สืบเนื่องจากระทู้ มาตรฐาน ไทย-สิงคโปร
http://ppantip.com/topic/33442046/comment16
เมื่อถามว่า บ้านเรา มาตรฐานระดับไหน ???
เพราะ นักลงทุน ก็จะใช้มาตรฐาน หรือ บรรทัดฐานนั่น ในเกมการแข่งขันเชิงธุรกิจ
และเพื่อความอยู่รอด ก็อาจจะต้องอิงแอบ อำนาจการเมือง
นี่คือ Thailand Standard
เมื่อยก มาตรฐานการบริหารจัดการ ของไทย และ ของสิงคโปร มาเปรียบเทียบกัน ทำให้ผู้เขียนเข้าใจถ่องแท้ ถึง คำว่า เอกชน แซงหน้า ราชการ ที่เคยได้ยินได้ฟังในวงการสื่อมวลชน
วานนี้ ได้กล่าว ถึง แรงจูงใจ ให้เกิดประสิทธิภาพการทำงาน ในระดับมาตรฐาน สิงคโปร และคงจะทำให้เห็นภาพได้ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น หากหยิบยก ตัวอย่าง ที่พิสูจน์ จับต้องได้
ประมาณ 3 ปี ก่อน ได้มีธุรกิจขายปลีกท้องถิ่น รายใหญ่ ที่สามารถขึ้นมาทาบรัศมี เซเว่น แฟมมิลี่มาร์ท โลตัสเอกเพรส ชื่อว่า "ซูปเปอร์ชีป" หรือ ชูปเปอร์ถูก
จากการก้าวมาจาก โมเดิร์นเทรด หลังคาสังกะสี มีสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่ สากกะเบือยันเรือรบ เป็นคู่แข่งสำคัญ ของ บิ๊กซี โลตัส
อาศัยจุดแข็งคือ ต้นทุนที่ต่ำกว่า ขายได้ถูกกว่า ทำให้ขยายกิจการเป็นห้างใหญ่ ที่มีทั้งเนื้อที่ และ ปริมาณสินค้า ยิ่งกว่า คู่แข่งรายไหนๆ จนเป็นที่สนใจ ของนายทุนระดับชาติ
แล้วโอกาสต่อยอดธุรกิจ ก็มาถึง เมื่อ ทุนสิงคโปร เข้ามาถือหุ้น ร่วมทุนขยายกิจการเปิดร้านค้าปลีก แข่งกับ เซเว่น และ โลตัสเอ็กเพรส
เพียงปี แรก "ซูปเปอร์ชีป ซูปเปอร์ถูก" ได้ ดูดทรัพยากร ที่เป็น พนักงานขาย ผู้จัดการร้าน ของทั้ง เซเว่นและ แฟมมิลิมาร์ท มาอยู่ในสังกัด และแผ่ขยายสาขาไปทั่วพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
อะไรคือแรงจูงใจ ให้ พนักงานหลั่งไหล ไปสู่ ซูปเปอร์ชีพ หากไม่ใช่ "รายได้"
ไม่ใช่เป็นเพียง รายได้ ที่มากกว่า แต่ยังเป็น รายได้ ที่สร้าง "แรงจูงใจ" ให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อเป้าหมาย คือ "ผลกำไร" ขององค์กร
แรงจูงใจที่ว่า คือ รายได้ ที่เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน รายได้ของแต่ละ สาขา
เมื่อ ฝ่ายบริหาร ได้วางระบบผลตอบแทนเป็นแรงจูงใจ
ที่เหลือ "ผู้จัดการร้าน ผู้จัดการสาขา และ พนักงานทุกคน ในร้าน จะร่วมมือ ทุ่มเทความพยายาม เพื่อให้ร้าน มีรายได้มากที่สุด เพื่อ พวกตนจะมีรายได้มากที่สุดเช่นกัน
สิ่งนี้ จะเป็น ตัวส่งเสริม ให้ ทรัพยากรบุคคล หรือ บุคคลากร โดยเฉพาะ ผู้จัดการร้าน จะพยายามสรรหากลยุทธ ทุกวิถีทาง เพื่อ เพิ่มรายได้ เพิ่มผลกำไรให้องค์กร
เปรียบ ผู้จัดการร้าน ดุจ ผู้จัดการกองทุนเทมาเส็ก หรือ ผู้จัดการกองทุน กรรมการบริหารบรรษัท ไม่ว่าสัญชาติไหนๆ ไม่เว้นแต่ สัญชาติไทย
