย่างดี เพราะล่าสุดนอกจาก JP Morgan จะปรับน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็น Underweight จากเดิม Neutral แล้ว ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Bloomberg Consensus ยังปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น หรือ EPS ของตลาดหุ้นไทยในปี 2558 ลงอีกราว 0.22% โดยกลุ่มหลักทรัพย์ที่ถูกปรับประมาณการณ์ลงมากที่สุดได้แก่ขนส่ง (-2.8%), ปิโตเคมี (-2.5%) และยานยนต์ (-0.5%) ขณะที่กลุ่มที่ถูกปรับประมาณการ EPS ขึ้นมากที่สุด แต่ก็ถือว่าแทบไม่มีนัยสำคัญ ได้แก่รับเหมาก่อสร้าง (+0.5%), โรงพยาบาล (+0.4%) และอิเล็กทรอนิกส์ (+0.2%) ส่วนหุ้นถูกปรับประมาณการณ์ EPS ลงมากที่สุดได้แก่ TTA (-68.2%), ROJNA (-10.8%) และ MCOT (-10.5%) ขณะที่หุ้นที่ถูกปรับขึ้นมากที่สุด ได้แก่ TASCO (+9.1%), EASTW (+5.6%) และ ITD (+3.8%) นอกจากนี้ถ้าพิจารณาปัจจัยภายนอกจะพบว่ามีโอกาสที่ปัจจัยกดดันจากต่างประเทศจะยังคงมีอยู่อย่างน้อยๆจนกว่าจะผ่านวันที่ 19 มิ.ย.2558 ซึ่งจะเป็นเส้นตายการชำระหนี้ของกรีซ ที่ล่าสุดยังคงไม่มีอะไรแน่นอน ขณะที่ในการประชุม FOMC วันที่ 16-17 มิ.ย.2558 ท่าทีของเฟดต่อทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐ และแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ย ก็ยังคงยากที่จะคาดเดามากขึ้นเรื่อยๆด้วย
โดยที่เชิงพื้นฐานผมมองว่าตัวเลข 1,460 จุดจะเป็นแนวรับที่ควรจะ (แค่ควรจะนะครับ) เห็นการ Rebound แบบเป็นเรื่องเป็นราวของ SET ให้พอได้เก็งกำไรได้บ้าง แต่จะไปได้ไกลแค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากบริเวณดังกล่าวถือว่าเป็นระดับ Forward PER ที่ 14.6 เท่า หรือค่าเฉลี่ย Forward PER 10 ปี +1.0SD บนสมมติฐานว่า Core EPS ของ SET ในปี 2558 จะขยายตัว 14.1% YoY ดังนั้นสำหรับการลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน) ในลักษณะ Long-Only ยังเน้น “ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50% ของพอร์ต” และ Wait and See รอการเข้าสะสมครั้งใหม่ไปก่อน ส่วนการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) SET จะกลับมามีสัญญาณเก็งกำไรอีกครั้ง เมื่อกลับมาปิดเหนือ 1,520 จุดเท่านั้น ..... โชคดีทุกท่านครับ