บุคคลซึ่งเป็นมนุษย์ เมื่อบรรลุเป็นพระอนาคามี คือเป็นไปตามกำเนิด 4 ด้วยคติ 5 เรียกท่านว่าเป็น โอปปติกะ ได้หรือ?

เสนอข้อมูลเพื่อความเข้าใจก่อน ดังนี้

กำหนิด 4 คือ  
       1.อัณฑชะกำเนิด [เกิดในไข่]  
       2.ชลาพุชะกำเนิด [เกิดในมดลูก(ในครรภ์)]
       3.สังเสทชะกำเนิด [เกิดในสิ่งปฏิกูล]
       4.โอปปาติกะกำเนิด [ผุดเกิด]

คติ 5 คือ  เมื่อกายแตกหรือตายไปแล้ว ย่อมไปเกิดใน คติ 5 ตามกรรมตามฐานะ
        [๒๘๑] คติ ๕ อย่าง
        ๑. นิรยะ     [นรก]
        ๒. ติรัจฉานโยนิ     [กำเนิดดิรัจฉาน]
        ๓. ปิตติวิสัย     [ภูมิแห่งเปรต]
        ๔. มนุสสะ     [มนุษย์]
        ๕. เทวะ     [เทวดา] ฯ

ต่อไปยกข้อมูลพุทธพจน์ เกี่ยวกับ กำเนิด 4 และคติ 5 จากพระไตรปิฏกเล่มที่ 12
                         กำเนิด ๔
        [๑๖๙] ดูกรสารีบุตร กำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล ๔ ประการเป็นไฉน? คือ อัณฑชะ
กำเนิด ชลาพุชะกำเนิด สังเสทชะกำเนิด โอปปาติกะกำเนิด
ดูกรสารีบุตร ก็อัณฑชะกำเนิด
เป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ชำแรกเปลือกแห่งฟองเกิด นี้เราเรียกว่า อัณฑชะกำเนิด
ดูกรสารีบุตร ชลาพุชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใด ชำแรกไส้ [มดลูก] เกิด
นี้เราเรียกว่า ชลาพุชะกำเนิด ดูกรสารีบุตร สังเสทชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใด
ย่อมเกิดในปลาเน่า ในซากศพเน่า ในขนมบูด หรือในน้ำครำ ในเถ้าไคล [ของสกปรก]
นี้เราเรียกว่า สังเสทชะกำเนิด ดูกรสารีบุตร โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน? เทวดา สัตว์นรก
มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก นี้เราเรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด ดูกรสารีบุตร
กำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล ดูกรสารีบุตร ผู้ใดแล พึงว่าซึ่งเราผู้รู้อยู่อย่างนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า
ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะ ของพระสมณโคดมไม่มี
พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้ง
ได้เอง ดูกรสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย
ก็เที่ยงแท้ ที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้ ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงกระหยิ่มอรหัตผล ในปัจจุบันทีเดียว ฉันใด
ดูกรสารีบุตร เรากล่าวข้ออุปไมยนี้ ก็ฉันนั้น ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย
ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้.
                       คติ ๕
          [๑๗๐] ดูกรสารีบุตร คติ ๕ ประการเหล่านี้แล ๕ ประการเป็นไฉน? คือ นรก กำเนิด
ดิรัจฉาน เปรตวิสัย มนุษย์ เทวดา
ดูกรสารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งนรก ทางยังสัตว์ให้ถึงนรก
และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงนรก อนึ่ง สัตว์ผู้ดำเนินประการใด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย ดูกรสารีบุตร เราย่อม
รู้ชัดซึ่งกำเนิดดิรัจฉาน ทางยังสัตว์ให้ถึงกำเนิดดิรัจฉาน ปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงกำเนิดดิรัจฉาน
อนึ่ง สัตว์ผู้ดำเนินประการใด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงกำเนิดดิรัจฉาน เราย่อม
รู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย ดูกรสารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งเปรตวิสัย ทางไปสู่เปรตวิสัย และปฏิปทา
อันจะยังสัตว์ให้ถึงเปรตวิสัย อนึ่ง สัตว์ผู้ดำเนินประการใด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงเปรตวิสัย เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย ดูกรสารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งเหล่ามนุษย์
ทางอันยังสัตว์ให้ถึงมนุษยโลก และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงมนุษยโลก อนึ่ง สัตว์ผู้ปฏิบัติ
ประการใด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมบังเกิดในหมู่มนุษย์ เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้น
ด้วย ดูกรสารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งเทวดาทั้งหลาย ทางอันยังสัตว์ให้ถึงเทวโลก และปฏิปทา
อันจะยังสัตว์ให้ถึงเทวโลก อนึ่ง สัตว์ผู้ปฏิบัติประการใด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย ดูกรสารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งพระ
นิพพาน ทางอันยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพาน และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพาน อนึ่ง
สัตว์ผู้ปฏิบัติประการใด ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะ
อาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย.

------------------------------------

    อธิบาย >>> หมายความ กำเนิด 4 นั้นสัมพันธ์ กับ คติ 5 นั้นเอง
              ซึ่งคติ 5 นั้น หลังจากเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จึงไปตามคติ 5 นั้นเอง  แล้วเกิดแบบกำเนิด 4 ตามฐานะ.

     แต่ยังมี พุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง คือพ้นไปจากคติ 5 คือ...

  อนึ่งสัตว์ผู้ปฏิบัติประการใด ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะ
อาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย.


      ซึ่งหมายถึงพระอรหันต์ นั้นเอง.

      มาเข้าเรื่อง บุคคลเป็นมนุษย์ เมื่อบรรลุเป็นพระอนาคามี ขณะที่ยังไม่ตายเพราะกายแตกเรียกท่านว่าเป็น โอปปาติกะ ได้หรือไม่?

  ผมขอยกพุทธพจน์ ที่ทำให้เกิดการตีความ ทำให้แตกประเด็นได้หลายประเด็นดังนี้

จากพระไตรปิฏกเล่มที่ 13
-----------------------------------
เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น ย่อม
บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ย่อมเป็นโอปปาติกะ  จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ
ความยินดี ความเพลิดเพลินในธรรมนั้น และเพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้ง ๕

-----------------------------------

     ซึ่งบางท่านเข้าใจไปว่า เมื่อบรรลุเป็นพระอนาคามีปับ  ย่อมเป็นโอปปาติกะ ทันที่ ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่  เพราะด้วยพุทธพจน์ที่ว่า  ย่อมเป็นโอปปาติกะ เพียงส่วนเดียว

     แต่ผมไม่เห็นว่าเป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อค้นหาในพระไตรปิฏก ข้อความนี้จะมาเป็นชุดตลอดว่า...

       ย่อมเป็นโอปปาติกะ  จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา

     ไม่ว่าผมจะทำความเข้าใจหรือตีความหมายอย่างไร ก็ยังหมายความว่า   จะเป็นโอปปาติกะ(ผุดเกิด) ในภพนั้น(ไม่ใช่โลกมนุษย์) ในโลกนั้น(ไม่ใช่โลกมนุษย์) และจักปรินิพพานในภพนั้น
      และเมื่อทำการค้นในพระไตรปิฏกแล้ว พุทธพจน์ส่วนนี้ จะมาเป็นชุดตลอดเลยครับ ไม่ปรากฏโดดเดี่ยวว่า  ย่อมเป็นโอปปาติกะ ในโลกนี้ เลย
      
      ท่านผู้ใดมีความเห็นอย่างไร มีข้อมูลอย่างไร ร่วมสนทนากันได้ครับ เพื่อจะได้มีความชัดเจนไปในทิศทางเดียวกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่