ท่านเหลิม มักกล่าวตู่พระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำว่า สัมมาทิฐิต้องเชื่อเรื่องผีสาง ตามความเห็นผิดของเขาเอง
และเมื่อถามว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนอย่างนั้นจริงๆเหรอ ? ท่านเหลิม ก็จะยกมหาจัตตารีสกสูตรมาอ้าง
แต่เอาเข้าจริง ผมก็ไม่เห็นว่า พระพุทธเจ้าจะตรัสไว้ตรงไหนเลยว่า สัมมาทิฐิ ต้องเชื่อเรื่องผีสาง ตามที่ท่านอ้าง นะครับ
http://m.ppantip.com/topic/33540959?
ความคิดเห็นที่ 4
มหาจัตตารีสกสูตร ที่ ๗
(บางส่วน)
[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชา
แล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว
มีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ บรรทัดที่ ๓๗๒๔ - ๓๙๒๓. หน้าที่ ๑๕๘ - ๑๖๖.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=3724&Z=3923&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=252
-----------------------------------------------------
http://dictionary.sanook.com/search/dict-th-th-royal-institute/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B0
[อุปะปาติกะ อุบปะปาติกะ] น. ผู้เกิดผุดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ อาศัยอดีตกรรม ได้แก่เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โอปปาติกะ ก็เรียก. (ป. อุปปาติก โอปปาติก).
++++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็นที่ 2-1
ผมเคยถามท่านมาตั้งนานแล้วว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ผี = โอปปาติกะ เอาไว้ในพระสูตรไหน ?
แต่ท่านก็ไม่เคยตอบ อธิบาย หรือ ยกหลักฐานพระสูตร มาแสดงเลย ท่านเหลิม ใช้วิธี เงียบหายไปเฉยๆ
แล้วท่านก็มาอ้างแบบเนียนๆ อีกแล้วในทำนองว่า โอปปาติกะ คือ ผี ตามความเชื่อของท่าน
ถ้านี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง ผมขอดูหลักฐานอ้างอิงด้วยครับท่าน
ผี ก็คือ โอปปาติกะ ประเภทหนึ่ง อาจเป็น เปรต อสุรกาย ก็ได้ เช่น ผีเปรต เป็นต้น
เฉลิมศักดิ์1
21 เมษายน 2558 เวลา 15:11:35 น.
ประเด็นปัญหาก็คือ ท่านเหลิมอ้างไม่ถูกต้อง และกำลังบิดเบือนความหมายพระธรรมวินัย อยู่ ครับท่าน
เพราะเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมศึกษารายละเอียดอยู่หลายเดือนแล้ว เนื่องจาก เมื่อเข้ามาครั้งแรก แล้วบอกว่า
ผมไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ก็ถูกจับตัวมาปรับทัศนคติทันทีว่า เป็นมิจฉาทิฐิ ซึ่ง ในตอนนั้น มีท่านคันโตนา
เพียงท่านเดียว ที่ยืนยันกับผมว่า ความเชื่อเรื่องผีสาง ไม่เกี่ยวกับสัมมาทิฐิในพระพุทธศาสนา น่ะครับ
ทีนี้ มาดูรายละเอียดเกี่ยวกับ พระสูตรกันครับ
ข้อความจากพระสูตร ที่ตรัสว่า "สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี" ก็เพื่อปฏิเสธ พวก มิจฉาทิฐิ เรื่องนี้ พระอรรถกถาจารย์ ท่านอธิบายว่า
ด้วยบทว่า นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา ครูอชิตเกสกัมพลกล่าวว่า ชื่อว่าสัตว์ที่จุติแล้วอุบัติ ไม่มี.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=09.0&i=91&p=3
คือ ศาสดาอชิตเกสกัมพล เขาสอนว่า นตฺถิ สัตตา โอปปาติกา หมายความว่า เมื่อสัตว์ตาย(จุติ) แล้วไม่เกิด(อุบัติ)อีก
ก็คือ เขาจะบอกว่า สัตว์ตายแล้วสูญนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสปฏิเสธอุจเฉททิฐินี้ว่า อตถิ สตตา โอปปาติกา
