ผืนป่าใหญ่ ยามค่ำคืนอันเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงโหยคำรามของสัตว์ป่านานาพันธุ์ พระจันทร์เต็มดวงทอแสงขาวนวลส่องกระทบแมกไม้ใบหญ้าในหุบเขาลึก พลันเผยให้เห็นบึงน้ำขนาดใหญ่เบื้องหน้า ผิวน้ำอันสงบนิ่งเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ปรากฏชัด สายลมเอื่อยๆพัดต้องใบไม้ยามราตรีพริ้วไหว ทำให้คืนนี้ดูจะไม่วังเวงเกินไปนัก
ทันใดนั้น..! เสียงสัตว์ป่าก็พลันเงียบสงบลงอย่างหน้าประหลาด
ทิ้งไว้แต่ความวังเวงอ้างว้าง ท่ามกลางหุบเขาที่ตอนนี้ไม่มีแม้สายลมพัดต้องใบไม้
รัศมีเดือนเพ็ญเผยให้เห็น ชายนุ่งขาวห่มขาว รูปร่างสะโอดสะอง ใบหน้าจิ้มลิ้มดูราวกับเด็กหนุ่มอายุ 18-19 แต่แปลกที่เส้นผมกับขาวโพรนเช่นเดียวกับคนชรา
“วิรูปักเขหิ เม เมตตัง เมตตัง เอราปะเถหิ เมฉัพยาปุตเตหิ เม เมตตัง เมตตัง .......” ปรากฏเสียงที่ทำลายความเงียบสงบนั้น เสียงสวดพระคาถาขันธปริตรดังก้องไปทั่วหุบเขา .... ขณะที่สาธยายพระคาถาอยู่นั้น....
“ข้าไม่ต้องการความเป็นมิตรใดๆ ..จากเจ้า....!!” เสียงตะคอกอันกึกก้องกัมปนาท พร้อมกับสายลมอันรุนแรงพัดออกเป็นวงแหวนจากกลางบึงสู่ริมฝั่งโดยรอบ ทำให้ผืนน้ำที่สงบนิ่งสะเทือนไหวเป็นระลอกคลื่นเข้าปะทะฝั่งอย่างต่อเนื่อง ....
ในขณะที่ชายนุ่งขาว ยืนอย่างสงบนิ่ง โดยไม่มีท่าทีครั่นคร้ามต่อเสียงอันมุ่งร้ายนั้นแต่อย่างใด จากบทพระคาถาขันธปริตรอันสงบเย็น แปรเปลี่ยนเป็นคาถาที่มีความดุดัน .... บังเกิดเป็นลมพัดจากฝั่งเข้าตีลมที่พัดออกมาจากกลางบึงเพียงชั่วลมหายใจเดียวผืนน้ำกลับสู่ความสงบอีกครั้ง ขณะที่ชายนุ่งขาวยังสาธยายพระคาถาอย่างต่อเนื่อง มือก็ล้วงเข้าไปในย่าม หยิบเชือกที่ถักด้วยเถาวัลย์โยนลงไปในน้ำ
ทันทีที่เชือกสัมผัสน้ำก็เรืองแสงสีขาวพร้อมกับครี่ตัวพุ่งตรงไปยังกลางบึง เข้าล้อมเป็นวงบ่วงบาศ จากนั้นแสงสีขาวปรากฏเป็นอักขระอักษรโบราณพุ่งเป็นเส้นตรงทั้งแปดทิศออกสู่ริมฝั่งน้ำเสมือนเป็นการตรึงผิวน้ำไว้ กลางวงของบ่วงบาศ ปรากฏเป็นฟองอากาศฝุดขึ้นอย่างรุ่นแรง เสียงฟ้าร้องคำราม ลมพายุโหมกระหน่ำ ประกอบกับสายฝนที่ตกอย่างหนัก ทำให้บรรยากาศโดยรอบกลับสู่ความโกลาหนอีกครั้ง
เปรี้ยง...!! ....ตูม...!!!
สายฟ้าผ่าลงตรงกลางบ่วงบาศ พื้นน้ำระเบิดออกอย่างรุ่นแรง ปรากฏเป็นร่างชายหนุ่มรูปร่างกำยำทรงเครื่องอาภรณ์อย่างวิจิตรดังเทพนิยาย ร่างกายส่วนล่างของเขานั้น เป็นงูสีขาวขนาดใหญ่ พยายามดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากบ่วงมนต์ ในขณะที่บ่วงมนต์ก็กระชับเข้ารัดร่างอย่างไม่มีทีท่าผ่อนผันประการใด
คนครึ่งงู....ในตอนนี้แทบไม่มีกำลังจะแม้แต่จะส่งเสียงใดๆ ได้แต่เพียงส่งสายตาอันอาฆาต พร้อมเงยหน้าขึ้นฟ้า ปรากฏเป็นลูกแก้วใส เปล่งรัศมีสีขาว สว่างวาบพุ่งออกจากปากไปอย่างรวดเร็ว.......
