กรณีธรรมกายกับความล่มสลายของคณะสงฆ์ไทย โดย อ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก

กระทู้สนทนา

ที่มา: Tonmai Siri

ยาวหน่อย แต่ตอนนี้มันต้องอ่านแล้ว !!
===============================================
เสฐียรพงษ์ ด่าอลัชชี แฉพระผู้ใหญ่รับกว่าครึ่งล้าน เงื่อนงำอุ้มธัมมชโย
จากเพจ พุทธชยันตี BuddhaJayanti

>>ธรรมกายไม่ใช่พุทธ
ฝรั่งมาสัมภาษณ์ผม ผมบอกเลยว่าไม่ใช่พุทธศาสนา ในความหมายที่แท้จริงคือ โดยรูปแบบเขาเป็นพระในพุทธศาสนา และเป็นเถรวาทด้วย แต่จริงๆ เขาไม่ใช่พุทธ เพราะว่าเขาไม่แสดงคำสอนของพุทธศาสนา เพียงไปหยิบเอาคำสอนของพุทธศาสนาบางจุด เพื่อสร้างความร่ำรวย ความยิ่งใหญ่ให้แก่ตัว ถ้าเราถอยหลังมาพิจารณาสักนิด… เราจะเห็นว่าการสอน แม้แต่หลักบุญหลักทาน ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานที่สังคมไทยสอนกันมาตามหลักพุทธศาสนานี่ ก็สอน “ให้เพื่อการสงเคราะห์ ให้เพื่อช่วยเหลือสังคม” ใครมีก็ช่วยเหลือเจือจานคนอื่นตามกำลังสามารถ ไม่เคยมีคำสอนใดในสังคมไทยหรือในพุทธศาสนาที่สอนว่า “มีเท่าไรทุ่มให้หมด” ไอ้มีเท่าไรทุ่มให้หมดนี่นะฮะ ถึงกับสร้าง slogan ว่า “ขายบ้านขายรถ ทุ่มสุดฤทธิ์ ปิดเจดีย์” ไม่มีก็ให้ไปขอยืมเขามา ให้ทำมากๆ ท่านก็จะได้มากๆ หมายถึงว่าได้สิ่งตอบแทนกลับมา เช่นให้ไป 1000 บาท คุณจะได้รับตอบแทนกลับมา 3000 บาท 3 เท่าตัว… ไม่มีใครสอนอย่างนี้

ว่ากันจริงๆ นะ ถ้าถอยหลังมานั่งคิดสักนิด โอ้โห! นี่มันเป็นลัทธิขูดรีด “มึ_จะชิ_หายช่างมึ_ แต่ว่าต้องเอาเงินมาให้กูให้ได้ ให้กูได้ร่ำได้รวย” เอาเงินมาแล้วเอาไปทำอะไร สังคมก็เห็นอยู่แล้วว่าเงินทองเอาไปทำอีลุ่ยฉุยแฉก จ่ายให้สีกาคนละ 100 ล้าน 200 ล้าน เอาไปทำธุรกิจ ก็เห็นๆ กันอยู่ ทำไมคนถึงมองไม่เห็น ก็เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของผ้าเหลือง นี่ถ้าสมมติว่าเป็นคุณ นุ่งกางเกง ถ้าคุณทำอย่างนั้นคุณก็โดนถีบ โดนกระทืบตายแล้วใช่ไหม อันนี้เห็นได้ชัดๆ ไม่ใช่พุทธศาสนา คือเราเกรงใจ พูดกันแบบเกรงใจ ผมไม่เกรงใจหรอกแบบนี้…