ความหมายจริงๆ ก็คือ สัตว์ตายแล้วย่อมเกิดอีก(หากยังมีตัณหาอุปาทานอยู่) ข้อความจากพระสูตรนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง
เทวดามารพรหม ฯลฯ อะไรเลยครับท่าน และยิ่งไม่เกี่ยวกับ ผีสางนางไม้ ตามความเชื่อของท่านเหลิม เลยนะครับ
กรุณาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก สามัญญผลสูตร ด้วย ครับท่าน ไม่ใช่อ่านแค่ มหาจัตตารีสกสูตร แล้วก็ จิ้น เอาเองแบบนั้น
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=9&A=1072&w=%CA%D2%C1%D1%AD%AD%BC%C5%CA%D9%B5%C3
ที่จริงแล้ว ผมก็ถามกับท่านเหลิมแล้ว อธิบายโต้แย้งไปแล้ว แต่ท่านเหลิมก็เงียบหายไปเฉยๆ
แต่สักพักเดียว ท่านเหลิมก็จะเข้ามาฝลัดกระทู้ของผมด้วยข้อความเดิมๆ อีก ว่าถ้าไม่เชื่อเรื่องผี จะเป็นมิจฉาทิฐิ
และ โอปปาติกะ = ผี ซึ่งเป็นการกล่าวเท็จ เป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า เป็นการบิดเบือนพระธรรมวินัย
สำหรับท่านที่รณรงค์ให้ฟังคำสาวก ผมขอถามว่า เหตุใด ท่านจึงไม่อ่านคำอธิบายของอรรถกถาจารย์ก่อนพูดแสดงความคิดเห็นหละครับ ?
สำหรับท่านที่เป็นชาวพุทธ ผมขอถามว่า เหตุใดท่านจึงปล่อยให้ความเชื่องมงายในศาสนาผี เข้ามาปะปนในพระธรรมวินัยแบบนี้ครับ ?
สำหรับท่านที่ปกป้องพระธรรมวินัย เหตุใดท่านจึงละเลยให้มีการบิดเบือนพระธรรมคำสอนแบบนี้ หรือเพียงเพราะมันก็ตรงกับทิฐิของท่าน เช่นกัน ?
ตกลงแล้ว เรานับถือศาสนาพุทธ หรือศาสนาผี กันแน่ครับท่าน ?
โอปปาติกะ = ผี ; ความเชื่อแบบนี้ไม่ใช่พุทธแล้วหละครับ แต่เป็นศาสนาผี
และเมื่อถามว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนอย่างนั้นจริงๆเหรอ ? ท่านเหลิม ก็จะยกมหาจัตตารีสกสูตรมาอ้าง
แต่เอาเข้าจริง ผมก็ไม่เห็นว่า พระพุทธเจ้าจะตรัสไว้ตรงไหนเลยว่า สัมมาทิฐิ ต้องเชื่อเรื่องผีสาง ตามที่ท่านอ้าง นะครับ
http://m.ppantip.com/topic/33540959?
ความคิดเห็นที่ 4
มหาจัตตารีสกสูตร ที่ ๗
(บางส่วน)
[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชา
แล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว
มีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ บรรทัดที่ ๓๗๒๔ - ๓๙๒๓. หน้าที่ ๑๕๘ - ๑๖๖.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=3724&Z=3923&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=252
-----------------------------------------------------
http://dictionary.sanook.com/search/dict-th-th-royal-institute/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B0
[อุปะปาติกะ อุบปะปาติกะ] น. ผู้เกิดผุดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ อาศัยอดีตกรรม ได้แก่เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โอปปาติกะ ก็เรียก. (ป. อุปปาติก โอปปาติก).
++++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็นที่ 2-1
ผมเคยถามท่านมาตั้งนานแล้วว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ผี = โอปปาติกะ เอาไว้ในพระสูตรไหน ?
แต่ท่านก็ไม่เคยตอบ อธิบาย หรือ ยกหลักฐานพระสูตร มาแสดงเลย ท่านเหลิม ใช้วิธี เงียบหายไปเฉยๆ
แล้วท่านก็มาอ้างแบบเนียนๆ อีกแล้วในทำนองว่า โอปปาติกะ คือ ผี ตามความเชื่อของท่าน
ถ้านี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง ผมขอดูหลักฐานอ้างอิงด้วยครับท่าน
ผี ก็คือ โอปปาติกะ ประเภทหนึ่ง อาจเป็น เปรต อสุรกาย ก็ได้ เช่น ผีเปรต เป็นต้น
เฉลิมศักดิ์1
21 เมษายน 2558 เวลา 15:11:35 น.
