ปกตืผมมักจะชวนสนทนาในเรื่องในของสภาวะธรรมเช่นเรื่องฌาน การแยกนามรูปที่เคยพบมาตลอดหลายปีในห้องศาสนานี้
ที่ไม่ค่อยสนใจในเรื่องการบรรลุถึงความเป็นอริยะแม้พระโสดาบันผมยังมองไม่ออกเพราะไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปวัดตนเองและผู้อื่น
ว่าได้เกณครบไหมที่จะเป็นอริยะเปิดตำราดูไล่เรียงคูณสมบัติดูแล้วเออน่าจะใช่แต่มันจะใช่วิธีตรวจสอบแบบที่พุทธองค์ตรัสสอนไว้หรือ!
แล้วจะเอาอย่างไงต่อดี! ก็พอดีไม่ก่วันมานี่ได้พบพระสูตรเรื่องญาณทัสสะว่ามีสำหรับเห็นความเป็นอริยะตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป
อ้าวอย่างนี้ก็มีโอกาสแล้วเพราะผมรู้จักฌานทั้งรูปฌานและอรูปว่าญาณทัสสนะของแต่ละฌานที่เกิดขึ้นแตกต่างกันอย่างไร
ในที่สุดก็ไปพบอีกพระสูตรหนึ่งที่ทรงตรัสถึงโอปปาติกะว่าแม้ได้ฌานแล้วทำวิปัสสนาพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงถ้ากิเลสไม่สิ้น
ก็จะได้เป็นโอปปาติกะรอทำพระนิพพานให้แจ้งอยู่ภพนั้นเป็นชาติสุดท้าย
คำนี้สดุดใจผมขึ้นมาว่าเมื่อยี่สิบปีที่แล้วผมได้วิปัสสนาญาณครั้งแรกเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าตนบรรลุอะไร
รู้แต่ว่าแยกนามรูปได้ได้ฌานตั้งแต่ปฐมฌานยันจนอากิญจัญญายตนะสัญญาส่วนเนวะฯไม่แน่ใจเเละอารมย์พระนิพพานก็พบอยู่นาน
แล้วก็ถอดกายทิพย์ได้ครั้งแรกแล้วต่อมาอีกเกือบยี่สิบปีก็ยังถอดกายทิพย์ได้เองเดือนละสองครั้งโดยไม่ต้องนั่งสมาธิ
การถอดกายทิพย์ส่วนใหญ่จะเป็นตอนตีสี่ผมจะตื่นขึ้นมาแล้วการสั่นสะเทือนจะมาจากกลางลำตัวบางครั้งผมอยากยั้งมันไว้
แต่ก็ไม่เคยทำสำเร็จไม่เกินสองสามนาทีกายทิพย์ผมจะหลุดลอยออกมาจากร่างหยาบเป็นแบบนี้มาตลอด
วิปัสสนาญาณครั้งแแรกที่ได้ผมเคยนำมาเขียนในห้องนี้หลายครั้งแล้วว่าใช้เพียงปฐมฌานพิจารณาเวทนาเอาเท่านั้น
เพราะเชื่อว่าเวทนาเป็นรอยต่อของนามกับรูปแต่กลับมีลมปราณวิ่งจากฐานที่สะดือวิ่งออกกลางกระหม่อม
นำมาซึ่งปรากฏการของสภาวะธรรมต่างๆเช่นนามรูปแยกจากกันและได้รูปฌานอรูปฌานและอารมย์พระนิพพาน
แต่ไม่รู้ว่าตนเองบรรลุธรรมอะไรจากวิปัสสนาญาณครั้งแรกเพิ่งจะมาสนใจว่าตนเองน่าจะบรรลุเป็นโอปปาติกะแล้วเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว
จากพระสูตรดังกล่าวเพราะทุกวันนี้ผมยังจำได้ไม่เคยลืมว่าเมื่อลมปราณทะลุออกกลางกระหม่อนผมไม่ตายแต่เหมือนเพิ่งมายังโลกนี้
ทุกอย่างแลดูใหม่ไปหมดน่าภิรมย์แต่ก็มีความรู้สึกว่าตนคนเก่าที่ขี้ใจน้อยอมทุกข์นั้นหายไป
เราเหมือนเป็นคนละคนกันตอนนั้นคิดว่าเรามาแทนเราคนเก่าหรือ! ตรงนี้ผมว่าใช่เป็นกำเนิดของโอปปาติกะ
พอครบกำหนดลาบวชสี่เดือนผมกลับมาบ้านก็เรียกตนเองว่าผมกับบุพการีเตี่ยผมไม่ค่อยพอใจว่าทำไมไม่ใช้คำว่าหนูเหมือนเดิม
[๒๐] ดูกรคฤหบดี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุ-
*ปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่ เธอพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมรู้ชัดว่า
แม้ปฐมฌานนี้ อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น
ก่อสร้างขึ้น สิ่งนั้นไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา ดังนี้ เธอตั้งอยู่ในธรรม คือ สมถะ
และวิปัสสนานั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะความยินดีเพลิดเพลินในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น เพราะความสิ้นไปแห่ง
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้น
เป็นธรรมดา.
นี้เราเรียกว่า สังเสทชะกำเนิด ดูกรสารีบุตร โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน? เทวดา สัตว์นรก
มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก นี้เราเรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด ดูกรสารีบุตร
กำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล
เชื่อหรือไม่ ได้วิปัสสนาญาณครั้งแรก แต่กิเลสไม่หมด จึงเป็นโอปปาติกะ !