>>พวกนี้สำคัญผิดหรือเจตนาฉ้อฉล
เจตนาฉ้อฉลๆ หมายถึงรู้มาตั้งแต่ต้น รู้ รู้มาตั้งแต่ต้น ตั้งใจมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ถ้าให้ความเป็นธรรมสักเล็กน้อย หลวงพ่อสดนี่ ท่านอาจจะเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ ก็ได้ ว่าพระนิพพานของท่านเป็นอย่างนั้น ท่านนั่งเห็นนิมิต ท่านเห็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ได้ เพราะสมถะนั้นสามารถที่จะทำให้เกิด delusion เกิดความเข้าใจผิดได้ จินตนาการไปได้ เพราะนิมิตที่เห็นนั้น แต่ทีนี้หลวงพ่อสดไม่เอาเรื่องนี้มาเป็นเครื่องมือหากินนะจะบอกให้ หลวงพ่อสดท่านปฏิบัติผิด ท่านก็เข้าใจผิดว่านิมิตนั้นเป็นจุดสุดท้ายเป็นจุดสำเร็จ
และถ้าดูประวัติของหลวงพ่อสดตั้งแต่ต้น หลังจากนั้นหลวงพ่อสดมาปฏิบัติวิปัสสนากับอาจารย์ใหญ่วิปัสสนาธุระที่วัดมหาธาตุ (ท่านเจ้าคุณโชดก) ได้มอบรูปให้สำนักนั้น เขียนบอกยอมรับว่าวิธีปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ตามที่สอนในสำนักวัดมหาธาตุนั้นถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา (มีหลักฐานรูปถ่ายหลวงพ่อสด พร้อมลายมือชื่อ https://www.gotoknow.org/posts/151042) ก็เขาเล่าลือกันมาตั้งนานแล้ว เขาไม่กล้าพูดกลัวจะเป็นการ bluff กัน ถ้าสมมติเป็นจริงดังนั้นตามหลักฐานที่มีให้เห็นและตามที่เล่าๆ กันมา ผู้ที่เล่าให้ฟังก็มีชีวิตอยู่ แสดงว่าหลวงพ่อสดท่านไปไหนต่อไหนแล้ว หมายความว่าท่านเคยติดตันอยู่ แล้วท่านก็ทะลุกำแพงไปได้ ไปถึงไหนนี่เราไม่ทราบ แต่ว่าลูกศิษย์ลูกหาเอามรดกที่ท่านทิ้งไว้มาหากิน

>>พระวัดธรรมกายพอรู้ความลับ ล้วนต้องหนีตายออกมากันทั้งนั้น!!
ถ้าสังเกตจะเห็นว่าธรรมกายมี 2 กรุ๊ป กรุ๊ปหนึ่งคลองสาม กรุ๊ปหนึ่งดำเนินสะดวก ดำเนินสะดวกกับคลองสามนี่เป็นลูกศิษย์รุ่นเดียวกัน ทำงานมาด้วยกัน อยู่ที่เดียวกัน แล้วทะเลาะกัน เวลาทะเลาะกันก็วิ่งมาหาผม แม้กระทั่งที่ถูกไล่ ถูกตามล่า ตั้งแต่พระอดิศักดิ์ก็ดี พระชัยเจริญก็ดี พระเลอศักดิ์ก็ดี รุ่นแรกหนีตายก็มาหาผม ทำไมข้อมูลต่างๆ มาอยู่ที่ผม… ก็เพราะท่านเหล่านี้มารายงานให้ทราบ ผมรู้ก่อนใครทั้งนั้นเรื่องอะไรต่ออะไรต่างๆ
เพราะฉะนั้นสองกลุ่มนี้มีปัญหาหลักคือบิดเบือนคำสอนของพุทธศาสนา และบิดเบือนทั้งสองกลุ่ม จำได้ไหม การเถียงกันพระนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตานี่ ใน หนังสือ สมาธิ นิตยสารที่ออกในช่วงนั้น พวกธรรมกาย ไม่ว่าดำเนินสะดวก ไม่ว่าคลองสาม ยืนยันว่าพระนิพพานเป็นอัตตา จากนั้นท่านเจ้าคุณ (พระธรรมปิฎก) จึงเสนอหลักฐานของท่านออกมา และกลายมาเป็นหนังสือ “นิพพานอนัตตา” เกิดถกเถียงเรื่องนี้กันมาก่อน ท่านชี้ว่าพุทธศาสนาไม่ได้สอนนิพพานเป็นอัตตา นั่นแหละคือวิวาทะที่เกิดขึ้นมาก่อนเกิดเหตุ พอเกิดเหตุธรรมกายคลองสามเข้า ทางด้านดำเนินสะดวกก็สงบ สงวนท่าทีอยู่ เพราะว่ามีกรณีสมภารและรองสมภารวัดพระธรรมกายผิดพระวินัยอยู่ด้วย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องหลักการของพระพุทธศาสนา หรือพระนิพพานอย่างเดียว แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือประเด็นเรื่องพระนิพพานเป็นอัตตา ทั้งสองสำนักสอนเหมือนกัน ยืนยันเหมือนกัน…”

>>ถวายกว่าครึ่งล้าน รับสินบน!? หรือ ติดกัณฑ์เทศน์?!
ในฝ่ายคณะสงฆ์นี่ จะกราบเรียนให้ทราบว่า การที่เราจะพูดว่าคอรัปชั่น การที่เราจะพูดว่าเป็นการติดสินบน นี่เราก็บอกไม่ควรพูด มันแรงไป เพราะจริงๆ ที่ท่านทำน่ะเป็นการเอื้ออาทรอุปการะซึ่งกันและกัน แต่ถ้าพูดโดย ultimate reality โดยปรมัตถ์แล้วนี่ ก็คือการคอรัปชั่น ก็คือการติดสินบนนั่นแหละ ผมจะยกตัวอย่าง… ต้องเข้าใจนะ พวกนี้หรือใครก็ตามที่เขารู้ตัวว่าเขาทำไม่ถูกต้องตามหลัก เขาจะต้องสร้างภูมิคุ้มกัน สมมติว่าถ้าเขาคิดมาตั้งแต่ต้นว่าเขาจะทำตรงนี้ให้เสร็จ มาทำตรงนี้ก็เลี่ยงกฎหมายเลี่ยงพระธรรมวินัย เลี่ยงอะไรเยอะ เขารู้ แต่ถ้าไม่ทำรายได้จะไม่มี คนจะไม่ขึ้น คนจะไม่นับถือ เขารู้มาตั้งแต่ต้นแล้วก็รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร รู้ว่าต้องเข้าหาใคร พวกนี้จริงๆ แล้วเป็นพระใต้บังคับบัญชาของพระเถระผู้ใหญ่ที่ว่าง่ายมาก ว่านอนสอนง่าย และเข้าหาพระผู้หลักผู้ใหญ่ อ่อนน้อมถ่อมตน มี link กัน มีความสัมพันธ์กันระหว่างพระผู้ใหญ่กับตัวเองอย่างค่อนข้างสม่ำเสมอและมานานด้วย รู้จักคุ้นเคยและก็ได้รับความเมตตาอุปถัมภ์จากท่านเหล่านั้นมาก เพราะฉะนั้นทางฝ่ายเหล่านี้การอุปถัมภ์ทางปัจจัยเป็นของธรรมดามาก
พระผู้ใหญ่ท่านไม่เท่าทันหรือ ระหว่างเรื่องการเคารพกับความอ่อนน้อมเพื่อหวังประโยชน์ หรือระหว่างการที่สนับสนุนปัจจัยกับการติดสินบนท่าน
อาจจะไม่เท่าทัน หรือรู้เหมือนกันแต่ว่าต้องแกล้งไม่รู้ เพราะว่าการที่แกล้งไม่รู้ทำให้ท่าน “ได้”… พูดง่ายๆ ทำให้ท่านรวยขึ้น ได้มีปัจจัยความเป็นอยู่ดีขึ้น มีรถยี่ห้อดีขึ้น หรือว่าสร้างอะไรท่านก็สามารถสร้างได้รวดเร็วขึ้น ยกตัวอย่าง วัดที่มีชื่อแปลว่า “ยานพาหนะคือเรือ” ก็แล้วกัน หรูหรามหาศาลมาก ไปดูกำแพงวัดสร้างอย่างสวยงาม วัดนี้เอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ … ก็จากระบบการเอื้ออุปถัมภ์ซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นท่านเหล่านี้เขาเตรียมมาแล้ว ตัวเขานี่ เขาเตรียมทุกอย่าง หาเกราะป้องกันตัว อาศัยวัฒนธรรมไทยคือการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ ระหว่างผู้อาวุโสกับด้อยอาวุโส อะไรต่างๆ โดยพื้นฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นไปด้วยความราบรื่น เป็นความราบรื่น จนกระทั่งว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นพรรคพวกเขาสามารถที่จะกระโดดเข้ามาป้องกันได้โดยที่ไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น แม้แต่กระแสสังคม สายตาของวิญญูชนทั้งหลาย ทำไม่สนใจทั้งนั้น