ที่มีแรงจูงใจทางธุรกิจ แรงจูงใจทางผลตอบแทน ที่จะสร้างโอกาส เพื่อ หากำไรให้กับ กองทุน บรรษัท หรือ องค์กรธุรกิจ ของพวกตน
เขาก็จะทุ่มเทพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อจะแข่งขัน ยื้อแย่ง ส่วนแบ่งการตลาด
เมื่อย้อนดู บรรทัดฐาน สังคมไทย ที่ยอมรับ การเอารัดเอาเปรียบ หรือ การอิงแอบอำนาจการเมืองเพื่อโอกาสสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
เมื่อ มาตรฐาน หรือ บรรทัดฐาน หรือ Thailand Standard เป็นอย่างนี้ จะให้เล่นกันเช่นไร
ถ้าคุณ คือ ผู้จัดการ
ถ้าคุณ คือ ธุรกิจที่ต้องรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด
ถ้าคุณ คือ ธุรกิจที่ต้องมี ที่ยืน หรือ บทบาท ทางธุรกิจ
ถ้าเอา International standard มาตรฐานสากล ลงมาสู่ Thailand standard คง แพ้ขาดกระจุย
เพราะ พี่ไทย มักจะใช้ทุกช่องโหว่งทางกฏหมาย นโยบาย และ อำนาจการเมือง เพื่อสร้างความได้เปรียบ
ปฏิเสธไม่ได้ ว่านี่คือ Thailand Standard
ไม่เชื่อ ก็ลองกลับมาดู "ซูปเปอร์ถูก"
กลยุทธต่างๆนานา ที่ บรรดา ผู้จัดการร้าน งัดมาใช่ นอกจากการลดต้นทุนสินค้าด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ ที่ขอเว้นไว้ไม่กล่าวในที่นี้
กลยุทธ ที่ใช้กันหลายสาขา คือ ป้ายราคา แม้ว่าจะมี ทรัพยากรบุคคล มากกว่า โลตัสเอกเพลส หรือ เซเว่นอิเลเว่น
ในช่วงแรกๆ อาจจะพบว่า ราคาที่เค้าท์เตอร์ ไม่ตรงกับ ราคาที่ประกาสบนเชลล์ หรือ ชั้นวางสินค้า
เชื่อเถอะว่า 99% ของผู้ซื้อ จะไม่ฝ่าแถวลูกค้า ที่ยืนแน่นหน้าเค้าท์เตอร์ เพื่อไปเปลี่ยน หรือ คืนสินค้า แม้ว่ามันจะแพงกว่า ราคาป้าย
หลายสาขา หลายชั้นวาง ผู้จัดการ ที่อาศัยความเชื่อมั่น ใน แบรนด์ "ซูปเปอร์ถูก" ว่ายังไง ก็ไม่แพงกว่า แม้ว่า ความเชื่อ กับ ความจริง จะไม่ตรงกัน สินค้าบางตัวอาจจะไม่ถูกกว่า
แต่หลายปีต่อมา หลายสาขา หลายชั้นวางกลับไม่มีป้ายราคาให้เห็น
นั่นหมายถึง ผู้จัดการร้าน เลือกที่จะ ลดมาตรฐานตัวเอง ให้เหมือน ร้านค้าที่ด้อยมาตรฐาน "ไม่แสดงความจริงใจ ด้วยการ แสดงป้ายราคา"
แต่ก็ต้องยอมรับว่า นั่นคือ บรรทัดฐาน หรือ มาตรฐาน สังคมไทย
แม้จะมีกฏหมาย ให้ ผู้ค้า แสดงป้ายราคา ก็ตาม
(อีกข้อพิสูจน์ว่า ค่านิยม อยู่เหนือ กฏหมาย)
และนี่คือ มาตรฐานบ้านเรา Thailand Standard
ที่ไม่ว่า ธุรกิจ หรือ ทุน สัญชาติไหน ถ้าเข้ามาแล้ว ก็ต้องรักษาความสามารถในการแข่งขัน
และคนที่เสียเปรียบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็คือ ประชาชน คนที่ยอมจำนน ต่อบรรทัดฐาน ที่ยังห่างไกล มาตรฐานสากล แล้วยังโทษแต่ ต่างชาติ
นี่คือ Thailand Standard
เมื่อถามว่า บ้านเรา มาตรฐานระดับไหน ???