ตอนที่ 1 .....
เปรี้ยง ...!!!
เสียงฟ้าผ่าดังก้องไปทั่วบริเวณ “ชายหนุ่ม” สะดุ้งตื่น พร้อมกับลมหายใจเหนื่อยหอบ และเม็ดเหงื่อที่ปรากฏเต็มใบหน้า
“ฝันอีกแล้วหรอ .. ??”
...เช้าวันนี้อากาศไม่สู้จะดีนัก ฝนตกหนักตั้งแต่เมื่อคืน จนเช้าแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เขาลุกออกจากที่นอนในสภาพใส่กางเกงขาสั้นตัวเล็กๆ แสงไฟจากห้องน้ำเผยให้เห็น ร่างของชายหนุ่ม กับรูปร่างที่สมส่วนแผงอกหนาหน้าท้องแบนราบ มีรอยกล้ามเนื้อชัดเจน ผิวพรรณขาวละเอียดเนียนเรียบไม่มีแม้แต่รอยไฝ่ฝ้าแต่อย่างใด ใบหน้ารูปไข่ คิ้วดกดำ ในตากลมโตเป็นประกาย จมูกเป็นสันได้รูปรับกับริมฝีปากเรียวบางสีชมพูระเรื่อ
ซ่าๆ...... เสียงเปิดน้ำจากฝักบัว สายน้ำที่ไหลออกจากฝักบัว โลมไล้ไปทั่วร่างอันเปลือยเปล่า เป็นภาพฉายให้เห็นเสน่ห์น่าหลงไหลของหนุ่มน้อยคนนี้ ซึ่งก็ไม่ยากนักที่จะทำให้ใครๆหลงรักเขา เวลาผ่านไปไม่นานจนเขาทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย
เสียงเพลงโปรดที่ถูกตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น ..... ในขณะที่เขากำลังเดินลงจากบันไดชั้นสองของบ้าน
ปลายสาย “เฮ้ย.. ไอ้ณิน มารึยังวะ...”
“กูกำลังไป เพิ่งแต่งตัวเสร็จว่ะ...” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เฮ้ย...!! อะไรของเนี้ย มันกี่โมงแล้ว วันนี้วันเข้าเรียนวันแรกนะเว้ย รุ่นพี่เขานัดไว้กี่โมงสนใจอะไรบ้างไหม.....” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งโมโหกึ่งเป็นห่วง
ณิน ยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับพูดไปว่า “จ้า....เมียจ๋า ผัวจะรีบเดี๋ยวนี้ล่ะ”
“กูไม่ตลกกับนะเนี้ยเออๆๆ เร็วๆเข้านะเว้ยกูรอหน้า ม.” ประโยคนี้ของปลายสาย เป็นอันปิดการสนทนาระหว่างหนุ่มน้อยทั้งสอง
ขณะที่เขา ก้าวเดินออกจากประตูบ้าน เขาต้องหยุดชงัก กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า “มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเหมือนเดิมเลยนะ...ตกใจหมดเลย..” งูตัวใหญ่เลื้อยผ่านประตูบ้านของณิน ก่อนจะหยุดและยกตัวมองเข้ามาที่ชายหนุ่ม แต่ดูเหมือนณิน จะไม่มีทีท่าหวาดกลัวแต่อย่างใด เขายังคงทำตัวเป็นปกติและเดินผ่านเจ้างูตัวใหญ่ไปอย่างใจเย็น ซึ่งงูตัวนั้นก็ไม่มีท่าทีจะทำร้ายณินแต่อย่างใด ได้แต่เพียงหันมองเขาเดินผ่านหน้าบ้านไปจนสุดสายตา ... ตลอดระยะเวลากว่าสามเดือนที่ณินย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ พบเห็นงูตัวนี้มาแล้วหลายครั้ง
หน้ามหาวิทยาลัยในย่านใจกลางเมือง .....