ถ้าดู video เวลาเขาออกข่าวก็จะเห็นว่า เวลางานสำคัญๆ ที่ผ่านๆ มา มีพระผู้ใหญ่องค์ใดบ้างที่ไปที่นั่นเป็นประจำ ไปเปิดอะไรต่ออะไรต่างๆ จะเห็นภาพอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจะบอกได้ทันทีว่า… ที่จริงแล้วถ้าดูด้วยความพินิจพิเคราะห์ เราจำแนกได้ว่า องค์ใดบ้าง คือพระผู้ใหญ่ที่อุปถัมภ์กันอยู่ ถ้าจะทำงานอะไรใหญ่ๆ เขาจะนิมนต์พระนี่เขาจะนิมนต์พระองค์ใด นิมนต์พระที่ต้องให้คุณให้โทษแก่เขาได้ มาทำอะไร มาเทศน์ นิมนต์มาเทศน์นี่นะครับ พอเทศน์จบ ก็ถวายกัณฑ์เทศน์ ถวายกัณฑ์เทศน์อย่างเก่งก็พัน ห้าพัน ห้าพันนี่ถือว่าอย่างเก่งแล้วนะฮะ ถวายกันถึงสามแสน สี่แสน ห้าแสน ก็มี ครึ่งล้านนี่ จะทำใจได้ไหมว่าเป็นกัณฑ์เทศน์ ท่านก็พยายามคิดว่านี่กัณฑ์เทศน์ กัณฑ์เทศน์นะ…ไม่มีอะไร เขาศรัทธา เขาเลื่อมใสมากก็ถวาย แต่ในส่วนลึกๆ จริงๆ ท่านผู้นั้นที่รับกัณฑ์เทศน์ไป ท่านย่อมจะรู้ว่าเป็นอะไร

>>ถามหาหิริโอตตัปปะของท่านไปไหน!??
หิริโอตตัปปะก็อยู่นั่นแหละ แต่ไม่สำแดงตัว (หัวเราะ) ปัจจัยมันมากกว่ามันก็สำแดงออกมาไม่ได้ ถามว่าผิดไหม เป็นการติดสินบนไหม เป็นการคอรัปชั่นไหม ท่านก็ตอบ “มันไม่น่าจะผิดนะ” เป็นการติดกัณฑ์เทศน์ที่แฝงมา การให้สินบนโดยวิธีนี้อาศัยขนบธรรมเนียมประเพณีทางศาสนามาเคลือบบังนี่ หากบอกว่ามันเลวร้าย… แล้วสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่อะไร มันนำไปสู่… ท้ายที่สุดแล้วท่านก็จะตกเป็นทาสของผู้ที่ให้ “ผู้รับตกเป็นทาสของผู้ให้” เขาต้องการอะไรก็ต้องทำให้ ธัมมชโย หรือ ทัตตชีโว นักธรรมตรีนะไม่ได้มีความรู้พระธรรมวินัยมากมายอะไรนักหนา แต่เวลาสอนไม่เคยสอนเรื่องอื่นเลยสอนแต่การให้ทาน การสร้างบารมี ธรรมลึกซึ้งมันจะไปรู้อะไร แค่นักธรรมตรี ใช่ไหม พระ ก. พระ ข. จะได้รับแต่งตั้งเป็นพระสมณศักดิ์อะไร ระดับนักธรรมตรีอย่างเก่งก็พระครู ต้องไต่เต้าไปตามลำดับ ไอ้นี่ ทีเดียวพรวดเป็นเจ้าคุณเลย เราก็จะเห็นอิทธิพลของปัจจัย อิทธิพลของอะไรต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง พรวดจากพระครูเป็นเจ้าคุณ แล้วพักเดียวได้เป็นชั้นราชแล้ว
เราก็จะเห็นได้ชัดว่า ในวงการพระท่านก็เกื้อกูลกัน ทีนี้บังเอิญว่าผู้ที่ได้รับการเกื้อกูลก็เป็นเจ้าคณะปกครองมีอำนาจในการพิจารณาความผิดความถูก มีอำนาจชี้ขาดว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง พอเกิดเหตุซึ่งจำเป็นจะต้องชี้ ก็น่าเห็นใจท่านนะ ท่านจะชี้อย่างไร ถ้าเป็นเราก็แย่เหมือนกัน ถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น เราเห็นใจท่าน
(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่