คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 19
ความคิดเห็นที่ 18
ก็แล้วแต่จะจิ้นครับ
เพราะผมก็เห็นว่าอรรถกถาจารย์ท่านแปลไว้ถูกต้องแล้ว
คือสัตว์ทีจุติแล้วอุบัติ มี
โอปปาติกะก็คือสัตว์ที่จุติแล้วอุบัติคือเกิดเต้มตัวเลย
ไม่ได้ผิดตรงไหนเลย
แล้วก็สอดคล้องกับในส่วนอื่นๆของพระไตรปิฏก
ส่วนคุณจะจินตนาการอย่างไรก็แล้วแต่ครับ
ผมบอกแล้วว่าผมคุยด้วยหลักฐานไม่คุยด้วยจินตนาการ
เลือกคำตอบนี้ ตอบกลับ
0 0
สมาชิกหมายเลข 2250169
1 ชั่วโมงที่แล้ว [IP: 180.183.112.27]
มันสอดคล้องตรงไหน หรือครับท่าน ?
ถามจริงๆเถิดครับ แน่ใจนะครับ ว่าที่ท่านคันโตนา พูดมานี่ ได้ได้ จิ้น เอาเอง
1 มาดูคำอธิบายของอรรถกถา ก่อนนะครับ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=557
บทว่า นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา ความว่า ขึ้นชื่อว่าสัตว์ที่จะจุติแล้วเกิดไม่มี.
ความบริบูรณ์ ชื่อว่า สมฺปทา ความที่ศีลบริบูรณ์ไม่บกพร่อง ชื่อว่าสีลสัมปทา.
แม้ในบททั้งสองที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อตฺถิ ทินฺนํ เป็นต้น นักศึกษาพึงถือเอาโดยนัยที่ตรงข้ามกับที่กล่าวมาแล้ว
ตรงนี้ อรรถกถาอธิบายว่า นตถิ สตตา โอปปาติกา แปลว่า สัตว์ ตายแล้วเกิด ไม่มี (ตายแล้วสูญ)
ส่วน สัมมาทิฐิ กล่าวตรงข้ามว่า อตถิ สตตา โอปปาติกา แปลว่า สัตว์ ตายแล้วเกิด มีอยู่
ไม่มีตรงไหน พูดถึง สัตว์ผุดเกิด หรือ ผีสางนางไม้ ใช่ไหมครับ ?
2 ประเด็นที่ว่า สัตว์ในพระสูตร หมายถึงสัตว์ชนิดใดบ้าง ? มาดูฝ่ายสัมมาทิฐิก่อนครับท่าน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ........
ดูกรวัจฉะ เราย่อมบัญญัติความเกิดขึ้นแก่คนที่ยังมีอุปาทานเท่านั้น
หาบัญญัติแก่คนที่หาอุปาทานมิได้ไม่
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=18&A=9929&Z=9978&pagebreak=0
คำถาม ก็คือ พระบาลี ที่ตรัสนี้ ทรงหมายถึง คน อย่างเดียว หรือ หรือทรงหมายถึง สัตว์โลกทั้งหมด
หรือหมายเฉพาะสัตว์ผุดเกิด หรือทรงหมายถึง ผี กันหละครับ ?
3 มาดูฝ่าย มิจฉาทิฐิบ้างครับ กรุณา ไปอ่านเรื่อง อุจเฉททิฐิ จากพรหมชาลสูตรนะครับ
แต่ในที่นี้ ผมขอเสนอเฉพาะคำอธิบายของอรรถกถาจารย์นะครับท่าน เพราะตรงประเด็นดี
อรรถกถาจารย์ ท่านอธิบายว่า พวกอุจเฉททิฐิ เจ็ดพวก ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง
สามารถแบ่งออกป็นสองพวก คือ พวกที่ระลึกชาติได้ กับพวกระลึกชาติไม่ได้
พวกระลึกชาติไม่ได้ เขาไม่เชื่อเรื่อง ผีสาง โอปปาคิกะอยู่แล้ว
ดังนั้น คำว่าสัตว์ของพวกเขาหมายถึงคน กับดิรัจฉาน เท่านั้น
ส่วนพวกระลึกชาติได้ คำว่าสัตว์ ก็ต้องหมายถึงสัตว์โลกทั้งหมด
เว้นแต่ว่า ใครสักคนจะสามารถยืนยันได้ว่า เขาระลึกได้เฉพาะชาติที่เป็นสัตว์ผุดเกิด หรือชาติที่เกิดเป็นผี
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=6#%CD%D8%A8%E0%A9%B7%C7%D2%B7%D0
ในอุจเฉทวาทะ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า สโต ได้แก่ ยังมีอยู่.