หนุ่มน้อยหน้าตี๋ ผิวขาว คิ้วโค้งเป็นเส้นรับกับใบหน้า ในตาตี่ ริมฝีปากแดงสด ยืนเก้ๆกังๆ ในท่าทางกระวนกระวาย มองซ้ายทีขวาทีสลับกับถอนหายใจเป็นระยะๆ
“รอใครอยู่หรอครับ ? คุณชายคิม”
“เห้ย เชี่ย!!! กูรอนานแล้วนะเว้ย นี่เลยเวลามาเกือบชั่วโมงแล้ว ไปเลยเร็วๆ”
“ก็ฝนตก ก็เห็น รถมันก็เลยติดไง” ณินตอบด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
และอีกหลายๆ บทสนทนาก็ดังขึ้นตลอดระยะทาง แต่ดูเหมือนว่าคิมจะเป็นฝ่ายพูดแต่เพียงผู้เดียว แต่แทบไม่มีผลใดๆ กับความรู้สึกขอณินเลย ยังคงทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวตลอดทาง หนุ่มน้อยสองคน มาถึงหน้าหอประชุมที่นัดหมายกันไว้ด้วยอาการเหนื่อยหอบ กับเสื้อผ้าที่เปียกชื้นด้วยสายฝนที่ยังคงกระหน่ำไม่หยุด
“วันแรกก็มาสายเลยนะ ยืนอยู่ตรงนั้นแหละยังไม่ต้องเข้ามา” เสียงจากรุ่นพี่สาวคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับสายตาเกือบร้อยคู่ ที่มองตรงมายังสองหนุ่ม
วันนี้เป็นวันแรก ที่ณินกับคิมเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เดิมทีเดียวสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทที่เรียนจากโรงเรียนมัธยมในต่างจังหวัดมาด้วยกัน และตัดสินใจเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในคณะเดียวกันด้วย “ณิน” หรือ “ผณิน” เป็นเด็กกำพร้า พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ด้วยอุบัติเหตุ หลังจากเขาเกิดได้ไม่นาน ณินถูกเลี้ยงมาโดยลุงและป้า ซึ่งลุงกับป้าก็ค่อนข้างมีฐานะไม่ลำบากอะไรนัก ภายนอกเขาดูเป็นคนที่ร่าเริงช่างพูดช่างเอาใจคนรอบข้าง แต่ลึกๆ แล้วดูเป็นคนลึกกลับคิดอะไรในใจอยู่ตลอดเวลา ด้วยรูปร่างหน้าตาทำให้เขาดูโดดเด่นในสายตาผู้คนทั่วไป แต่นั่นเป็นสิงที่เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ชอบเอาเสียเลย เขาชอบที่จะอยู่เงียบๆอย่างมีอิสระไม่อยากเป็นที่สนใจกับใครมากกว่า อีกอย่างที่แปลกประหลาดกว่าเด็กคนอื่นก็คือ ชอบเล่นกับสัตว์มีพิษทั้งแมลง หรือสัตว์เลื้อยคลานโดยเฉพาะ “งู” มักจะมีราวให้ต้องเกี่ยวข้องกับงูอยู่เสมอๆ
เมื่อตอนที่ณินเกิดได้เจ็ดวันพ่อแม่ของเขาพาไปหาพระที่นับถือ ให้ช่วยตั้งชื่อให้
“มาแล้วหรือโยม อาตมา มานั่งรออยู่นานแล้ว” สมภารเฒ่าท่าทางใจดีกล่าวทักทายสองสามีภรรยา
“นมัสการครับ หลวงปู่” พ่อของณินกล่าว
“เด็กคนนี้น่ะ ให้ชื่อว่า “ผณิน” ...” ทันที่ที่ผู้เป็นพ่อกำลังจะเอ่ยถาม หลวงปู่ก็พูดขึ้นมาโดยทันที “ผณิน น่ะแปล ว่า งู …..” ในใจของพ่อตอนนี้ครุ่นคิดถึงเหตุผล ว่าทำไมหลวงปู่ถึงตั้งชื่อแบบนี้ แต่ก็ได้แต่เพียงเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่กล้าเอ่ยถาม เพราะหลวงปู่เองก็คงทราบได้ว่าตนคิดอะไรอยู่ แต่ที่หลวงปู่ไม่พูดขึ้นมาย่อมมีเหตุผลของท่าน
“ชอบไหมล่ะโยม...” หลวงปู่เอ่ยถามพร้อมกับใบหน้าเปี่ยมเมตตา พ่อของผณินได้แต่พยักหน้ารับ “ทุกอย่างที่เกิดในโลกน่ะโยม.... มันมีเหตุและผลในตัวมันเองทั้งนั้น ...เด็กคนนี้เองก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำต่อไป โยมสองคนเถอะก็ทำหน้าที่ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว จงอย่ากังวลสงสัยใดๆ อีกเลย” และอีกหลายบทสนทนาก็เริ่มขึ้นในวัดป่าบรรยากาศร่มรื่น จนเวลาบ่ายคล้อย พ่อและแม่ของผณินก็ลากลับ ระหว่างทางกลับนั้นเองก็มีรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งมาด้วยความเร็ว เสียการควบคุมพุ่งตรงข้ามเลนมาชนอัดเข้ากับรถของผณิน เหตุการณ์นั้นเองทำให้พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ แต่มีเรื่องแปลกที่เกิดขึ้นคือผณินรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ โดยผู้ที่เข้าช่วยเหลือต้องตกตะลึงเมื่อพบงูจงอางขนาดใหญ่ลำตัวสีขาวเผือกโอบรัดร่างเด็กน้อยเอาไว้ ไม่นานนักงูจงอางก็คลายตัวแล้วเลื้อยเข้าไปในพุ่มไม้ข้างทาง ซึ่งเจ้าหน้าที่และชาวบ้านหลายคนในที่นั้นเป็นประจักษ์พยานถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ภายหลังชาวบ้านเข้าไปค้นหางูจงอางในป่าข้างทางก็ไม่พบแม้แต่ร่องรอยของสัตว์ใหญ่ตัวใดเลยแม้แต่น้อย
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องแปลกๆ ที่มีตามมาอีกหลายต่อหลายครั้ง
ภายหลังเหตุร้าย ลุงและป้า จึงได้รับเลี้ยงผณิน ไว้และส่งเสียเหมือนกับลูกแท้ๆ คนหนึ่ง เมื่อเข้าสู่การเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ลุงกับป้าจึงให้เขามาพักในบ้านในกรุงเทพฯ ที่ซื้อไว้ให้ลูกชายสองคนเมื่อตอนเข้ามาเรียนหนังสือได้พักอยู่ ลูกชายของลุงกับป้าเรียนจบ ต่างคนก็มีครอบครัวแยกย้ายกันไป บ้านหลังนี้จึงมีณินอยู่แต่เพียงคนเดียว ......