ประเด็นปัญหาก็คือ ท่านเหลิมอ้างไม่ถูกต้อง และกำลังบิดเบือนความหมายพระธรรมวินัย อยู่ ครับท่าน
เพราะเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมศึกษารายละเอียดอยู่หลายเดือนแล้ว เนื่องจาก เมื่อเข้ามาครั้งแรก แล้วบอกว่า
ผมไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ก็ถูกจับตัวมาปรับทัศนคติทันทีว่า เป็นมิจฉาทิฐิ ซึ่ง ในตอนนั้น มีท่านคันโตนา
เพียงท่านเดียว ที่ยืนยันกับผมว่า ความเชื่อเรื่องผีสาง ไม่เกี่ยวกับสัมมาทิฐิในพระพุทธศาสนา น่ะครับ
ทีนี้ มาดูรายละเอียดเกี่ยวกับ พระสูตรกันครับ
ข้อความจากพระสูตร ที่ตรัสว่า "สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี" ก็เพื่อปฏิเสธ พวก มิจฉาทิฐิ เรื่องนี้ พระอรรถกถาจารย์ ท่านอธิบายว่า
ด้วยบทว่า นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา ครูอชิตเกสกัมพลกล่าวว่า ชื่อว่าสัตว์ที่จุติแล้วอุบัติ ไม่มี.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=09.0&i=91&p=3
คือ ศาสดาอชิตเกสกัมพล เขาสอนว่า นตฺถิ สัตตา โอปปาติกา หมายความว่า เมื่อสัตว์ตาย(จุติ) แล้วไม่เกิด(อุบัติ)อีก
ก็คือ เขาจะบอกว่า สัตว์ตายแล้วสูญนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสปฏิเสธอุจเฉททิฐินี้ว่า อตถิ สตตา โอปปาติกา
ความหมายจริงๆ ก็คือ สัตว์ตายแล้วย่อมเกิดอีก(หากยังมีตัณหาอุปาทานอยู่) ข้อความจากพระสูตรนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง
เทวดามารพรหม ฯลฯ อะไรเลยครับท่าน และยิ่งไม่เกี่ยวกับ ผีสางนางไม้ ตามความเชื่อของท่านเหลิม เลยนะครับ
กรุณาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก สามัญญผลสูตร ด้วย ครับท่าน ไม่ใช่อ่านแค่ มหาจัตตารีสกสูตร แล้วก็ จิ้น เอาเองแบบนั้น
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=9&A=1072&w=%CA%D2%C1%D1%AD%AD%BC%C5%CA%D9%B5%C3
ที่จริงแล้ว ผมก็ถามกับท่านเหลิมแล้ว อธิบายโต้แย้งไปแล้ว แต่ท่านเหลิมก็เงียบหายไปเฉยๆ
แต่สักพักเดียว ท่านเหลิมก็จะเข้ามาฝลัดกระทู้ของผมด้วยข้อความเดิมๆ อีก ว่าถ้าไม่เชื่อเรื่องผี จะเป็นมิจฉาทิฐิ
และ โอปปาติกะ = ผี ซึ่งเป็นการกล่าวเท็จ เป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า เป็นการบิดเบือนพระธรรมวินัย
สำหรับท่านที่รณรงค์ให้ฟังคำสาวก ผมขอถามว่า เหตุใด ท่านจึงไม่อ่านคำอธิบายของอรรถกถาจารย์ก่อนพูดแสดงความคิดเห็นหละครับ ?
สำหรับท่านที่เป็นชาวพุทธ ผมขอถามว่า เหตุใดท่านจึงปล่อยให้ความเชื่องมงายในศาสนาผี เข้ามาปะปนในพระธรรมวินัยแบบนี้ครับ ?
สำหรับท่านที่ปกป้องพระธรรมวินัย เหตุใดท่านจึงละเลยให้มีการบิดเบือนพระธรรมคำสอนแบบนี้ หรือเพียงเพราะมันก็ตรงกับทิฐิของท่าน เช่นกัน ?
ตกลงแล้ว เรานับถือศาสนาพุทธ หรือศาสนาผี กันแน่ครับท่าน ?