วิ่งให้ถึงมินิ

กระทู้สนทนา
เห็นกระทู้ถามเรื่องจะวิ่งมินิผ่านไหม ?? ใน pantip อยู่บ่อยๆเลยจะมาเล่าประสบการณ์การวิ่งมินิให้ฟัง (ผ่านสนามมินิมา 12 รายการแล้วครับ)

การฝึกซ้อม : ไม่มีอะไรมากครับนอกจากฝึกวิ่งไปเรื่อยๆ อันนี้พูดถึงการวิ่งมินิให้จบไม่ได้พูดถึงวิ่งมินิให้เร็วนะครับ เพราะเดี๋ยวอ่านไปจะสงสัยว่าไม่มีตารางฝึกซ้อมอะไรแนะนำเลย (แต่บอกตามตรงว่าที่ผ่านมาผมก็ไม่มีตารางฝึกซ้อมอะไรเพราะผมวิ่งแบบเดียวกันทุกวันคือวิ่งต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนได้เวลาที่ตัวเองวางไว้ซึ่งรายการล่าสุดซ้อมวิ่งต่อเนื่องเกือบๆ 40 นาทีทุกวัน ความเร็วเท่ากันทุกวันหมดไม่มีวันไหนช้า,วันไหนเร็ว เว้นวันที่ซ้อมวิ่งตอนเช้าที่จะวิ่งช้าหน่อยเพราะไม่ได้ทานอะไรมาก่อนนอกจากน้ำเปล่า หมายเหตุ : 40 นาทีที่ว่านี้ผมวิ่งประมาณ pace 4 - 5 นะครับ ถ้าเอาระยะก็ประมาณ 7 - 8 กิโลเมตรแต่อันนี้เป็นการซ้อมช่วงที่ผ่านสนามมา 8 - 9 สนามแล้วนะครับเพราะตอนนี้ซ้อมโดยมุ่งเอาเวลาไม่ให้เกิน pace 4 (ปลายๆ) ครับ ก่อนหน้านั้นซ้อมแค่ 25 - 30 นาทีมาตลอดแต่ก็ผ่านมินิได้ครับ)

สำหรับผู้เริ่มวิ่งระยะแรกจะเหนื่อยหน่อยและวิ่งได้ไม่นานซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ อันนี้พูดถึงการวิ่งแบบเหยาะๆนะครับราวๆ pace 7 สำหรับคนที่เริ่มหัดวิ่งในระยะแรกๆไม่ต้องกังวลว่าเราวิ่งได้น้อยกว่าคนอื่น อย่าเห็นว่าคนอื่นวิ่งได้หลายๆรอบแล้วเราจะทำตามได้ในทันทีเพราะการวิ่งให้ได้ระยะหนึ่งนั้นผู้วิ่งจะต้องสั่งสมบ่มเพาะอะไรหลายๆ ต้องให้ร่างกายของตัวเองปรับสภาพได้เสียก่อน ให้นึกถึงคำว่าพลังวัตรในหนังจีนไว้ หากพลังวัตรไม่พอก็ฝึกเคล็ดวิชาขั้นสูงสุดไม่ได้

โดยส่วนใหญ่ช่วงแรกคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนจะวิ่งได้ 2 - 3 รอบสนามบอลก็จะรู้สึกเหนื่อยแล้วนั่นเพราะร่างกายยังไม่เคยรับสภาพแบบนี้มาก่อน จะรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ทันซึ่งสิ่งนี้มันเกิดขึ้นกับทุกคน ซึ่งหากวิ่งไปนานๆเข้าร่างกายและหัวใจก็จะเริ่มชินและสามารถเพิ่มจำนวนรอบขึ้นได้โดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยและหายใจลำบากเหมือนในระยะแรก เดิมทีจะเอาเคสของตัวผมเองเป็นตัวตั้งแต่มันคงไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่เพราะผมเล่นบาสอย่างต่อเนื่องมาก่อนตอนเริ่มวิ่งครั้งแรกเลยถือว่าวิ่งต่อเนื่องได้นานอยู่ จะลองยกเคสของน้องที่วิ่งด้วยกันคนหนึ่งมาประกอบซึ่งน้องคนนี้ถือว่าเริ่มต้นจากศูนย์จริงๆ