หน้าประตูหอประชุม
ยังมีเด็กหนุ่มหน้าใสทั้งสองคนเสื้อผ้าเปียกปอน ยืนอยู่ด้วยอาการหนาวสั่น จนผู้คนในหอประชุมเห็นแล้วต่างก็อดยิ้มไม่ได้
“มายืนทำอะไรกันตรงนี้ไม่เข้าไปนั่งข้างในล่ะ...” เสียงหนึ่งปรากฏจากด้านหลังทั้งสองคนต่างหันกลับไปตามเสียงนั้น ภาพที่เห็นเป็นภาพที่ทำให้ชายหนุ่มอย่าง ณิน กับคิม ต้องจ้องมองกันจนแทบตาไม่กระพริบ เป็นรุ่นพี่ หนุ่มรูปร่างสมส่วน ในตาสดใสเป็นประกาย นี่ขนาดผู้ชายด้วยกันยังรู้สึกถูกสะกดด้วยแววตาและรอยยิ้มนั้น ถ้าเป็นผู้หญิงจะครั่งไคล้ขนาดไหน
“คือผมมาสายน่ะครับ รุ่นพี่ที่กำลังพูดอยู่สั่งให้ยืนรอที่ตรงนี้น่ะครับ ....” คิมตอบด้วยอาการรนลาน
“เข้าไปนั่งเถอะ ไม่ต้องกลัวพี่นี่ล่ะประธานนักศึกษาสาขานี้ ใหญ่ที่สุดในนี้แล้ว” คำพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรจากรุ่นพี่สุดหล่อ
ทั้งสองคนเดินตามหลังรุ่นพี่หนุ่มคนนั้นไปแล้วไปนั่งที่ท้ายหอประชุม รายละเอียดการพูดคุยของรุ่นพี่ในวันนี้เป็นการปฏิบัติตัวในการเรียนสาขานี้ และยังได้นัดหมายการเข้าค่ายรับน้องที่จะมีขึ้นในวันสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ........
ทางเดินเล็กๆระหว่างอาคาร
“เลิกเรียนคาบบ่ายนี้ จะกลับบ้านเลยเปล่าวะ” คิมพูดขึ้นขณะที่ทั้งสองกำลังจะเดินไปเรียนในช่วงบ่ายของวันนี้
“อื้ม...จะไปไหนวะกูยังไม่รู้เส้นทางในกรุงเทพเลย ..” ณินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ได้ไงวะ อ่ะทำกูโดนลงโทษไปด้วย เลี้ยงข้าวขอโทษกูสักมื้อไม่ได้หรอวะ” คิมพูดด้วยน้ำเสียงโมโห
“...ว่างใช่ไหมเดี๋ยวพี่ พาไปกินเอง...” ทั้งสองคนหันกลับไปมองตามเสียงที่ดังมาจากทางด้านหลัง ยังไม่ทันที่จะมีใครพูดอะไร “โอเคนะ เดี๋ยวมื้อนี้พี่เป็นเจ้ามือเลี้ยงเอง เราอยู่สาขาเดียวกันแล้วก็ควรจะรู้จักกันไว้ ตอนเย็นมารอพี่ที่หน้าคณะนะ....อย่าเบี้ยวนัดกันล่ะ เดี๋ยวพี่ไปเรียนก่อนนะ” แล้วรุ่นพี่สุดหล่อก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งนำหน้าทั้งสองคนไป ทิ้งไว้แต่ความสงสัยปรากฎเต็มใบหน้าของทั้งสองคน ...... >>>> โปรดติดตามตอนต่อไป
...... “ขอบคุณนะที่ให้พี่มาส่ง ..... จะไม่ชวนพี่เข้าบ้านหน่อยหรอ”
หนุ่มน้อยยืนยิ้มกริ่มใบหน้าแดง ไม่มีเสียงคำตอบใดแต่ดูเหมือนว่า รุ่นพี่สุดหล่อจะเข้าใจดี เขาเดินตามหนุ่มน้อย มาจนถึงห้องรับแขก .......