บทว่า อุจฺเฉทํ ได้แก่ ความขาดสูญ.
บทว่า วินาสํ ได้แก่ ความไม่พบปะ.
บทว่า วิภวํ ได้แก่ ไปปราศจากภพ.
คำเหล่านี้ทั้งหมด เป็นไวพจน์ของกันและกันทั้งนั้น.
ในอุจเฉทวาทะนั้น มีคนที่ถืออุจเฉททิฏฐิอยู่ ๒ พวก คือผู้ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ๑ ผู้ไม่ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ๑. ผู้ที่ได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เมื่อระลึกตาม มีทิพยจักษุ เห็นจุติไม่เห็นอุบัติ.
อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใดสามารถเห็นเพียงจุติเท่านั้น ไม่เห็นอุบัติ ผู้นั้นชื่อว่ายึดถืออุจเฉททิฏฐิ.
ผู้ที่ไม่ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คิดว่า ใครเล่าจะรู้ปรโลก ย่อมยึดถือความขาดสูญ เพราะค่าที่ตนเป็นผู้ต้องการกามสุข หรือเพราะการนึกเอาเองเป็นต้นว่า สัตว์ทั้งหลายก็เหมือนกับใบไม้ที่หล่นจากต้นไม้ไม่งอกต่อไปฉะนั้น.
ก็ในอธิการนี้ พึงทราบว่า ทิฏฐิ ๗ เหล่านี้เกิดขึ้นด้วยอำนาจตัณหาและทิฏฐิ หรือเพราะกำหนดเอาอย่างนั้นและอย่างอื่น.
3 สรุป ก็คือ คำว่า สัตว์ ทั้งในฝ่าย สัมมาทิฐิ และฝ่ายมิจฉาทิฐิ หมายถึง สัตว์โลกทั้งหมดครับ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะสัตว์ผุดเกิด อย่างที่บางคนอ้าง
และยิ่งไม่เกี่ยวอะไรกับผีสางนางไม้เลย
ความเป็นมิจฉาทิฐิ เกิดจาก เขาเชื่อว่า สัตว์โลกตายแล้วไม่เกิด คือเชื่อว่าตายแล้วสูญ
เขาไม่ได้เป็นมิจฉาทิฐิเพราะไม่เชื่อเรื่องผีสาง ไม่ใช่ว่า เป็นมิจฉาทิฐิเพราะไม่เชื่อว่าโอปปาติกะมีจริงสักหน่อย
ก็แล้วแต่จะจิ้นครับ
เพราะผมก็เห็นว่าอรรถกถาจารย์ท่านแปลไว้ถูกต้องแล้ว
คือสัตว์ทีจุติแล้วอุบัติ มี
โอปปาติกะก็คือสัตว์ที่จุติแล้วอุบัติคือเกิดเต้มตัวเลย
ไม่ได้ผิดตรงไหนเลย
แล้วก็สอดคล้องกับในส่วนอื่นๆของพระไตรปิฏก
ส่วนคุณจะจินตนาการอย่างไรก็แล้วแต่ครับ
ผมบอกแล้วว่าผมคุยด้วยหลักฐานไม่คุยด้วยจินตนาการ
เลือกคำตอบนี้ ตอบกลับ
0 0
สมาชิกหมายเลข 2250169
1 ชั่วโมงที่แล้ว [IP: 180.183.112.27]
มันสอดคล้องตรงไหน หรือครับท่าน ?