น้องคนนี้อายุ 30 (ช) ไม่เคยมีประวัติการออกกำลังกายมาก่อน การวิ่งเป็นกีฬาชนิดแรก ในระยะแรกนั้นเขาวิ่งได้ 2 - 3 รอบสนามก็ไม่ไหวแล้ว (เป็นการวิ่งแบบช้าๆด้วย) เขาเริ่มวิ่งทุกวันไปเรื่อยๆจึงค่อยๆเพิ่มจำนวนรอบขึ้นแต่ยังไม่ได้เพิ่มความเร็วคือวิ่งเหยาะๆไปก่อนจนกว่าร่างกายมันจะค่อยๆปรับสภาพได้ บางครั้งเขาก็ใช้วิธีวิ่งสลับเดินคือหากว่าวิ่งจนรู้สึกว่าตัวเองไปต่อไม่ไหวแล้วก็หยุดพักด้วยการเดินต่อไป พอหายเหนื่อยก็กลับมาวิ่งอีกรอบคือไม่จำเป็นต้องวิ่งม้วนเดียวจบก็ได้ วิธีฝึกมันมีหลายแบบ อันนี้เอาเรื่อง stamina ก่อนคือต้องพยายามวิ่งต่อเนื่องให้ได้เกิน 20 นาที (ส่วนเรื่องฝึกให้ได้ความเร็วด้วยนั้นมีหลายทฤษฏีทั้งการวิ่งเร็วสลับปกติ รวมไปถึงท่าวิ่ง) กว่าที่เขาจะมาวิ่งได้ระยะยาวต่อเนื่องเกิน 10 รอบสนามด้วยความเร็ว pace 6 ก็ใช้เวลาราวๆ 2 - 3 เดือน จะเห็นว่าทุกอย่างต้องใช้เวลาในการสั่งสม เรื่องวิ่งจะรีบร้อนไม่ได้เพราะการวิ่งไม่ใช่การต้มน้ำที่เพียงแต่เร่งแก๊สก็เดือดได้เร็ว

วิ่งได้เท่าไหร่ถึงสามารถลงมินิได้ ?? : อันนี้วัดจากตัวเองคือสามารถวิ่งซ้อมผ่านระยะ 5 - 6 กิโลไปแล้ว หมายถึงซ้อมระยะนี้ได้เป็นประจำแล้วและไม่ได้วิ่งเพื่อต้องการทำเวลา (หากต้องการทำเวลาต้องวิ่งให้ได้เกือบๆถึงระยะอย่างเป็นประจำ) แข่งวิ่งครั้งแรกอาจจะรู้สึกกังวลว่าเราซ้อมวิ่งไม่ถึงมาแล้วมันจะไปได้ถึงเส้นชัยเหรอ คนอาจจะมองว่ามันน้อยไปแม้แต่ตัวผมเองในตอนนั้นก็คิดเช่นกันว่ามันไม่ไหวแต่น้องคนข้างบนเขาบอกว่าให้ลงระยะมินิ (ตอนนั้น 12 กิโลด้วย) ไปเลยจึงเอาวะลงก็ลง และจากการลองสนามจริงในรายการแรกพร้อมกับน้องข้างบนผลปรากฏว่าผ่านเข้าเส้นชัยได้ทั้งคู่ก่อนเวลา 1.30 ชั่วโมง ดังนั้นใครที่ซ้อมวิ่งได้ถึงระยะนี้สามารถลงมินิได้ครับผ่านแน่ๆ

เวลาวิ่งๆอย่างไร กลัวไปได้ไม่ถึงเส้นชัย : วิ่งตามความเร็วที่ซ้อมครับอย่าไปอิงกับความเร็วคนอื่น (หมายถึงตามคนที่วิ่งเร็วกว่าเพราะหากฝืนวิ่งตามจะทำให้ตัวเองหมดแรงก่อนถึงเส้นชัยแน่ๆ) หากไม่มั่นใจให้วิ่งช้ากว่าที่ซ้อม วิ่งแบบออมแรงช้าแต่ชัวร์และอย่าอายที่จะพักเดินเพราะไม่ได้มีเราคนเดียวหรอกที่หยุดพักด้วยการเดิน บางรายการที่ผมไม่ไหวผมก็เดินนะครับ ไม่ได้แข่งเอาถ้วยจึงไม่ต้องจริงจังอย่างเอาเป็นเอาตาย รายการแรกที่ผมลงผมจะวิ่งช้ากว่าที่ซ้อมมากๆเพราะกลัวว่าตัวเองจะไปไม่รอดถึงเส้นชัยแต่สุดท้ายก็ไปรอด ได้ลองเร่งความเร็วหลังจากผ่านจุดกลับตัวด้วยเพราะคิดว่าเราไปรอดแน่ๆ บรรยากาศการวิ่งรวมทั้งผู้คนมันจะช่วยเสริมให้เรามีแรงฮึดมากขึ้นกว่าที่ซ้อมตามปกติ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆบรรยากาศจะช่วยให้เรามีแรงเพิ่มขึ้น