“อยู่คนเดียวหรอ บ้านน่าอยู่จัง ถ้าจะมาบ่อยๆ เจ้าของบ้านจะรำคาญไหมหนอ...”...>>>>>
"ผณิน" ตอนที่ 1 [ช/ช]
ทันใดนั้น..! เสียงสัตว์ป่าก็พลันเงียบสงบลงอย่างหน้าประหลาด
ทิ้งไว้แต่ความวังเวงอ้างว้าง ท่ามกลางหุบเขาที่ตอนนี้ไม่มีแม้สายลมพัดต้องใบไม้
รัศมีเดือนเพ็ญเผยให้เห็น ชายนุ่งขาวห่มขาว รูปร่างสะโอดสะอง ใบหน้าจิ้มลิ้มดูราวกับเด็กหนุ่มอายุ 18-19 แต่แปลกที่เส้นผมกับขาวโพรนเช่นเดียวกับคนชรา
“วิรูปักเขหิ เม เมตตัง เมตตัง เอราปะเถหิ เมฉัพยาปุตเตหิ เม เมตตัง เมตตัง .......” ปรากฏเสียงที่ทำลายความเงียบสงบนั้น เสียงสวดพระคาถาขันธปริตรดังก้องไปทั่วหุบเขา .... ขณะที่สาธยายพระคาถาอยู่นั้น....
“ข้าไม่ต้องการความเป็นมิตรใดๆ ..จากเจ้า....!!” เสียงตะคอกอันกึกก้องกัมปนาท พร้อมกับสายลมอันรุนแรงพัดออกเป็นวงแหวนจากกลางบึงสู่ริมฝั่งโดยรอบ ทำให้ผืนน้ำที่สงบนิ่งสะเทือนไหวเป็นระลอกคลื่นเข้าปะทะฝั่งอย่างต่อเนื่อง ....
ในขณะที่ชายนุ่งขาว ยืนอย่างสงบนิ่ง โดยไม่มีท่าทีครั่นคร้ามต่อเสียงอันมุ่งร้ายนั้นแต่อย่างใด จากบทพระคาถาขันธปริตรอันสงบเย็น แปรเปลี่ยนเป็นคาถาที่มีความดุดัน .... บังเกิดเป็นลมพัดจากฝั่งเข้าตีลมที่พัดออกมาจากกลางบึงเพียงชั่วลมหายใจเดียวผืนน้ำกลับสู่ความสงบอีกครั้ง ขณะที่ชายนุ่งขาวยังสาธยายพระคาถาอย่างต่อเนื่อง มือก็ล้วงเข้าไปในย่าม หยิบเชือกที่ถักด้วยเถาวัลย์โยนลงไปในน้ำ
ทันทีที่เชือกสัมผัสน้ำก็เรืองแสงสีขาวพร้อมกับครี่ตัวพุ่งตรงไปยังกลางบึง เข้าล้อมเป็นวงบ่วงบาศ จากนั้นแสงสีขาวปรากฏเป็นอักขระอักษรโบราณพุ่งเป็นเส้นตรงทั้งแปดทิศออกสู่ริมฝั่งน้ำเสมือนเป็นการตรึงผิวน้ำไว้ กลางวงของบ่วงบาศ ปรากฏเป็นฟองอากาศฝุดขึ้นอย่างรุ่นแรง เสียงฟ้าร้องคำราม ลมพายุโหมกระหน่ำ ประกอบกับสายฝนที่ตกอย่างหนัก ทำให้บรรยากาศโดยรอบกลับสู่ความโกลาหนอีกครั้ง
เปรี้ยง...!! ....ตูม...!!!
สายฟ้าผ่าลงตรงกลางบ่วงบาศ พื้นน้ำระเบิดออกอย่างรุ่นแรง ปรากฏเป็นร่างชายหนุ่มรูปร่างกำยำทรงเครื่องอาภรณ์อย่างวิจิตรดังเทพนิยาย ร่างกายส่วนล่างของเขานั้น เป็นงูสีขาวขนาดใหญ่ พยายามดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากบ่วงมนต์ ในขณะที่บ่วงมนต์ก็กระชับเข้ารัดร่างอย่างไม่มีทีท่าผ่อนผันประการใด
คนครึ่งงู....ในตอนนี้แทบไม่มีกำลังจะแม้แต่จะส่งเสียงใดๆ ได้แต่เพียงส่งสายตาอันอาฆาต พร้อมเงยหน้าขึ้นฟ้า ปรากฏเป็นลูกแก้วใส เปล่งรัศมีสีขาว สว่างวาบพุ่งออกจากปากไปอย่างรวดเร็ว.......
ตอนที่ 1 .....
เปรี้ยง ...!!!