ถามจริงๆเถิดครับ แน่ใจนะครับ ว่าที่ท่านคันโตนา พูดมานี่ ได้ได้ จิ้น เอาเอง
1 มาดูคำอธิบายของอรรถกถา ก่อนนะครับ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=557
บทว่า นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา ความว่า ขึ้นชื่อว่าสัตว์ที่จะจุติแล้วเกิดไม่มี.
ความบริบูรณ์ ชื่อว่า สมฺปทา ความที่ศีลบริบูรณ์ไม่บกพร่อง ชื่อว่าสีลสัมปทา.
แม้ในบททั้งสองที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อตฺถิ ทินฺนํ เป็นต้น นักศึกษาพึงถือเอาโดยนัยที่ตรงข้ามกับที่กล่าวมาแล้ว
ตรงนี้ อรรถกถาอธิบายว่า นตถิ สตตา โอปปาติกา แปลว่า สัตว์ ตายแล้วเกิด ไม่มี (ตายแล้วสูญ)
ส่วน สัมมาทิฐิ กล่าวตรงข้ามว่า อตถิ สตตา โอปปาติกา แปลว่า สัตว์ ตายแล้วเกิด มีอยู่
ไม่มีตรงไหน พูดถึง สัตว์ผุดเกิด หรือ ผีสางนางไม้ ใช่ไหมครับ ?
2 ประเด็นที่ว่า สัตว์ในพระสูตร หมายถึงสัตว์ชนิดใดบ้าง ? มาดูฝ่ายสัมมาทิฐิก่อนครับท่าน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ........
ดูกรวัจฉะ เราย่อมบัญญัติความเกิดขึ้นแก่คนที่ยังมีอุปาทานเท่านั้น
หาบัญญัติแก่คนที่หาอุปาทานมิได้ไม่
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=18&A=9929&Z=9978&pagebreak=0
คำถาม ก็คือ พระบาลี ที่ตรัสนี้ ทรงหมายถึง คน อย่างเดียว หรือ หรือทรงหมายถึง สัตว์โลกทั้งหมด
หรือหมายเฉพาะสัตว์ผุดเกิด หรือทรงหมายถึง ผี กันหละครับ ?
3 มาดูฝ่าย มิจฉาทิฐิบ้างครับ กรุณา ไปอ่านเรื่อง อุจเฉททิฐิ จากพรหมชาลสูตรนะครับ
แต่ในที่นี้ ผมขอเสนอเฉพาะคำอธิบายของอรรถกถาจารย์นะครับท่าน เพราะตรงประเด็นดี
อรรถกถาจารย์ ท่านอธิบายว่า พวกอุจเฉททิฐิ เจ็ดพวก ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง
สามารถแบ่งออกป็นสองพวก คือ พวกที่ระลึกชาติได้ กับพวกระลึกชาติไม่ได้
พวกระลึกชาติไม่ได้ เขาไม่เชื่อเรื่อง ผีสาง โอปปาคิกะอยู่แล้ว
ดังนั้น คำว่าสัตว์ของพวกเขาหมายถึงคน กับดิรัจฉาน เท่านั้น
ส่วนพวกระลึกชาติได้ คำว่าสัตว์ ก็ต้องหมายถึงสัตว์โลกทั้งหมด
เว้นแต่ว่า ใครสักคนจะสามารถยืนยันได้ว่า เขาระลึกได้เฉพาะชาติที่เป็นสัตว์ผุดเกิด หรือชาติที่เกิดเป็นผี
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=6#%CD%D8%A8%E0%A9%B7%C7%D2%B7%D0
ในอุจเฉทวาทะ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า สโต ได้แก่ ยังมีอยู่.
บทว่า อุจฺเฉทํ ได้แก่ ความขาดสูญ.
บทว่า วินาสํ ได้แก่ ความไม่พบปะ.
บทว่า วิภวํ ได้แก่ ไปปราศจากภพ.
คำเหล่านี้ทั้งหมด เป็นไวพจน์ของกันและกันทั้งนั้น.