เพราะ นักลงทุน ก็จะใช้มาตรฐาน หรือ บรรทัดฐานนั่น ในเกมการแข่งขันเชิงธุรกิจ
และเพื่อความอยู่รอด ก็อาจจะต้องอิงแอบ อำนาจการเมือง
นี่คือ Thailand Standard
เมื่อยก มาตรฐานการบริหารจัดการ ของไทย และ ของสิงคโปร มาเปรียบเทียบกัน ทำให้ผู้เขียนเข้าใจถ่องแท้ ถึง คำว่า เอกชน แซงหน้า ราชการ ที่เคยได้ยินได้ฟังในวงการสื่อมวลชน
วานนี้ ได้กล่าว ถึง แรงจูงใจ ให้เกิดประสิทธิภาพการทำงาน ในระดับมาตรฐาน สิงคโปร และคงจะทำให้เห็นภาพได้ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น หากหยิบยก ตัวอย่าง ที่พิสูจน์ จับต้องได้
ประมาณ 3 ปี ก่อน ได้มีธุรกิจขายปลีกท้องถิ่น รายใหญ่ ที่สามารถขึ้นมาทาบรัศมี เซเว่น แฟมมิลี่มาร์ท โลตัสเอกเพรส ชื่อว่า "ซูปเปอร์ชีป" หรือ ชูปเปอร์ถูก
จากการก้าวมาจาก โมเดิร์นเทรด หลังคาสังกะสี มีสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่ สากกะเบือยันเรือรบ เป็นคู่แข่งสำคัญ ของ บิ๊กซี โลตัส
อาศัยจุดแข็งคือ ต้นทุนที่ต่ำกว่า ขายได้ถูกกว่า ทำให้ขยายกิจการเป็นห้างใหญ่ ที่มีทั้งเนื้อที่ และ ปริมาณสินค้า ยิ่งกว่า คู่แข่งรายไหนๆ จนเป็นที่สนใจ ของนายทุนระดับชาติ
แล้วโอกาสต่อยอดธุรกิจ ก็มาถึง เมื่อ ทุนสิงคโปร เข้ามาถือหุ้น ร่วมทุนขยายกิจการเปิดร้านค้าปลีก แข่งกับ เซเว่น และ โลตัสเอ็กเพรส
เพียงปี แรก "ซูปเปอร์ชีป ซูปเปอร์ถูก" ได้ ดูดทรัพยากร ที่เป็น พนักงานขาย ผู้จัดการร้าน ของทั้ง เซเว่นและ แฟมมิลิมาร์ท มาอยู่ในสังกัด และแผ่ขยายสาขาไปทั่วพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
อะไรคือแรงจูงใจ ให้ พนักงานหลั่งไหล ไปสู่ ซูปเปอร์ชีพ หากไม่ใช่ "รายได้"
ไม่ใช่เป็นเพียง รายได้ ที่มากกว่า แต่ยังเป็น รายได้ ที่สร้าง "แรงจูงใจ" ให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อเป้าหมาย คือ "ผลกำไร" ขององค์กร
แรงจูงใจที่ว่า คือ รายได้ ที่เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน รายได้ของแต่ละ สาขา
เมื่อ ฝ่ายบริหาร ได้วางระบบผลตอบแทนเป็นแรงจูงใจ
ที่เหลือ "ผู้จัดการร้าน ผู้จัดการสาขา และ พนักงานทุกคน ในร้าน จะร่วมมือ ทุ่มเทความพยายาม เพื่อให้ร้าน มีรายได้มากที่สุด เพื่อ พวกตนจะมีรายได้มากที่สุดเช่นกัน
สิ่งนี้ จะเป็น ตัวส่งเสริม ให้ ทรัพยากรบุคคล หรือ บุคคลากร โดยเฉพาะ ผู้จัดการร้าน จะพยายามสรรหากลยุทธ ทุกวิถีทาง เพื่อ เพิ่มรายได้ เพิ่มผลกำไรให้องค์กร
เปรียบ ผู้จัดการร้าน ดุจ ผู้จัดการกองทุนเทมาเส็ก หรือ ผู้จัดการกองทุน กรรมการบริหารบรรษัท ไม่ว่าสัญชาติไหนๆ ไม่เว้นแต่ สัญชาติไทย