เสียงฟ้าผ่าดังก้องไปทั่วบริเวณ “ชายหนุ่ม” สะดุ้งตื่น พร้อมกับลมหายใจเหนื่อยหอบ และเม็ดเหงื่อที่ปรากฏเต็มใบหน้า
“ฝันอีกแล้วหรอ .. ??”
...เช้าวันนี้อากาศไม่สู้จะดีนัก ฝนตกหนักตั้งแต่เมื่อคืน จนเช้าแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เขาลุกออกจากที่นอนในสภาพใส่กางเกงขาสั้นตัวเล็กๆ แสงไฟจากห้องน้ำเผยให้เห็น ร่างของชายหนุ่ม กับรูปร่างที่สมส่วนแผงอกหนาหน้าท้องแบนราบ มีรอยกล้ามเนื้อชัดเจน ผิวพรรณขาวละเอียดเนียนเรียบไม่มีแม้แต่รอยไฝ่ฝ้าแต่อย่างใด ใบหน้ารูปไข่ คิ้วดกดำ ในตากลมโตเป็นประกาย จมูกเป็นสันได้รูปรับกับริมฝีปากเรียวบางสีชมพูระเรื่อ
ซ่าๆ...... เสียงเปิดน้ำจากฝักบัว สายน้ำที่ไหลออกจากฝักบัว โลมไล้ไปทั่วร่างอันเปลือยเปล่า เป็นภาพฉายให้เห็นเสน่ห์น่าหลงไหลของหนุ่มน้อยคนนี้ ซึ่งก็ไม่ยากนักที่จะทำให้ใครๆหลงรักเขา เวลาผ่านไปไม่นานจนเขาทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย
เสียงเพลงโปรดที่ถูกตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น ..... ในขณะที่เขากำลังเดินลงจากบันไดชั้นสองของบ้าน
ปลายสาย “เฮ้ย.. ไอ้ณิน มารึยังวะ...”
“กูกำลังไป เพิ่งแต่งตัวเสร็จว่ะ...” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เฮ้ย...!! อะไรของเนี้ย มันกี่โมงแล้ว วันนี้วันเข้าเรียนวันแรกนะเว้ย รุ่นพี่เขานัดไว้กี่โมงสนใจอะไรบ้างไหม.....” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งโมโหกึ่งเป็นห่วง
ณิน ยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับพูดไปว่า “จ้า....เมียจ๋า ผัวจะรีบเดี๋ยวนี้ล่ะ”
“กูไม่ตลกกับนะเนี้ยเออๆๆ เร็วๆเข้านะเว้ยกูรอหน้า ม.” ประโยคนี้ของปลายสาย เป็นอันปิดการสนทนาระหว่างหนุ่มน้อยทั้งสอง
ขณะที่เขา ก้าวเดินออกจากประตูบ้าน เขาต้องหยุดชงัก กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า “มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเหมือนเดิมเลยนะ...ตกใจหมดเลย..” งูตัวใหญ่เลื้อยผ่านประตูบ้านของณิน ก่อนจะหยุดและยกตัวมองเข้ามาที่ชายหนุ่ม แต่ดูเหมือนณิน จะไม่มีทีท่าหวาดกลัวแต่อย่างใด เขายังคงทำตัวเป็นปกติและเดินผ่านเจ้างูตัวใหญ่ไปอย่างใจเย็น ซึ่งงูตัวนั้นก็ไม่มีท่าทีจะทำร้ายณินแต่อย่างใด ได้แต่เพียงหันมองเขาเดินผ่านหน้าบ้านไปจนสุดสายตา ... ตลอดระยะเวลากว่าสามเดือนที่ณินย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ พบเห็นงูตัวนี้มาแล้วหลายครั้ง
หน้ามหาวิทยาลัยในย่านใจกลางเมือง .....