ในอุจเฉทวาทะนั้น มีคนที่ถืออุจเฉททิฏฐิอยู่ ๒ พวก คือผู้ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ๑ ผู้ไม่ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ๑. ผู้ที่ได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เมื่อระลึกตาม มีทิพยจักษุ เห็นจุติไม่เห็นอุบัติ.
อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใดสามารถเห็นเพียงจุติเท่านั้น ไม่เห็นอุบัติ ผู้นั้นชื่อว่ายึดถืออุจเฉททิฏฐิ.
ผู้ที่ไม่ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คิดว่า ใครเล่าจะรู้ปรโลก ย่อมยึดถือความขาดสูญ เพราะค่าที่ตนเป็นผู้ต้องการกามสุข หรือเพราะการนึกเอาเองเป็นต้นว่า สัตว์ทั้งหลายก็เหมือนกับใบไม้ที่หล่นจากต้นไม้ไม่งอกต่อไปฉะนั้น.
ก็ในอธิการนี้ พึงทราบว่า ทิฏฐิ ๗ เหล่านี้เกิดขึ้นด้วยอำนาจตัณหาและทิฏฐิ หรือเพราะกำหนดเอาอย่างนั้นและอย่างอื่น.
3 สรุป ก็คือ คำว่า สัตว์ ทั้งในฝ่าย สัมมาทิฐิ และฝ่ายมิจฉาทิฐิ หมายถึง สัตว์โลกทั้งหมดครับ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะสัตว์ผุดเกิด อย่างที่บางคนอ้าง
และยิ่งไม่เกี่ยวอะไรกับผีสางนางไม้เลย
ความเป็นมิจฉาทิฐิ เกิดจาก เขาเชื่อว่า สัตว์โลกตายแล้วไม่เกิด คือเชื่อว่าตายแล้วสูญ
เขาไม่ได้เป็นมิจฉาทิฐิเพราะไม่เชื่อเรื่องผีสาง ไม่ใช่ว่า เป็นมิจฉาทิฐิเพราะไม่เชื่อว่าโอปปาติกะมีจริงสักหน่อย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
1 สรุปว่า ตอนนี้ ท่านคันโตนา จะยึดข้อความจากฉบับแปลไทย เป็นข้อยุติ ใช่ไหมครับ ?
ถ้าเป็นอย่างนี้ ท่านก็อย่าไปว่า พวกร้อยห้าสิบนะครับ เพราะที่จริงแล้ว ทำแบบเดียวกัน น่ะครับ
ผมไม่มีความรู้บาลีครับ ผมจึงยึดตามฉบับแปลไทย
และผมก็ไม่เคยเห็นแปลไทยฉบับไหน บอกว่า โอปปาติกะสัตว์ เป็นหมูหมา แมว ไก่ ปลา มนุษย์ธรรมดาเลย
ถ้าคุณสุมาอี้ เก่งบาลี ก็แสดงวุฒิมา
หรือถ้าไม่เก่งบาลี ก็แสดงคำแปลไทย ของใครก็ได้ ของเหล่าซือยังได้ ว่า โอปปาติกะคืออะไร
อย่างน้อยก็มีหลักฐานมาแย้ง
แต่ถ้าจิ้นเอา เสียเวลาครับ
2 เรื่องที่น่าแปลกก็คือ หากท่านอ้างว่ายึดตามคำแปลฉบับแปลไทย ว่า สัมมาทิฐิ เชื่อเรื่อง โอปปาติกะ และท่านก็ไม่กล้ายืนยัน
ว่าโอปปาติกะ แปลว่าผีหรือเปล่า ? ผมก็ต้องแปลกใจแล้วหละครับ ว่าท่านเดือดร้อนอะไร หากผมจะบอกว่า สัมมาทิฐิ ไม่ต้องเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ?
ผมเคยถามท่านว่า ผีเป็นโอปปาติกะประเภทหนึ่งหรือเปล่า จนบัดนี้ท่านยังไม่ยอมตอบผมเลย
บอกตามตรง ผมไม่แน่ใจการสรุปความของท่าน
อย่างคห 3-1 ท่านก็พริ้วให้ดูเสียแล้ว
เอาเป็ฯท่านสรุปให้ชัดๆว่า ผีเป็นโอปปาติกะประเภทหนึ่งหรือเปล่า มาก่อนดีกว่า
3 เห็นท่านชอบทวงหลักฐานเหลือเกิน ท่านอยากได้หลักฐานอะไรหรือครับ ?