ของกินก่อนวิ่ง :
ควรกินอะไรไปก่อนวิ่งราวชั่วโมงเศษๆเพื่อให้มีแรงวิ่ง ที่บอกให้กินก่อนชั่วโมงเศษก็เพื่อไม่ให้จุกระหว่างวิ่งเพราะหากจุกจะทำให้การวิ่งไม่สนุก เน้นอาหารที่ให้พลังงานอย่างกล้วย ขนมปัง อย่างผมจะกินแฮมเบอร์เกอร์ของเซเว่นและกินน้ำไปพร้อมกัน ก่อนแข่งเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยและอย่าดื่มน้ำเยอะให้จิบดับกระหายพอเพื่อหลีกเลี่ยงการอยากเข้าห้องน้ำระหว่างวิ่ง ค่อยไปกินอีกครั้งที่จุดแจกน้ำในสนามแข่งซึ่งจะมีทุกๆ 2 กิโลเมตร

วอร์มอัพ : เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ก่อนวิ่งควรวอร์มอัพซักเล็กน้อยเพื่อให้ร่างกายได้รับรู้ว่าเรากำลังจะใช้งานมันแล้วนะ การวอร์มอัพยังช่วยลดทอนอาการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างวิ่งได้ จากหนักอาจจะกลายเป็นเบา การวอร์มอัพมีทั้งวอร์มกล้ามเนื้อและวอร์มเส้นเอ็น และเช่นกันหลังวิ่งเสร็จก็ต้องทำการคูลดาวน์เพื่อลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ

พักผ่อนก่อนวันแข่ง : เกือบทุกคนที่จะนอนไม่หลับวันแข่งเพราะจะตื่นเต้น ดังนั้นคือก่อนวันก่อนแข่งให้สะสมพลังให้เต็มที่นอนให้เต็มอิ่มและไม่ต้องซ้อมหนักก่อนวันแข่งเพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมก่อนแข่ง อย่างผมจะไม่ซ้อมก่อนวันวิ่งเลย เก็บสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ที่สุดไว้เพื่อวันจริงจะดีกว่า

หากบาดเจ็บให้หยุดทันที : อาการบาดเจ็บบางครั้งมันก็เกิดขึ้นมาซึ่งหากเกิดขึ้นให้หยุดวิ่งทันทีเพื่อป้องกันการอักเสบที่มากขึ้น อย่าไปคิดเรื่องศักดิ์ศรีหรือใจสู้เหมือนการ์ตูนซึบาสะเพราะมันไม่คุ้ม ผมยังเคยเห็นคนยอมหยุดทั้งที่เพิ่งเริ่มสตาร์ทโดยได้ยินเขาบอกกับเพื่อนว่าเกิดเจ็บเข่าขึ้นมาแล้วเขาก็เดินฉีกตัวออกไป

สิ่งที่อยากพูดถึงก็มีเท่านี้ล่ะครับ ก่อนจะจากกันไปอยากจะกล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการวิ่งก็คือวินัยในการฝึกซ้อม การฝึกซ้อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การวิ่งไม่มีทางลัด ด้วยความที่เป็นสิ่งพื้นๆมันจึงทำให้คนส่วนใหญ่ละเลยไม่เห็นความสำคัญ จริงๆแล้วการวิ่งมันไม่ใช่การแข่งกับคนอื่นหรอกแต่มันคือการแข่งกับตัวเอง แข่งกับใจของตัวเองว่าใจเราเข้มแข็งพอไหมเพราะการเลิกวิ่งมันง่ายมากๆเพียงแค่เราหยุดก้าวเท้าก็เท่ากับเราหยุดวิ่งแล้วและมันง่ายซะด้วยที่ใจเราอยากจะหยุดวิ่ง การหยุดมันง่ายกว่าการก้าว การวิ่งมันจึงเป็นการวัดวินัยและวัดใจของเราว่าเข้มแข็งแค่ไหน จะวิ่งต่อหรือล้มเลิกตัวเราเองเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสินใจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่