หนุ่มน้อยหน้าตี๋ ผิวขาว คิ้วโค้งเป็นเส้นรับกับใบหน้า ในตาตี่ ริมฝีปากแดงสด ยืนเก้ๆกังๆ ในท่าทางกระวนกระวาย มองซ้ายทีขวาทีสลับกับถอนหายใจเป็นระยะๆ
“รอใครอยู่หรอครับ ? คุณชายคิม”
“เห้ย เชี่ย!!! กูรอนานแล้วนะเว้ย นี่เลยเวลามาเกือบชั่วโมงแล้ว ไปเลยเร็วๆ”
“ก็ฝนตก ก็เห็น รถมันก็เลยติดไง” ณินตอบด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
และอีกหลายๆ บทสนทนาก็ดังขึ้นตลอดระยะทาง แต่ดูเหมือนว่าคิมจะเป็นฝ่ายพูดแต่เพียงผู้เดียว แต่แทบไม่มีผลใดๆ กับความรู้สึกขอณินเลย ยังคงทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวตลอดทาง หนุ่มน้อยสองคน มาถึงหน้าหอประชุมที่นัดหมายกันไว้ด้วยอาการเหนื่อยหอบ กับเสื้อผ้าที่เปียกชื้นด้วยสายฝนที่ยังคงกระหน่ำไม่หยุด
“วันแรกก็มาสายเลยนะ ยืนอยู่ตรงนั้นแหละยังไม่ต้องเข้ามา” เสียงจากรุ่นพี่สาวคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับสายตาเกือบร้อยคู่ ที่มองตรงมายังสองหนุ่ม
วันนี้เป็นวันแรก ที่ณินกับคิมเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เดิมทีเดียวสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทที่เรียนจากโรงเรียนมัธยมในต่างจังหวัดมาด้วยกัน และตัดสินใจเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในคณะเดียวกันด้วย “ณิน” หรือ “ผณิน” เป็นเด็กกำพร้า พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ด้วยอุบัติเหตุ หลังจากเขาเกิดได้ไม่นาน ณินถูกเลี้ยงมาโดยลุงและป้า ซึ่งลุงกับป้าก็ค่อนข้างมีฐานะไม่ลำบากอะไรนัก ภายนอกเขาดูเป็นคนที่ร่าเริงช่างพูดช่างเอาใจคนรอบข้าง แต่ลึกๆ แล้วดูเป็นคนลึกกลับคิดอะไรในใจอยู่ตลอดเวลา ด้วยรูปร่างหน้าตาทำให้เขาดูโดดเด่นในสายตาผู้คนทั่วไป แต่นั่นเป็นสิงที่เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ชอบเอาเสียเลย เขาชอบที่จะอยู่เงียบๆอย่างมีอิสระไม่อยากเป็นที่สนใจกับใครมากกว่า อีกอย่างที่แปลกประหลาดกว่าเด็กคนอื่นก็คือ ชอบเล่นกับสัตว์มีพิษทั้งแมลง หรือสัตว์เลื้อยคลานโดยเฉพาะ “งู” มักจะมีราวให้ต้องเกี่ยวข้องกับงูอยู่เสมอๆ
เมื่อตอนที่ณินเกิดได้เจ็ดวันพ่อแม่ของเขาพาไปหาพระที่นับถือ ให้ช่วยตั้งชื่อให้
“มาแล้วหรือโยม อาตมา มานั่งรออยู่นานแล้ว” สมภารเฒ่าท่าทางใจดีกล่าวทักทายสองสามีภรรยา
“นมัสการครับ หลวงปู่” พ่อของณินกล่าว
“เด็กคนนี้น่ะ ให้ชื่อว่า “ผณิน” ...” ทันที่ที่ผู้เป็นพ่อกำลังจะเอ่ยถาม หลวงปู่ก็พูดขึ้นมาโดยทันที “ผณิน น่ะแปล ว่า งู …..” ในใจของพ่อตอนนี้ครุ่นคิดถึงเหตุผล ว่าทำไมหลวงปู่ถึงตั้งชื่อแบบนี้ แต่ก็ได้แต่เพียงเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่กล้าเอ่ยถาม เพราะหลวงปู่เองก็คงทราบได้ว่าตนคิดอะไรอยู่ แต่ที่หลวงปู่ไม่พูดขึ้นมาย่อมมีเหตุผลของท่าน
“ชอบไหมล่ะโยม...” หลวงปู่เอ่ยถามพร้อมกับใบหน้าเปี่ยมเมตตา พ่อของผณินได้แต่พยักหน้ารับ “ทุกอย่างที่เกิดในโลกน่ะโยม.... มันมีเหตุและผลในตัวมันเองทั้งนั้น ...เด็กคนนี้เองก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำต่อไป โยมสองคนเถอะก็ทำหน้าที่ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว จงอย่ากังวลสงสัยใดๆ อีกเลย” และอีกหลายบทสนทนาก็เริ่มขึ้นในวัดป่าบรรยากาศร่มรื่น จนเวลาบ่ายคล้อย พ่อและแม่ของผณินก็ลากลับ ระหว่างทางกลับนั้นเองก็มีรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งมาด้วยความเร็ว เสียการควบคุมพุ่งตรงข้ามเลนมาชนอัดเข้ากับรถของผณิน เหตุการณ์นั้นเองทำให้พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ แต่มีเรื่องแปลกที่เกิดขึ้นคือผณินรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ โดยผู้ที่เข้าช่วยเหลือต้องตกตะลึงเมื่อพบงูจงอางขนาดใหญ่ลำตัวสีขาวเผือกโอบรัดร่างเด็กน้อยเอาไว้ ไม่นานนักงูจงอางก็คลายตัวแล้วเลื้อยเข้าไปในพุ่มไม้ข้างทาง ซึ่งเจ้าหน้าที่และชาวบ้านหลายคนในที่นั้นเป็นประจักษ์พยานถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ภายหลังชาวบ้านเข้าไปค้นหางูจงอางในป่าข้างทางก็ไม่พบแม้แต่ร่องรอยของสัตว์ใหญ่ตัวใดเลยแม้แต่น้อย
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องแปลกๆ ที่มีตามมาอีกหลายต่อหลายครั้ง
ภายหลังเหตุร้าย ลุงและป้า จึงได้รับเลี้ยงผณิน ไว้และส่งเสียเหมือนกับลูกแท้ๆ คนหนึ่ง เมื่อเข้าสู่การเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ลุงกับป้าจึงให้เขามาพักในบ้านในกรุงเทพฯ ที่ซื้อไว้ให้ลูกชายสองคนเมื่อตอนเข้ามาเรียนหนังสือได้พักอยู่ ลูกชายของลุงกับป้าเรียนจบ ต่างคนก็มีครอบครัวแยกย้ายกันไป บ้านหลังนี้จึงมีณินอยู่แต่เพียงคนเดียว ......