ที่มีแรงจูงใจทางธุรกิจ แรงจูงใจทางผลตอบแทน ที่จะสร้างโอกาส เพื่อ หากำไรให้กับ กองทุน บรรษัท หรือ องค์กรธุรกิจ ของพวกตน
เขาก็จะทุ่มเทพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อจะแข่งขัน ยื้อแย่ง ส่วนแบ่งการตลาด
เมื่อย้อนดู บรรทัดฐาน สังคมไทย ที่ยอมรับ การเอารัดเอาเปรียบ หรือ การอิงแอบอำนาจการเมืองเพื่อโอกาสสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
เมื่อ มาตรฐาน หรือ บรรทัดฐาน หรือ Thailand Standard เป็นอย่างนี้ จะให้เล่นกันเช่นไร
ถ้าคุณ คือ ผู้จัดการ
ถ้าคุณ คือ ธุรกิจที่ต้องรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด
ถ้าคุณ คือ ธุรกิจที่ต้องมี ที่ยืน หรือ บทบาท ทางธุรกิจ
ถ้าเอา International standard มาตรฐานสากล ลงมาสู่ Thailand standard คง แพ้ขาดกระจุย
เพราะ พี่ไทย มักจะใช้ทุกช่องโหว่งทางกฏหมาย นโยบาย และ อำนาจการเมือง เพื่อสร้างความได้เปรียบ
ปฏิเสธไม่ได้ ว่านี่คือ Thailand Standard
ไม่เชื่อ ก็ลองกลับมาดู "ซูปเปอร์ถูก"
กลยุทธต่างๆนานา ที่ บรรดา ผู้จัดการร้าน งัดมาใช่ นอกจากการลดต้นทุนสินค้าด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ ที่ขอเว้นไว้ไม่กล่าวในที่นี้
กลยุทธ ที่ใช้กันหลายสาขา คือ ป้ายราคา แม้ว่าจะมี ทรัพยากรบุคคล มากกว่า โลตัสเอกเพลส หรือ เซเว่นอิเลเว่น
ในช่วงแรกๆ อาจจะพบว่า ราคาที่เค้าท์เตอร์ ไม่ตรงกับ ราคาที่ประกาสบนเชลล์ หรือ ชั้นวางสินค้า
เชื่อเถอะว่า 99% ของผู้ซื้อ จะไม่ฝ่าแถวลูกค้า ที่ยืนแน่นหน้าเค้าท์เตอร์ เพื่อไปเปลี่ยน หรือ คืนสินค้า แม้ว่ามันจะแพงกว่า ราคาป้าย
หลายสาขา หลายชั้นวาง ผู้จัดการ ที่อาศัยความเชื่อมั่น ใน แบรนด์ "ซูปเปอร์ถูก" ว่ายังไง ก็ไม่แพงกว่า แม้ว่า ความเชื่อ กับ ความจริง จะไม่ตรงกัน สินค้าบางตัวอาจจะไม่ถูกกว่า
แต่หลายปีต่อมา หลายสาขา หลายชั้นวางกลับไม่มีป้ายราคาให้เห็น
นั่นหมายถึง ผู้จัดการร้าน เลือกที่จะ ลดมาตรฐานตัวเอง ให้เหมือน ร้านค้าที่ด้อยมาตรฐาน "ไม่แสดงความจริงใจ ด้วยการ แสดงป้ายราคา"
แต่ก็ต้องยอมรับว่า นั่นคือ บรรทัดฐาน หรือ มาตรฐาน สังคมไทย
แม้จะมีกฏหมาย ให้ ผู้ค้า แสดงป้ายราคา ก็ตาม
(อีกข้อพิสูจน์ว่า ค่านิยม อยู่เหนือ กฏหมาย)
และนี่คือ มาตรฐานบ้านเรา Thailand Standard
ที่ไม่ว่า ธุรกิจ หรือ ทุน สัญชาติไหน ถ้าเข้ามาแล้ว ก็ต้องรักษาความสามารถในการแข่งขัน
และคนที่เสียเปรียบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็คือ ประชาชน คนที่ยอมจำนน ต่อบรรทัดฐาน ที่ยังห่างไกล มาตรฐานสากล แล้วยังโทษแต่ ต่างชาติ