ในกระทู้ก่อนหน้านี้ ผม ยังแสดงหลักฐานไม่มากพออีกหรือครับท่าน ?
เหรอออออออออออออออออออออออออออ
ถ้าเป็นอย่างนี้ ท่านก็อย่าไปว่า พวกร้อยห้าสิบนะครับ เพราะที่จริงแล้ว ทำแบบเดียวกัน น่ะครับ
ผมไม่มีความรู้บาลีครับ ผมจึงยึดตามฉบับแปลไทย
และผมก็ไม่เคยเห็นแปลไทยฉบับไหน บอกว่า โอปปาติกะสัตว์ เป็นหมูหมา แมว ไก่ ปลา มนุษย์ธรรมดาเลย
ถ้าคุณสุมาอี้ เก่งบาลี ก็แสดงวุฒิมา
หรือถ้าไม่เก่งบาลี ก็แสดงคำแปลไทย ของใครก็ได้ ของเหล่าซือยังได้ ว่า โอปปาติกะคืออะไร
อย่างน้อยก็มีหลักฐานมาแย้ง
แต่ถ้าจิ้นเอา เสียเวลาครับ
2 เรื่องที่น่าแปลกก็คือ หากท่านอ้างว่ายึดตามคำแปลฉบับแปลไทย ว่า สัมมาทิฐิ เชื่อเรื่อง โอปปาติกะ และท่านก็ไม่กล้ายืนยัน
ว่าโอปปาติกะ แปลว่าผีหรือเปล่า ? ผมก็ต้องแปลกใจแล้วหละครับ ว่าท่านเดือดร้อนอะไร หากผมจะบอกว่า สัมมาทิฐิ ไม่ต้องเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ?
ผมเคยถามท่านว่า ผีเป็นโอปปาติกะประเภทหนึ่งหรือเปล่า จนบัดนี้ท่านยังไม่ยอมตอบผมเลย
บอกตามตรง ผมไม่แน่ใจการสรุปความของท่าน
อย่างคห 3-1 ท่านก็พริ้วให้ดูเสียแล้ว
เอาเป็ฯท่านสรุปให้ชัดๆว่า ผีเป็นโอปปาติกะประเภทหนึ่งหรือเปล่า มาก่อนดีกว่า
3 เห็นท่านชอบทวงหลักฐานเหลือเกิน ท่านอยากได้หลักฐานอะไรหรือครับ ?
ในกระทู้ก่อนหน้านี้ ผม ยังแสดงหลักฐานไม่มากพออีกหรือครับท่าน ?
เหรอออออออออออออออออออออออออออ
ความคิดเห็นที่ 13
1+2
ไม่มีครับ
มีแต่ตรัสว่า
ดูกรสารีบุตร โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน? เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก นี้เราเรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด
กับ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/tipitaka_seek.php?text=%E2%C5%A1%CB%B9%E9%D2%C1%D5&book=1&bookZ=45
4 พระอรรถกถาจารย์ ท่านอธิบายว่า นตถิ(อตถิ) โอปปาติกา สตตา หมายถึง ความเชื่อเรื่อง สัตว์ตายแล้วเกิด กับสัตว์ตายแล้วสูญ
โดยคำว่า สัตว์ ในพระสูตรนี้ หมายถึง สัตว์โลกทั้งหมด ไม่ใช่แค่ สัตว์ผุดเกิด อย่างที่พวกท่าน จิ้น กันนะครับ
หลักฐานครับ
ตามที่ถามหามาตลอด
ถ้าจะจิ้นคุยกัน แนะนำไปห้องนวนิยายครับ
5 สรุปว่า ท่านคันโตนา จะตอบคำถามว่าไงครับ ?
