คนทั่วไปมักเข้าใจว่า จิตเป็นสิ่งมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติ
โดยเขาจะเข้าใจว่าธรรมชาตินั้นมันมีเหตุมีผลของมันอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่จิตนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เหนือธรรมชาติหรือนอกเหนือเหตุผล ซึ่งนี่คือความเชื่อว่ามีสิ่งเหนือธรรมชาติ อันได้แก่สิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลาย จนทำให้เกิดความเชื่อว่า จิตของเรานี้มีความหัศจรรย์หรือศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ จนสามารถที่จะเกิดขึ้นมาได้เอง ตั้งอยู่ได้ด้วยตัวเอง และไม่มีวันดับหายไป(เป็นอมตะ) ซึ่งก็ตรงกับหลักของศาสนาพราหมณ์สอนที่สอนว่าจิตของเรานี้เป็นอัตตา(ตัวตนอมตะ)
แต่เมื่อพิจารณาด้วยเหตุผลและดูจากความจริงแล้ว เราก็จะพบว่า จิตนี้เป็นเพียงสิ่งที่ธรรมชาติเอาสิ่งต่างๆ(นามธาตุ)มาปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อมันเป็นสิ่งปรุงแต่งตามธรรมชาติ มันจึงต้องตกอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ ๓ ข้อ คือ ๑.ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง ๒.ไม่สามารถตั้งอยู่อย่างถาวรหรือเป็นอมตะได้ และ ๓. มีสภาวะที่ต้องทนอยู่ด้วยเสมอ
เมื่อเราเข้าใจ(มีปัญญา)ถึงจิตว่าเป็นสิ่งที่ธรรมชาติปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราวแล้ว เราก็จะเข้าใจได้ว่า แท้จริงมันไม่ได้มีตัวตนของเราหรือของใครๆหรือของสิ่งใดอยู่จริงเลย(สุญญตา) และเมื่อเราเอาความเข้าใจนี้มาเพ่งพิจารณาอย่างจริงจัง(ด้วยสมาธิ) จิตของเราก็จะปล่อยวางความยึดถือจิตใจและร่างกายรวมทั้งสิ่งทั้งหลายว่าเป็นตัวเรา-ของเราลง เมื่อไม่มีความยึดถือ จิตก็ไม่มีความทุกข์(แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีทุกข์ มันก็สงบเย็น(นิพพาน) นี่คือการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์โดยสรุปตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า
ธรรมชาติสร้างจิตขึ้นมา ไม่ใช่จิตจะมีอยู่ก่อนธรรมชาติ
โดยเขาจะเข้าใจว่าธรรมชาตินั้นมันมีเหตุมีผลของมันอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่จิตนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เหนือธรรมชาติหรือนอกเหนือเหตุผล ซึ่งนี่คือความเชื่อว่ามีสิ่งเหนือธรรมชาติ อันได้แก่สิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลาย จนทำให้เกิดความเชื่อว่า จิตของเรานี้มีความหัศจรรย์หรือศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ จนสามารถที่จะเกิดขึ้นมาได้เอง ตั้งอยู่ได้ด้วยตัวเอง และไม่มีวันดับหายไป(เป็นอมตะ) ซึ่งก็ตรงกับหลักของศาสนาพราหมณ์สอนที่สอนว่าจิตของเรานี้เป็นอัตตา(ตัวตนอมตะ)
แต่เมื่อพิจารณาด้วยเหตุผลและดูจากความจริงแล้ว เราก็จะพบว่า จิตนี้เป็นเพียงสิ่งที่ธรรมชาติเอาสิ่งต่างๆ(นามธาตุ)มาปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อมันเป็นสิ่งปรุงแต่งตามธรรมชาติ มันจึงต้องตกอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ ๓ ข้อ คือ ๑.ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง ๒.ไม่สามารถตั้งอยู่อย่างถาวรหรือเป็นอมตะได้ และ ๓. มีสภาวะที่ต้องทนอยู่ด้วยเสมอ
เมื่อเราเข้าใจ(มีปัญญา)ถึงจิตว่าเป็นสิ่งที่ธรรมชาติปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราวแล้ว เราก็จะเข้าใจได้ว่า แท้จริงมันไม่ได้มีตัวตนของเราหรือของใครๆหรือของสิ่งใดอยู่จริงเลย(สุญญตา) และเมื่อเราเอาความเข้าใจนี้มาเพ่งพิจารณาอย่างจริงจัง(ด้วยสมาธิ) จิตของเราก็จะปล่อยวางความยึดถือจิตใจและร่างกายรวมทั้งสิ่งทั้งหลายว่าเป็นตัวเรา-ของเราลง เมื่อไม่มีความยึดถือ จิตก็ไม่มีความทุกข์(แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีทุกข์ มันก็สงบเย็น(นิพพาน) นี่คือการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์โดยสรุปตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า