เดิมนั้นมันมีเพียงธาตุ ๔ (ของแข็ง ของเหลว ความร้อน ก็าซ) ซึ่งแม้ธาตุ ๔ ก็เป็นแค่เพียงพลังงานเท่านั้น
ธาตุ ๔ นี้มีความหัศจรรย์มากตรงที่เมื่อมันมาพบกันเข้าเมื่อใด มันก็จะปรุงแต่งให้เกิดวัตถุและสิ่งของต่างๆขึ้นมามากมาย โดยมีร่างกายของคน สัตว์และพืช ที่เป็นวัตถุที่ละเอียดอ่อนและพิศดารที่สุด
เมื่อสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่อย่างถาวรหรือเป็นอมตะได้ คือมันจะต้องแตกหรือดับหายไปในที่สุดอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว รวมทั้งขณะที่ยังตั้งอยู่ มันก็ยังต้องทนที่จะประคับประคองสภาพการปรุงแต่งของมันเอาไว้ด้วยคามยากลำบากอีกด้วย
ร่างกายที่มีชีวิตนี้เองที่สามารถปรุงแต่งให้เกิดธาตุพิเศษขึ้นมาอีก ๑ ธาตุ คือ ธาตุวิญญาณ หรือการรับรู้ที่เกิดมาที่ระบบประสาททั้ง ๖ ของร่างกาย เหมือนแบตเตอร์รี่ที่ผลิตไฟฟ้าให้เกิดขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อวิญญาณหรือการรับรู้เกิดขึ้นมาแล้ว มันก็จะมาปรุงแต่งให้เกิดจิตหรือใจขึ้นมา จนเกิดเป็นจิตที่แสนมหัศจรรย์ขึ้นมา
จิตที่แสนมหัศจรรย์นี้เองที่ธรรมชาติได้ใส่ความรู้พิเศษเอาไว้ให้ เพื่อให้จิตเกิดความรู้สึกว่ามีตัวเองขึ้นมา ซึ่งความรู้พิเศษนี้เรียกว่า อวิชชา ที่เป็นความรู้ว่ามีตัวเอง
เมื่อจิตมีอวิชชาครอบงำจิต มันก็จะเกิดความรู้สึกว่ามีตนเองขึ้นมา และเกิดความเข้าใจผิดว่ามีตนเองขึ้นมาด้วย (และยังเกิดความเชื่อว่าเมื่อตายแล้วยังจะมีตนเองเกิดขึ้นมาใหม่ได้อีกเรื่อยไป) รวมทั้งเกิดความยึดถือว่ามีตนเองขึ้นมาอีก
เมื่อมีความยึดถือว่ามีตนเองขึ้นมาเมื่อใด จิตก็จะเกิดความรู้สึกทรมานหรือความทุกข์ขึ้นมาทันที
แต่เมื่อจิตมีปัญญาหรือวิชชา ที่เป็นความเข้าใจและเห็นแจ้งว่า มันไม่มีตัวเราและตัวตนของใครๆหรือของสิ่งใดๆอยู่จริง พร้อมทั้งมีศีลและสมาธิ ก็จะทำให้อวิชชาดับหายไป (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีอวิชชา ความรู้สึกว่ามีตัวเองและความยึดถือว่ามีตัวเองก็จะดับหายไปทันที (แม้เพียงชั่วคราว)
เมื่อจิตไม่มีความรู้สึกและยึดถือว่ามีตัวเอง มันก็จะกลับคืนสู่ความประภัสสรหรือบริสุทธิ์ ที่เป็นจิตเดิมแท้ของทุกชีวิต
เมื่อจิตประภัสสร มันก็นิพพาน (สงบเย็น) แม้เพียงชั่วคราว
สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริงของมันเอง
ธาตุ ๔ นี้มีความหัศจรรย์มากตรงที่เมื่อมันมาพบกันเข้าเมื่อใด มันก็จะปรุงแต่งให้เกิดวัตถุและสิ่งของต่างๆขึ้นมามากมาย โดยมีร่างกายของคน สัตว์และพืช ที่เป็นวัตถุที่ละเอียดอ่อนและพิศดารที่สุด
เมื่อสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่อย่างถาวรหรือเป็นอมตะได้ คือมันจะต้องแตกหรือดับหายไปในที่สุดอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว รวมทั้งขณะที่ยังตั้งอยู่ มันก็ยังต้องทนที่จะประคับประคองสภาพการปรุงแต่งของมันเอาไว้ด้วยคามยากลำบากอีกด้วย
ร่างกายที่มีชีวิตนี้เองที่สามารถปรุงแต่งให้เกิดธาตุพิเศษขึ้นมาอีก ๑ ธาตุ คือ ธาตุวิญญาณ หรือการรับรู้ที่เกิดมาที่ระบบประสาททั้ง ๖ ของร่างกาย เหมือนแบตเตอร์รี่ที่ผลิตไฟฟ้าให้เกิดขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อวิญญาณหรือการรับรู้เกิดขึ้นมาแล้ว มันก็จะมาปรุงแต่งให้เกิดจิตหรือใจขึ้นมา จนเกิดเป็นจิตที่แสนมหัศจรรย์ขึ้นมา
จิตที่แสนมหัศจรรย์นี้เองที่ธรรมชาติได้ใส่ความรู้พิเศษเอาไว้ให้ เพื่อให้จิตเกิดความรู้สึกว่ามีตัวเองขึ้นมา ซึ่งความรู้พิเศษนี้เรียกว่า อวิชชา ที่เป็นความรู้ว่ามีตัวเอง
เมื่อจิตมีอวิชชาครอบงำจิต มันก็จะเกิดความรู้สึกว่ามีตนเองขึ้นมา และเกิดความเข้าใจผิดว่ามีตนเองขึ้นมาด้วย (และยังเกิดความเชื่อว่าเมื่อตายแล้วยังจะมีตนเองเกิดขึ้นมาใหม่ได้อีกเรื่อยไป) รวมทั้งเกิดความยึดถือว่ามีตนเองขึ้นมาอีก
เมื่อมีความยึดถือว่ามีตนเองขึ้นมาเมื่อใด จิตก็จะเกิดความรู้สึกทรมานหรือความทุกข์ขึ้นมาทันที
แต่เมื่อจิตมีปัญญาหรือวิชชา ที่เป็นความเข้าใจและเห็นแจ้งว่า มันไม่มีตัวเราและตัวตนของใครๆหรือของสิ่งใดๆอยู่จริง พร้อมทั้งมีศีลและสมาธิ ก็จะทำให้อวิชชาดับหายไป (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีอวิชชา ความรู้สึกว่ามีตัวเองและความยึดถือว่ามีตัวเองก็จะดับหายไปทันที (แม้เพียงชั่วคราว)
เมื่อจิตไม่มีความรู้สึกและยึดถือว่ามีตัวเอง มันก็จะกลับคืนสู่ความประภัสสรหรือบริสุทธิ์ ที่เป็นจิตเดิมแท้ของทุกชีวิต
เมื่อจิตประภัสสร มันก็นิพพาน (สงบเย็น) แม้เพียงชั่วคราว