การที่ผมบอกว่า สัมมาทิฐิในพระพุทธศาสนา ไม่เกี่ยวกับ ผีสางนางไม้
ท่านเห็นว่า คำพูดนี้ ผิดหรือถูก หละครับท่าน ?
ไม่รู้จะตอบว่าไงครับ เพราะท่านสุมาอี้ พริ้ว กับคำว่าผี ซะเหลือเกิน ถามทีนึงตอบแบบนึง พอไปตอบอีกคนตอบอีกแบบ
ผมยึดตามพระไตรปิฏกครับ ท่านว่า เชื่อว่าสัตว์เป็นโอปปาติกะมี ผมก็เชื่อตามนั้น
ส่วนโอปปาติกะคืออะไร ผมก็ยึดตามพระไตรกับอรรถกถาอีกนั่นล่ะครับ
ไม่มีครับ
มีแต่ตรัสว่า
ดูกรสารีบุตร โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน? เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก นี้เราเรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด
กับ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/tipitaka_seek.php?text=%E2%C5%A1%CB%B9%E9%D2%C1%D5&book=1&bookZ=45
4 พระอรรถกถาจารย์ ท่านอธิบายว่า นตถิ(อตถิ) โอปปาติกา สตตา หมายถึง ความเชื่อเรื่อง สัตว์ตายแล้วเกิด กับสัตว์ตายแล้วสูญ
โดยคำว่า สัตว์ ในพระสูตรนี้ หมายถึง สัตว์โลกทั้งหมด ไม่ใช่แค่ สัตว์ผุดเกิด อย่างที่พวกท่าน จิ้น กันนะครับ
หลักฐานครับ
ตามที่ถามหามาตลอด
ถ้าจะจิ้นคุยกัน แนะนำไปห้องนวนิยายครับ
5 สรุปว่า ท่านคันโตนา จะตอบคำถามว่าไงครับ ?
การที่ผมบอกว่า สัมมาทิฐิในพระพุทธศาสนา ไม่เกี่ยวกับ ผีสางนางไม้
ท่านเห็นว่า คำพูดนี้ ผิดหรือถูก หละครับท่าน ?
ไม่รู้จะตอบว่าไงครับ เพราะท่านสุมาอี้ พริ้ว กับคำว่าผี ซะเหลือเกิน ถามทีนึงตอบแบบนึง พอไปตอบอีกคนตอบอีกแบบ
ผมยึดตามพระไตรปิฏกครับ ท่านว่า เชื่อว่าสัตว์เป็นโอปปาติกะมี ผมก็เชื่อตามนั้น
ส่วนโอปปาติกะคืออะไร ผมก็ยึดตามพระไตรกับอรรถกถาอีกนั่นล่ะครับ
ความคิดเห็นที่ 10
เห็นรูปแบบ การตั้งกระทู้และตอบคำถาม ของคุณสุมาอี้ 58 ช่างเหมือนกับ จ้าวนครเมฆขาว เลย
สาวกเดียรถีย์เงื่อมพวกนี้ ที่ไม่เชื่อว่า สัตว์ที่เป็น โอปปาติกะ มีจริง คงพยายามจะบิดเบือนพระไตรปิฏก เหมือน เรื่อง พระอาคามี ที่ไปเกิดในพรหมโลก
สาวกเดียรถีย์พวกนี้ ไม่เชื่อว่า โอปปาติกะ ที่ผุดเกิดขึ้นและโตทันที มีจริง มีแต่ผุดทางใจ ที่นี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการตายเข้าโลง
อนาคามี ไปเกิดในพรหมโลก เป็นความเฟ้อ ของอรรถกถาจารย์(หรือใคร?) โดย จ้าวนครเมฆขาว
http://ppantip.com/topic/32642307
สาวกเดียรถีย์เงื่อมพวกนี้ ที่ไม่เชื่อว่า สัตว์ที่เป็น โอปปาติกะ มีจริง คงพยายามจะบิดเบือนพระไตรปิฏก เหมือน เรื่อง พระอาคามี ที่ไปเกิดในพรหมโลก
สาวกเดียรถีย์พวกนี้ ไม่เชื่อว่า โอปปาติกะ ที่ผุดเกิดขึ้นและโตทันที มีจริง มีแต่ผุดทางใจ ที่นี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการตายเข้าโลง
อนาคามี ไปเกิดในพรหมโลก เป็นความเฟ้อ ของอรรถกถาจารย์(หรือใคร?) โดย จ้าวนครเมฆขาว
http://ppantip.com/topic/32642307
แสดงความคิดเห็น
ท่านคันโตนา เชื่อเรื่องผีๆสางๆ เหมือนกับท่านเหลิม หรือเปล่าครับ ?
