อยากทราบว่า เอาตามอรรถกถาธิบาย เลยได้ไหม
ประเด็นแรก คือ ไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องการ ที่พระพุทธเจ้าตรัสที่ว่า การแผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไปตลอดทิศทั้ง ๔ หรือธรรมของการได้ความเป็นพรหมนั่นเอง ทีนี้คำว่า ตั้งเมตตาจิต.. นั้น คือการต้องได้ ถึงระดับ ฌาน ๔ เลยใช่ไหม ถ้าเป็นแบบนี้ การที่มีการแผ่เมตตา โดยกำหนดจิต ต้องการที่จะให้เขาพ้นทุกข์ รวมทั้ง ๔ ข้อเลย แต่ตั้งจิตไว้เหมือนกันหมด โดยที่ไม่ได้สมาธิถึง ฌาน ๔ เลย ก็คงไม่เกิดผลตามนั้นใช่ไหม
ประเด็นต่อมา คือ ความหนักเบาในอานิสงส์ ของการถวายทาน แต่สุดท้ายพระองค์ก็ตรัส มุ่งไปที่ การเจริญอนิจจสัญญา แม้เพียงลัดนิ้วมือ ตรงนี้กล่าวตามอรรถก็คือ การได้ถึง ฌาน ๔ เช่นกัน แต่ต่อยอดไปเป็น เจริญ วิปัสสนาแทน แล้วแบบนี้ มันจะเป็นบุญใหญ่ อานิสงส์ใหญ่ ได้อย่างไร เพราะเพียงแค่นิดเดียวเอง ถ้าหากไม่ได้ฌาน ๔
คำตรัสสูตรนี้ หากผู้ไม่ได้อ่าน ศึกษามากๆ ก็คงจะคิดว่าไม่สมน้ำสมเนื้อกันเลย ถ้าเทียบกับการให้ทาน อย่างข้างต้นๆ มาเป็นลำดับ และก็คงไม่อยากทำทาน รักษาศีล ถึงพระรัตนตรัยไปเลย
ฟังความเห็นผมก่อนนะครับ ว่าพอฟังได้ไหม
คือ เข้าใจว่าพื้นฐานของพุทธศาสนา หรือ จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า นั้นมุ่งไปที่การหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ทีนี้การที่ต้องมีการ ให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ เมื่อไปถึงทีสุดแล้ว ทุกอย่างก็ต้องทิ้งไป ไม่มีอะไรต้องเอาทั้งนั้น พระองค์จึงได้มุ่งเน้นไปที่ตัวการทำลายตัวตนที่แท้จริง ที่ยังหลงว่ามีตัวตน คือให้เห็นว่า มันเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ แต่หากว่าทำมาได้ถึงขั้นสุดท้าย ก็หมายความว่าข้างต้นๆ นั้นคุณก็ไม่บกพร่องแล้ว เช่นกัน ประมาณนี้ครับ
อ้างอิง พระสูตรนี้
http://etipitaka.com/read?keywords=%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD&language=thai&number=317&volume=23#
๒ ประเด็นนี้ พอจะอธิบายได้ไหมครับ เรื่องทาน แต่กลับก้าวกระโดดไปสูงเลย
ประเด็นแรก คือ ไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องการ ที่พระพุทธเจ้าตรัสที่ว่า การแผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไปตลอดทิศทั้ง ๔ หรือธรรมของการได้ความเป็นพรหมนั่นเอง ทีนี้คำว่า ตั้งเมตตาจิต.. นั้น คือการต้องได้ ถึงระดับ ฌาน ๔ เลยใช่ไหม ถ้าเป็นแบบนี้ การที่มีการแผ่เมตตา โดยกำหนดจิต ต้องการที่จะให้เขาพ้นทุกข์ รวมทั้ง ๔ ข้อเลย แต่ตั้งจิตไว้เหมือนกันหมด โดยที่ไม่ได้สมาธิถึง ฌาน ๔ เลย ก็คงไม่เกิดผลตามนั้นใช่ไหม
ประเด็นต่อมา คือ ความหนักเบาในอานิสงส์ ของการถวายทาน แต่สุดท้ายพระองค์ก็ตรัส มุ่งไปที่ การเจริญอนิจจสัญญา แม้เพียงลัดนิ้วมือ ตรงนี้กล่าวตามอรรถก็คือ การได้ถึง ฌาน ๔ เช่นกัน แต่ต่อยอดไปเป็น เจริญ วิปัสสนาแทน แล้วแบบนี้ มันจะเป็นบุญใหญ่ อานิสงส์ใหญ่ ได้อย่างไร เพราะเพียงแค่นิดเดียวเอง ถ้าหากไม่ได้ฌาน ๔
คำตรัสสูตรนี้ หากผู้ไม่ได้อ่าน ศึกษามากๆ ก็คงจะคิดว่าไม่สมน้ำสมเนื้อกันเลย ถ้าเทียบกับการให้ทาน อย่างข้างต้นๆ มาเป็นลำดับ และก็คงไม่อยากทำทาน รักษาศีล ถึงพระรัตนตรัยไปเลย
ฟังความเห็นผมก่อนนะครับ ว่าพอฟังได้ไหม
คือ เข้าใจว่าพื้นฐานของพุทธศาสนา หรือ จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า นั้นมุ่งไปที่การหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ทีนี้การที่ต้องมีการ ให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ เมื่อไปถึงทีสุดแล้ว ทุกอย่างก็ต้องทิ้งไป ไม่มีอะไรต้องเอาทั้งนั้น พระองค์จึงได้มุ่งเน้นไปที่ตัวการทำลายตัวตนที่แท้จริง ที่ยังหลงว่ามีตัวตน คือให้เห็นว่า มันเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ แต่หากว่าทำมาได้ถึงขั้นสุดท้าย ก็หมายความว่าข้างต้นๆ นั้นคุณก็ไม่บกพร่องแล้ว เช่นกัน ประมาณนี้ครับ
อ้างอิง พระสูตรนี้
http://etipitaka.com/read?keywords=%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD&language=thai&number=317&volume=23#