หน้าประตูหอประชุม
ยังมีเด็กหนุ่มหน้าใสทั้งสองคนเสื้อผ้าเปียกปอน ยืนอยู่ด้วยอาการหนาวสั่น จนผู้คนในหอประชุมเห็นแล้วต่างก็อดยิ้มไม่ได้
“มายืนทำอะไรกันตรงนี้ไม่เข้าไปนั่งข้างในล่ะ...” เสียงหนึ่งปรากฏจากด้านหลังทั้งสองคนต่างหันกลับไปตามเสียงนั้น ภาพที่เห็นเป็นภาพที่ทำให้ชายหนุ่มอย่าง ณิน กับคิม ต้องจ้องมองกันจนแทบตาไม่กระพริบ เป็นรุ่นพี่ หนุ่มรูปร่างสมส่วน ในตาสดใสเป็นประกาย นี่ขนาดผู้ชายด้วยกันยังรู้สึกถูกสะกดด้วยแววตาและรอยยิ้มนั้น ถ้าเป็นผู้หญิงจะครั่งไคล้ขนาดไหน
“คือผมมาสายน่ะครับ รุ่นพี่ที่กำลังพูดอยู่สั่งให้ยืนรอที่ตรงนี้น่ะครับ ....” คิมตอบด้วยอาการรนลาน
“เข้าไปนั่งเถอะ ไม่ต้องกลัวพี่นี่ล่ะประธานนักศึกษาสาขานี้ ใหญ่ที่สุดในนี้แล้ว” คำพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรจากรุ่นพี่สุดหล่อ
ทั้งสองคนเดินตามหลังรุ่นพี่หนุ่มคนนั้นไปแล้วไปนั่งที่ท้ายหอประชุม รายละเอียดการพูดคุยของรุ่นพี่ในวันนี้เป็นการปฏิบัติตัวในการเรียนสาขานี้ และยังได้นัดหมายการเข้าค่ายรับน้องที่จะมีขึ้นในวันสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ........
ทางเดินเล็กๆระหว่างอาคาร
“เลิกเรียนคาบบ่ายนี้ จะกลับบ้านเลยเปล่าวะ” คิมพูดขึ้นขณะที่ทั้งสองกำลังจะเดินไปเรียนในช่วงบ่ายของวันนี้
“อื้ม...จะไปไหนวะกูยังไม่รู้เส้นทางในกรุงเทพเลย ..” ณินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ได้ไงวะ อ่ะทำกูโดนลงโทษไปด้วย เลี้ยงข้าวขอโทษกูสักมื้อไม่ได้หรอวะ” คิมพูดด้วยน้ำเสียงโมโห
“...ว่างใช่ไหมเดี๋ยวพี่ พาไปกินเอง...” ทั้งสองคนหันกลับไปมองตามเสียงที่ดังมาจากทางด้านหลัง ยังไม่ทันที่จะมีใครพูดอะไร “โอเคนะ เดี๋ยวมื้อนี้พี่เป็นเจ้ามือเลี้ยงเอง เราอยู่สาขาเดียวกันแล้วก็ควรจะรู้จักกันไว้ ตอนเย็นมารอพี่ที่หน้าคณะนะ....อย่าเบี้ยวนัดกันล่ะ เดี๋ยวพี่ไปเรียนก่อนนะ” แล้วรุ่นพี่สุดหล่อก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งนำหน้าทั้งสองคนไป ทิ้งไว้แต่ความสงสัยปรากฎเต็มใบหน้าของทั้งสองคน ...... >>>> โปรดติดตามตอนต่อไป
...... “ขอบคุณนะที่ให้พี่มาส่ง ..... จะไม่ชวนพี่เข้าบ้านหน่อยหรอ”
หนุ่มน้อยยืนยิ้มกริ่มใบหน้าแดง ไม่มีเสียงคำตอบใดแต่ดูเหมือนว่า รุ่นพี่สุดหล่อจะเข้าใจดี เขาเดินตามหนุ่มน้อย มาจนถึงห้องรับแขก .......
“อยู่คนเดียวหรอ บ้านน่าอยู่จัง ถ้าจะมาบ่อยๆ เจ้าของบ้านจะรำคาญไหมหนอ...”...>>>>>