พอทำบ่อยเข้าๆ ผมรำคาญมาก เพราะขอร้องก็ไม่เชื่อ ห้ามก็ไม่ฟัง ผมก็เลยตัดสินใจตอบโต้บ้าง ว่า สิ่งที่ท่านเหลิมพูด
เป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่าสัมมาทิฐิต้องเชื่อเรื่องผีๆสางๆ สักหน่อย
ต่อมา ท่านคันโตนา ก็เข้ามาตอบโต้ แก้ต่างแทนท่านเหลิม โดยตั้งกระทู้ชื่อ ตอบข้อข้องใจ คุณสุมาอี้
http://ppantip.com/topic/33588694
คือข้อเท็จจริงที่ว่า ท่านคันโตนา เชื่อเรื่องผีๆสางๆ อันนี้ผมทราบครับ (จากกรณีผีม้าลาย)
แต่ที่ผมสงสัย และถามท่านก็คือ ท่านคันโตนา เชื่อเหมือนท่านเหลิมหรือไม่ ว่าสัมมาทิฐิต้องเชื่อเรื่องผีๆสางๆ ?
ปรากฏว่า ถามเท่าไรๆ ท่านก็บ่ายเบี่ยง ไม่ยอมตอบคำถามนี้ อันนี้ ผมแปลกใจมากนะครับ
1 ถ้าท่านคันโตนา เชื่อแบบเดียวกับท่านเหลิม อันนี้พอเข้าใจได้ คือท่านก็พยายามตอบโต้เพื่อปกป้องทิฐิของท่านเองนั่นแหละ
แต่คำถามก็คือ กระทู้นั้น จะไม่ใช่กระทู้ไกล่เกลี่ย และท่านคันโตนาจะมาตัดสินผิดถูกอะไรไม่ได้ เนื่องจากท่านมีอคติ ไม่เป็นกลาง
2 แต่ถ้าท่านคันโตนา ไม่เชื่อเหมือนท่านเหลิม คำถามก็คือ แล้วท่านจะมาปกป้องท่านเหลิม ทำไม ?
เพราะเรื่องนี้ มันมีสองหน้า ไม่ผิด ก็ถูก เชื่อ หรือไม่เชื่อ สัมมาทิฐิ หรือมิจฉาทิฐิ เท่านั้น
คือถ้าท่านไม่เชื่อแบบท่านเหลิม ก็ต้องหมายความว่า ท่านเห็นว่าท่านเหลิมเป็นมิจฉาทิฐิ แล้วท่านจะไปปกป้องเขาทำไม ?
แต่ถ้าท่านเชื่อแบบเดียวกับท่านเหลิม ก็แปลว่าท่านเห็นว่าท่านเหลิมถูกต้อง เป็นสัมมาทิฐิ ท่านก็จะเป็นคู่ขัดแย้งกับผมโดยตรงนะครับ
แต่ทำไมท่านคันโตนา ไม่กล้าตอบคำถามนี้ให้ชัดเจนหละครับ
ผมแปลกใจ และไม่เข้าใจ นะครับ เพราะถ้าท่านยังไม่รู้ว่าตนเองเชื่ออย่างไร ?
แล้วท่านจะแยกแยะได้ไงครับ ว่าอะไรถูกอะไรผิด ?
แล้วท่านจะมาโต้แย้งกับผม ด้วยเรื่องอะไร ด้วยเหตุผลอะไรหละครับ ?
กรุณาชี้แจงด้วยครับท่าน