ที่ไม่ค่อยสนใจในเรื่องการบรรลุถึงความเป็นอริยะแม้พระโสดาบันผมยังมองไม่ออกเพราะไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปวัดตนเองและผู้อื่น
ว่าได้เกณครบไหมที่จะเป็นอริยะเปิดตำราดูไล่เรียงคูณสมบัติดูแล้วเออน่าจะใช่แต่มันจะใช่วิธีตรวจสอบแบบที่พุทธองค์ตรัสสอนไว้หรือ!
แล้วจะเอาอย่างไงต่อดี! ก็พอดีไม่ก่วันมานี่ได้พบพระสูตรเรื่องญาณทัสสะว่ามีสำหรับเห็นความเป็นอริยะตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป
อ้าวอย่างนี้ก็มีโอกาสแล้วเพราะผมรู้จักฌานทั้งรูปฌานและอรูปว่าญาณทัสสนะของแต่ละฌานที่เกิดขึ้นแตกต่างกันอย่างไร
ในที่สุดก็ไปพบอีกพระสูตรหนึ่งที่ทรงตรัสถึงโอปปาติกะว่าแม้ได้ฌานแล้วทำวิปัสสนาพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงถ้ากิเลสไม่สิ้น
ก็จะได้เป็นโอปปาติกะรอทำพระนิพพานให้แจ้งอยู่ภพนั้นเป็นชาติสุดท้าย
คำนี้สดุดใจผมขึ้นมาว่าเมื่อยี่สิบปีที่แล้วผมได้วิปัสสนาญาณครั้งแรกเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าตนบรรลุอะไร
รู้แต่ว่าแยกนามรูปได้ได้ฌานตั้งแต่ปฐมฌานยันจนอากิญจัญญายตนะสัญญาส่วนเนวะฯไม่แน่ใจเเละอารมย์พระนิพพานก็พบอยู่นาน
แล้วก็ถอดกายทิพย์ได้ครั้งแรกแล้วต่อมาอีกเกือบยี่สิบปีก็ยังถอดกายทิพย์ได้เองเดือนละสองครั้งโดยไม่ต้องนั่งสมาธิ
การถอดกายทิพย์ส่วนใหญ่จะเป็นตอนตีสี่ผมจะตื่นขึ้นมาแล้วการสั่นสะเทือนจะมาจากกลางลำตัวบางครั้งผมอยากยั้งมันไว้
แต่ก็ไม่เคยทำสำเร็จไม่เกินสองสามนาทีกายทิพย์ผมจะหลุดลอยออกมาจากร่างหยาบเป็นแบบนี้มาตลอด
วิปัสสนาญาณครั้งแแรกที่ได้ผมเคยนำมาเขียนในห้องนี้หลายครั้งแล้วว่าใช้เพียงปฐมฌานพิจารณาเวทนาเอาเท่านั้น
เพราะเชื่อว่าเวทนาเป็นรอยต่อของนามกับรูปแต่กลับมีลมปราณวิ่งจากฐานที่สะดือวิ่งออกกลางกระหม่อม
นำมาซึ่งปรากฏการของสภาวะธรรมต่างๆเช่นนามรูปแยกจากกันและได้รูปฌานอรูปฌานและอารมย์พระนิพพาน
แต่ไม่รู้ว่าตนเองบรรลุธรรมอะไรจากวิปัสสนาญาณครั้งแรกเพิ่งจะมาสนใจว่าตนเองน่าจะบรรลุเป็นโอปปาติกะแล้วเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว
จากพระสูตรดังกล่าวเพราะทุกวันนี้ผมยังจำได้ไม่เคยลืมว่าเมื่อลมปราณทะลุออกกลางกระหม่อนผมไม่ตายแต่เหมือนเพิ่งมายังโลกนี้
ทุกอย่างแลดูใหม่ไปหมดน่าภิรมย์แต่ก็มีความรู้สึกว่าตนคนเก่าที่ขี้ใจน้อยอมทุกข์นั้นหายไป
เราเหมือนเป็นคนละคนกันตอนนั้นคิดว่าเรามาแทนเราคนเก่าหรือ! ตรงนี้ผมว่าใช่เป็นกำเนิดของโอปปาติกะ
พอครบกำหนดลาบวชสี่เดือนผมกลับมาบ้านก็เรียกตนเองว่าผมกับบุพการีเตี่ยผมไม่ค่อยพอใจว่าทำไมไม่ใช้คำว่าหนูเหมือนเดิม
[๒๐] ดูกรคฤหบดี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุ-
*ปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่ เธอพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมรู้ชัดว่า
แม้ปฐมฌานนี้ อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น
ก่อสร้างขึ้น สิ่งนั้นไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา ดังนี้ เธอตั้งอยู่ในธรรม คือ สมถะ
และวิปัสสนานั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะความยินดีเพลิดเพลินในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น เพราะความสิ้นไปแห่ง
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้น
เป็นธรรมดา.
นี้เราเรียกว่า สังเสทชะกำเนิด ดูกรสารีบุตร โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน? เทวดา สัตว์นรก
มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก นี้เราเรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด ดูกรสารีบุตร
กำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล