“ผณิน” จะรักนายให้หายแค้น ตอนที่ 3
พิธีบายศรีสู่ขวัญนักศึกษาใหม่เริ่มขึ้นในค่ำคืนที่นักศึกษามาถึงจุดหมาย
เสียงดนตรีพื้นบ้านดังขึ้น เป็นทำนองเนิบช้าไพเราะ แฝงไปด้วยความเข้มขลังอย่างบอกไม่ถูก เป็นเพลงที่ผณินไม่เคยได้ยินมาก่อน ความเย็นซ่านอย่างประหลาดแทรกเข้ามาภายในจิตใจของเขา ขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินกับเสียงดนตรี
“กรี๊ด..........!!!!!!!!” เสียงกรีดร้องไม่ทราบที่มาดังขึ้น
พลันมีเสียงดนตรีประหลาดแทรกเข้ามาเสียงบาดลึกเข้าไปในความรู้สึก ผณินรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก เขามองไปรอบๆ สถานที่จัดพิธีนั้น แต่ไม่พบความผิดปกติใด ทุกคนยังคงนั่งนิ่งชมพิธีที่เห็นตรงหน้า
“คิม ... ได้ยินอะไรไหม”
“อะไรของ ก็เสียงเพลงนี่ไง” คิมหันต์มองหน้าเจ้าของคำถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ก็เสียงคนกรีดร้องไง...ดังมากๆ เลยนะ” ผณินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อย่าๆ มาอำกูก็รู้กูกลัวผีนะเว้ย...” คิมหันต์ตอบกลับ
ก่อนที่ผณินจะนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เพราะเรื่องราวที่เขาเจอมานี้ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกๆ เรื่องแรกที่เกิดขึ้นกับเขา แต่ความรู้สึกกลัวนี้เขาจำได้ดีมันเกิดขึ้นเป้นครั้งที่สอง ครั้งแรกในรถของพี่มังกร
ผณินนั่งนิ่งตัวชาอีกครั้ง .....
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา ผู้คนที่หน้าตาไม่คุ้นเคย แต่งกายแบบโบราณ เดินไปมาเต็มทั่วบริเวณ จากพิธีสู่ขวัญธรรมดาเมื่อครู่มันดูไม่ธรรมดาอีกแล้ว ภายในพิธีนี้ดูเป็นพิธีที่ใหญ่โต ในห้องประชุมเมื่อครู่ ก็กลายเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา เสาทุกต้นในที่นี้แกะสลักเป็นลวดลายพญานาคสวยงามประดับตกแต่งด้วยอัญมณี มีผ้าม่านบางๆ ห้อยระย้าไปทั่วบริเวณ ต้นบายศรีกลางพิธีไม่เพียงเป็นบายศรีธรรมดาอย่างที่เคยเห็น กลีบบายศรีมีลักษณะเป็นแก้วใส เปล่งรัศมีเป็นสีต่างเมื่อต้องกับแสงไฟในโถงพิธี พ่อครูที่สู่ขวัญ ตอนนี้แต่งกายด้วยชุดขาวมีลูกประคำสีขาวคล้ายไข่มุกสะพายเฉียงคล้ายพราห์ม นั่งเป็นผู้ประกอบพิธี เบื้องหน้าพราห์มผู้นั้น เห็นเป็นที่นั่งที่ยกสูงจากพื้นเพียงระดับศรีษะของผู้คนที่ยืนอยู่ ปรากฏเป็นชายหนุ่มวัยกลางคนรูปร่างกำยำ ศรีหน้าสงบนิ่งเปี่ยมเมตตา ทรงเครื่องอาภรณ์สีขาวอย่างวิจิตร ประดับไปด้วยเพชรนิลจินดามากมาย เคียงข้างบัลลังก์ซ้ายขวา มีหญิงสาวที่สวยงามราวภาพวาดของนางในวรรณคดี ทรงอาภรณ์สวยงาม มีนางบริวารนั่งเรียงรายเป็นทิวแถว
“พระวิษธรเทวนาค...เสด็จ....”
จากเสียงบอกขานจากนายทวารบาลผู้เฝ้าประตูบานใหญ่ ทำให้ทุกคนในพิธีดูตื่นตัวขึ้น ทุกคนมองหน้าแล้วยิ้มแย้มให้กัน พร้อมกับมองไปที่ประตูบานใหญ่ ปรากฏเป็นร่างชายหนุ่มรูปงาม ทรงเครื่องด้วยสีขาวเครื่องประดับเป็นเงินที่มีประกายดุจสีรุ้ง เกล้ามวยผมมีปิ่นที่ทำจากเงินสองอันปักอยู่ แซมกับผมสีดำสนิทเมื่อต้องแสงไฟเป็นประกายสีเขียวทองคล้ายปีกแมลงทับ แผงอกหนา ร่างกายกำยำ ใบหน้าเรียวขาวซีด นัยตาสีขาว เป็นประกาย จมูกเป็นสันรับกับ ริมฝีปากหนาสีแดงชาด หยุดยืนแย้มสรวญเผยให้เห็นฟันสีขาวเป็นประกายราวไข่มุกเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ ประหนึ่งเป็นบุคคลในเทพนิยาย
ลักษณะต่างๆ ที่ผณินได้เห็นในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คน หรื่อสถานที่ ดูราวกับตนเองได้หลุดเข้ามาในเทพนิยาย เขาครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนเองได้พบในขณะนี้ ภาพต่างๆที่ได้เห็นเป็นภาพฉายเช่นเดียวกับภาพยนต์ ที่ตนเองอยู่ในเหตุการณ์สามารถรับรู้ เสียงผู้คน กระทั่งกลิ่นธูปควันเทียงเครื่องหอมต่างๆ หรือแม้แต่ความร้อนเย็นที่ปรากฏก็สามารถสัมผัสได้ เสมือนตนเองเป็นคนในภพภูมินี้ เพียงแต่ว่าผู้คนเดินผ่านไปมามากมายเหมือนจะไม่มีใครที่มองเห็นเขา
“นครเศวตนาค...” ความรู้สึกในใจของผณินบอก ไม่นานเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มปรากฏชัดในใจของเขา นาคพิภพแห่งนี้มีลักษณะภูมิฐานเหมือนกับเมืองมนุษย์ทุกประการ นาคพิภพนี้มิได้ตั้งอยู่ในบาดาลหากแต่อยู่บนผืนแผ่นดิน มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ประดับด้วยทิวทงสวยงามเรียงเป็นแถว หน้าประตูเมือง มีพญานานาคตัวใหญ่ขดเป็นซุ้มประตู สองตนเฝ้าอยู่ ภายนอกประตูนั้นเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา พื้นแผ่นดินในเมืองนั้นโปรยปรายด้วยทรายอ่อนสีขาวสะอาด สภาพบ้านเมืองนั้นเรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ ใจกลางเมืองเป็นมหาปราสาทห้ายอดสูงเสีดฟ้า ยอดปราสาททั้งห้าปรากฏเป็นแก้วมณีขนาดใหญ่เปล่งรัศมีสว่างเย็นทำให้เมืองนาคแห่งนี้ไม่มีเวลายามราตรีอันมืดมิด ผู้ปกครองนาคพิภพแห่งนี้คือ “เจ้าเศวตนาคราช” (แปลว่าพญานาคผู้มีผิวกายสีขาว) เจ้าเศวตนาคราช เป็นนาคเทพบุตรที่มีบารมีสูงมาก และมีทิพยสมบัติตามฐานะโดยบารมี บริวารนับพันพร้อมพรั่ง และมีเหล่านาคาน้อยใหญ่มาพึ่งบารมีอย่างมากมาย ทำให้นาคพิภพแห่งนี้ดูคึกคักตลอดเวลา
ขณะที่ผณินกำลังอยู่ในภวังค์ ของเรื่องราวแปลกประหลาดที่เข้ามาในความคิดของเขา ก็ต้องตกใจ สะดุ้ง เมื่อภาพชายหนุ่มรูปงามมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขา สายตาปะทะสายตา “มาแล้วหรือ ข้ากำลังรอเจ้าอยู่เลย
ผณินนาคเทพบุตร.....”
.............................................
“เฮ้ย..!! ณินๆ ......ณินๆ”
ผณินรู้สึกตัวว่ามีเสียงของคนที่เขาคุ้นเคยเรียกเขาอยู่ .... ไม่นานภาพที่ปรากฏต่อหน้าก็เลือนหายไปพร้อมกับค่อยๆ ลืมตา พบกับผู้คนสี่ห้าคนที่รุมล้อมเขาอยู่
“ไอ้คิม...” ณินเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาๆ พร้อมแสดงสีหน้าเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน
“เป็นอะไรรึเปล่า...” คิมหันต์ถามด้วยอาการเป็นห่วง
ผณินยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “เป็นอะไร..???” เขาค่อยๆ ได้สติและคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งภาพจำต่างๆ ยังคงเด่นชัดในความรู้สึกของเขา แต่แปลกที่ร่างกายเหมือนกับคนเหนื่อยล้า แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะส่งเสียงพูด
“มาเดี๋ยวพี่พาไปส่งที่ห้องพักก่อนนะ...”
คิมหัน กลับไปมองที่ต้นเสียงนั้น “พี่กร..” สองคนได้สบตากัน คิมได้แต่บ่ายหน้าไม่กล้าสบตามังกรอย่างที่เคย แต่ดูเหมือนว่ามังกรจะไม่ได้มีอาการที่ผิดแปลกไปจากเดิม
มังกรมองหน้าคิมพร้อมพูดขึ้น “คิมอยู่ร่วมกิจกรรมอยู่นี่แหละเดี๋ยวพี่ดูแลณินให้เองนะ...”
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากของคิมหันต์ เขาได้แต่มองมังกรที่กำลังค่อยๆประคองณินออกไปจากห้องประชุม .....
ที่ห้องพัก .... เป็นห้องพักเล็กๆ ที่อยู่ติดเรียงรายกันหลายห้องในอาคารสี่ชั้น ภายในห้องมีเตียงนอนสองเตียงคู่กัน
มังกรค่อยๆ ประคองณินลงนอน ซึ่งตอนนี้ดูท่าทางจะอิดโรย จนไม่มีแรงยืน เขาค่อยๆโน้มตัวลงนอนโดยมีกรช่วยประคองอยู่ไม่ห่าง
“เป็นอะไรไปเนี้ย...ไม่สบายทำไมไม่บอกกัน ดูซิปล่อยให้เป็นหนักถึงขนาดนี้..” กรพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น พร้อมรอยยิ้มมุมปากแสดงถึงความเอ็นดู ทันทีที่ณินทิ้งตัวลงนอนก็หลับไปด้วยความอ่อนล้า เด็กหนุ่มที่น่ารักแม้แต่ยามนอน ทำให้มังกรเกิดความรู้สึกหวั่นไหว เขานั่งอยู่บนเตียงข้างๆณิน ใช้มือของเขาปัดเส้นผมที่ลงมาปิดใบหน้าหนุ่มน้อยอย่างเบามือ มังกรโน้มตัวลง ใบหน้าของเขาจนจะติดกับใบหน้าของณิน
“ฟู่ๆๆๆๆ....”
เสียงบางอย่างดังขึ้นจากไม่ไกลตัวของมังกรนัก
“งู...เฮ้ยๆ...!!!” มังกรอุทานด้วยความตกใจ เขาลุกออกจากเตียงด้วยความรวดเร็ว ร้องตะโกนเสียงดัง จนเพื่อนรุ่นพี่ และผู้ดูแลที่พักบริเวณนั้นได้ยินและรีบวิ่งมา กรเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง และช่วยกันค้นหางูตัวนั้น แต่ปรากฏว่าไม่พบแต่อย่างใด ในขณะที่ผณินยังนอนไม่ได้สติอยู่
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายเรื่องงู ในห้องพักของผณินจบลง รุ่นพี่และผู้ดูแลต่างแยกย้ายกันออกไป ปล่อยให้เขาได้นอนพัก ไม่นานนักมีสายลมเอื่อยๆพัดโชยจากหน้าต่างเข้ามา มันทำผณินรู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด จากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่มี ก็รู้สึกได้ถึงกำลังเรี่ยวแรงที่กลับคืนมา เข้าเริ่มรู้สึกตัวขึ้นพร้อมกับรู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ข้างกายเขา
ผณินค่อยๆ ลืมตาขึ้น “หลวงปู่..!!” เขาอุทานด้วยความแปลกใจ แล้วรีบลุกจากเตียงนอนมาคุกเข่ากราบหลวงปู่ ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูด
“เอาล่ะ อาตมามีเวลาไม่มาก โยมอย่าเพิ่งถามอะไรอาตมาเลย ฟังที่อาตมาจะพูดก่อน เรื่องราวประหลาดเมื่อกลางวันที่โยมได้รู้ได้เห็น โยมอย่าเอามาเป็นอารณ์เลยไม่ต้องสงสัย จงรู้ก็สักแต่ว่ารู้ จงเห็นก็สักแต่ว่าเห็น แล้วความเป็นไปเป็นมาทั้งหมดโยมจะรู้เอง ..... โยมเกิดมามีความสามารถพิเศษอันนี้คงรู้นะ พร้อมกับหน้าที่ อย่าเพิ่งสงสัยเอามาเป็นเรื่องกังวลเลยเมื่อถึงเวลาโยมจะรู้ทุกอย่างเอง ......”
พระเฒ่าท่าทางเปี่ยมด้วยเมตาในท่วงทีกริยาสงบนิ่ง ล้วงมือเข้าไปในย่ามพร้อมหยิบสมุดเล่มเก่าออกมาส่งให้ผณิน “เอ้าลองเปิดดูสิ..”
ผณินรับสมุดพร้อมค่อยๆ เปิดสมุดอย่างเบามือ ภายในสมุดเป็นอักษรไทยที่เขียนเป็นภาษาบาลีอย่างวิจิตรบรรจง “เป็นบทสวดอะไรหรือครับหลวงปู่”
หลวงปู่อธิบายต่อว่า “
ขันธปริตร** เป็นบทสวดที่ป้องกันภัยอันตรายจากจากสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ “งู” เมื่อจะสวดพระคาถานี้ให้ดยมสวดมนต์ละลึกคุณพระรัตนไตรเสียก่อน แล้วจึงทำใจให้สงบนิ่งเป็นเมตา แล้วจึงว่าพระคาถานั้นให้ขึ้นใจ มันจะมีประโยชน์กับโยมต่อไปในอนาคต”
ผณินรับและก้มลงกราบหลวงปู่อีกครั้ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งภาพของพระผู้เปี่ยมเมตาก็เลือนหายไปแล้ว ผณินออกจะไม่แปลกใจเท่าใดนักเพราะตั้งแต่เด็กมาเขาเองก็เจอเรื่องแปลกๆ ทำนองนี้อยู่บ่อยครั้ง เขาเลื่อนตัวขึ้นไปนั่งบนเตียงพร้อมกับเปิดสมุดเล่มเก่าในมือดูอีกครั้ง และอ่านบทสวดมนต์นั้นด้วยความตั้งใจ .. .
................................................
...................................................................................................................................................................................................
**ขันธปริตร
สำหรับประวัติของพระปริตรนี้มีอยู่ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี มีภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัด เหล่าภิกษุจึงได้กราบทูลเรื่องนี้ พระพุทธองค์ตรัสว่า ที่ภิกษุดังกล่าวถูกงูกัดเพราะไม่ได้แผ่เมตตาแก่พญางูทั้ง 4 ตระกูล คืองูตระกูลวิรูปักษ์ งูตระกูลเอราบถ งูตระกูลฉัพยาบุตร และงูตระกูลกัณหาโคมดม แล้วตรัสสอนให้แผ่เมตตางูทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งก็คือคาถาขันธปริตรนั่นเอง
เนื้อความในอหิสูตร หรืออหิราชสูตรกล่าวถึงที่มาของขันธปริตร ไว้ดังนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งในกรุงสาวัตถีถูกงูกัด ทำกาละแล้ว ครั้งนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุรูปหนึ่งในเมืองสาวัตถีนี้ถูกงูกัด ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุนั้นชะรอยจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง 4 เป็นแน่ ก็ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง 4 ไซร้ เธอก็ไม่พึงถูกงูกัดทำกาละ ตระกูลพญางู 4เป็นไฉน คือ ตระกูลพญางูชื่อวิรูปักขะ 1 ตระกูลพญางูชื่อเอราปถะ 1 ตระกูลพญางูชื่อฉัพยาปุตตะ 1 ตระกูลพญางูชื่อกัณหาโคตมกะ 1 ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุนั้นชะรอยจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางู 4 จำพวกนี้เป็นแน่ ก็ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาไปยังตระกูลพญางูทั้ง 4 นี้ไซร้ เธอก็ไม่พึงถูกงูกัดทำกาละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุแผ่เมตตาจิตไปยังตระกูลพญางู 4 จำพวกนี้เพื่อคุ้มครองตน เพื่อรักษาตน เพื่อป้องกันตน
ขณะที่อรรถกถาชาดก ยังมีตัวบทเอ่ยถึงที่ของขันธปริตรเช่นกัน โดยเรื่องมีอยู่ว่า ภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัด พระพุทธองค์ตรัสว่า ตถาคตเคยสอนขันธปริตรเมื่อครั้งที่ยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นฤๅษีที่ป่าหิมพานต์ได้พำนักอยู่ร่วมกับฤๅษีเป็นอันมาก ขณะนั้นมีฤๅษีตนหนึ่งถูกงูกัดเสียชีวิต จึงสอนขันธปริตรแก่พวกฤๅษีเพื่อป้องกันภัยจากอสรพิษ
ที่มา :
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3
“ผณิน” จะรักนายให้หายแค้น ตอนที่ 3 [ช/ช]
พิธีบายศรีสู่ขวัญนักศึกษาใหม่เริ่มขึ้นในค่ำคืนที่นักศึกษามาถึงจุดหมาย
เสียงดนตรีพื้นบ้านดังขึ้น เป็นทำนองเนิบช้าไพเราะ แฝงไปด้วยความเข้มขลังอย่างบอกไม่ถูก เป็นเพลงที่ผณินไม่เคยได้ยินมาก่อน ความเย็นซ่านอย่างประหลาดแทรกเข้ามาภายในจิตใจของเขา ขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินกับเสียงดนตรี
“กรี๊ด..........!!!!!!!!” เสียงกรีดร้องไม่ทราบที่มาดังขึ้น
พลันมีเสียงดนตรีประหลาดแทรกเข้ามาเสียงบาดลึกเข้าไปในความรู้สึก ผณินรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก เขามองไปรอบๆ สถานที่จัดพิธีนั้น แต่ไม่พบความผิดปกติใด ทุกคนยังคงนั่งนิ่งชมพิธีที่เห็นตรงหน้า
“คิม ... ได้ยินอะไรไหม”
“อะไรของ ก็เสียงเพลงนี่ไง” คิมหันต์มองหน้าเจ้าของคำถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ก็เสียงคนกรีดร้องไง...ดังมากๆ เลยนะ” ผณินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อย่าๆ มาอำกูก็รู้กูกลัวผีนะเว้ย...” คิมหันต์ตอบกลับ
ก่อนที่ผณินจะนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เพราะเรื่องราวที่เขาเจอมานี้ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกๆ เรื่องแรกที่เกิดขึ้นกับเขา แต่ความรู้สึกกลัวนี้เขาจำได้ดีมันเกิดขึ้นเป้นครั้งที่สอง ครั้งแรกในรถของพี่มังกร
ผณินนั่งนิ่งตัวชาอีกครั้ง .....
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา ผู้คนที่หน้าตาไม่คุ้นเคย แต่งกายแบบโบราณ เดินไปมาเต็มทั่วบริเวณ จากพิธีสู่ขวัญธรรมดาเมื่อครู่มันดูไม่ธรรมดาอีกแล้ว ภายในพิธีนี้ดูเป็นพิธีที่ใหญ่โต ในห้องประชุมเมื่อครู่ ก็กลายเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา เสาทุกต้นในที่นี้แกะสลักเป็นลวดลายพญานาคสวยงามประดับตกแต่งด้วยอัญมณี มีผ้าม่านบางๆ ห้อยระย้าไปทั่วบริเวณ ต้นบายศรีกลางพิธีไม่เพียงเป็นบายศรีธรรมดาอย่างที่เคยเห็น กลีบบายศรีมีลักษณะเป็นแก้วใส เปล่งรัศมีเป็นสีต่างเมื่อต้องกับแสงไฟในโถงพิธี พ่อครูที่สู่ขวัญ ตอนนี้แต่งกายด้วยชุดขาวมีลูกประคำสีขาวคล้ายไข่มุกสะพายเฉียงคล้ายพราห์ม นั่งเป็นผู้ประกอบพิธี เบื้องหน้าพราห์มผู้นั้น เห็นเป็นที่นั่งที่ยกสูงจากพื้นเพียงระดับศรีษะของผู้คนที่ยืนอยู่ ปรากฏเป็นชายหนุ่มวัยกลางคนรูปร่างกำยำ ศรีหน้าสงบนิ่งเปี่ยมเมตตา ทรงเครื่องอาภรณ์สีขาวอย่างวิจิตร ประดับไปด้วยเพชรนิลจินดามากมาย เคียงข้างบัลลังก์ซ้ายขวา มีหญิงสาวที่สวยงามราวภาพวาดของนางในวรรณคดี ทรงอาภรณ์สวยงาม มีนางบริวารนั่งเรียงรายเป็นทิวแถว
“พระวิษธรเทวนาค...เสด็จ....”
จากเสียงบอกขานจากนายทวารบาลผู้เฝ้าประตูบานใหญ่ ทำให้ทุกคนในพิธีดูตื่นตัวขึ้น ทุกคนมองหน้าแล้วยิ้มแย้มให้กัน พร้อมกับมองไปที่ประตูบานใหญ่ ปรากฏเป็นร่างชายหนุ่มรูปงาม ทรงเครื่องด้วยสีขาวเครื่องประดับเป็นเงินที่มีประกายดุจสีรุ้ง เกล้ามวยผมมีปิ่นที่ทำจากเงินสองอันปักอยู่ แซมกับผมสีดำสนิทเมื่อต้องแสงไฟเป็นประกายสีเขียวทองคล้ายปีกแมลงทับ แผงอกหนา ร่างกายกำยำ ใบหน้าเรียวขาวซีด นัยตาสีขาว เป็นประกาย จมูกเป็นสันรับกับ ริมฝีปากหนาสีแดงชาด หยุดยืนแย้มสรวญเผยให้เห็นฟันสีขาวเป็นประกายราวไข่มุกเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ ประหนึ่งเป็นบุคคลในเทพนิยาย
ลักษณะต่างๆ ที่ผณินได้เห็นในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คน หรื่อสถานที่ ดูราวกับตนเองได้หลุดเข้ามาในเทพนิยาย เขาครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนเองได้พบในขณะนี้ ภาพต่างๆที่ได้เห็นเป็นภาพฉายเช่นเดียวกับภาพยนต์ ที่ตนเองอยู่ในเหตุการณ์สามารถรับรู้ เสียงผู้คน กระทั่งกลิ่นธูปควันเทียงเครื่องหอมต่างๆ หรือแม้แต่ความร้อนเย็นที่ปรากฏก็สามารถสัมผัสได้ เสมือนตนเองเป็นคนในภพภูมินี้ เพียงแต่ว่าผู้คนเดินผ่านไปมามากมายเหมือนจะไม่มีใครที่มองเห็นเขา
“นครเศวตนาค...” ความรู้สึกในใจของผณินบอก ไม่นานเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มปรากฏชัดในใจของเขา นาคพิภพแห่งนี้มีลักษณะภูมิฐานเหมือนกับเมืองมนุษย์ทุกประการ นาคพิภพนี้มิได้ตั้งอยู่ในบาดาลหากแต่อยู่บนผืนแผ่นดิน มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ประดับด้วยทิวทงสวยงามเรียงเป็นแถว หน้าประตูเมือง มีพญานานาคตัวใหญ่ขดเป็นซุ้มประตู สองตนเฝ้าอยู่ ภายนอกประตูนั้นเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา พื้นแผ่นดินในเมืองนั้นโปรยปรายด้วยทรายอ่อนสีขาวสะอาด สภาพบ้านเมืองนั้นเรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ ใจกลางเมืองเป็นมหาปราสาทห้ายอดสูงเสีดฟ้า ยอดปราสาททั้งห้าปรากฏเป็นแก้วมณีขนาดใหญ่เปล่งรัศมีสว่างเย็นทำให้เมืองนาคแห่งนี้ไม่มีเวลายามราตรีอันมืดมิด ผู้ปกครองนาคพิภพแห่งนี้คือ “เจ้าเศวตนาคราช” (แปลว่าพญานาคผู้มีผิวกายสีขาว) เจ้าเศวตนาคราช เป็นนาคเทพบุตรที่มีบารมีสูงมาก และมีทิพยสมบัติตามฐานะโดยบารมี บริวารนับพันพร้อมพรั่ง และมีเหล่านาคาน้อยใหญ่มาพึ่งบารมีอย่างมากมาย ทำให้นาคพิภพแห่งนี้ดูคึกคักตลอดเวลา
ขณะที่ผณินกำลังอยู่ในภวังค์ ของเรื่องราวแปลกประหลาดที่เข้ามาในความคิดของเขา ก็ต้องตกใจ สะดุ้ง เมื่อภาพชายหนุ่มรูปงามมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขา สายตาปะทะสายตา “มาแล้วหรือ ข้ากำลังรอเจ้าอยู่เลย ผณินนาคเทพบุตร.....”
“เฮ้ย..!! ณินๆ ......ณินๆ”
ผณินรู้สึกตัวว่ามีเสียงของคนที่เขาคุ้นเคยเรียกเขาอยู่ .... ไม่นานภาพที่ปรากฏต่อหน้าก็เลือนหายไปพร้อมกับค่อยๆ ลืมตา พบกับผู้คนสี่ห้าคนที่รุมล้อมเขาอยู่
“ไอ้คิม...” ณินเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาๆ พร้อมแสดงสีหน้าเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน
“เป็นอะไรรึเปล่า...” คิมหันต์ถามด้วยอาการเป็นห่วง
ผณินยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “เป็นอะไร..???” เขาค่อยๆ ได้สติและคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งภาพจำต่างๆ ยังคงเด่นชัดในความรู้สึกของเขา แต่แปลกที่ร่างกายเหมือนกับคนเหนื่อยล้า แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะส่งเสียงพูด
“มาเดี๋ยวพี่พาไปส่งที่ห้องพักก่อนนะ...”
คิมหัน กลับไปมองที่ต้นเสียงนั้น “พี่กร..” สองคนได้สบตากัน คิมได้แต่บ่ายหน้าไม่กล้าสบตามังกรอย่างที่เคย แต่ดูเหมือนว่ามังกรจะไม่ได้มีอาการที่ผิดแปลกไปจากเดิม
มังกรมองหน้าคิมพร้อมพูดขึ้น “คิมอยู่ร่วมกิจกรรมอยู่นี่แหละเดี๋ยวพี่ดูแลณินให้เองนะ...”
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากของคิมหันต์ เขาได้แต่มองมังกรที่กำลังค่อยๆประคองณินออกไปจากห้องประชุม .....
ที่ห้องพัก .... เป็นห้องพักเล็กๆ ที่อยู่ติดเรียงรายกันหลายห้องในอาคารสี่ชั้น ภายในห้องมีเตียงนอนสองเตียงคู่กัน
มังกรค่อยๆ ประคองณินลงนอน ซึ่งตอนนี้ดูท่าทางจะอิดโรย จนไม่มีแรงยืน เขาค่อยๆโน้มตัวลงนอนโดยมีกรช่วยประคองอยู่ไม่ห่าง
“เป็นอะไรไปเนี้ย...ไม่สบายทำไมไม่บอกกัน ดูซิปล่อยให้เป็นหนักถึงขนาดนี้..” กรพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น พร้อมรอยยิ้มมุมปากแสดงถึงความเอ็นดู ทันทีที่ณินทิ้งตัวลงนอนก็หลับไปด้วยความอ่อนล้า เด็กหนุ่มที่น่ารักแม้แต่ยามนอน ทำให้มังกรเกิดความรู้สึกหวั่นไหว เขานั่งอยู่บนเตียงข้างๆณิน ใช้มือของเขาปัดเส้นผมที่ลงมาปิดใบหน้าหนุ่มน้อยอย่างเบามือ มังกรโน้มตัวลง ใบหน้าของเขาจนจะติดกับใบหน้าของณิน
“ฟู่ๆๆๆๆ....”
เสียงบางอย่างดังขึ้นจากไม่ไกลตัวของมังกรนัก
“งู...เฮ้ยๆ...!!!” มังกรอุทานด้วยความตกใจ เขาลุกออกจากเตียงด้วยความรวดเร็ว ร้องตะโกนเสียงดัง จนเพื่อนรุ่นพี่ และผู้ดูแลที่พักบริเวณนั้นได้ยินและรีบวิ่งมา กรเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง และช่วยกันค้นหางูตัวนั้น แต่ปรากฏว่าไม่พบแต่อย่างใด ในขณะที่ผณินยังนอนไม่ได้สติอยู่
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายเรื่องงู ในห้องพักของผณินจบลง รุ่นพี่และผู้ดูแลต่างแยกย้ายกันออกไป ปล่อยให้เขาได้นอนพัก ไม่นานนักมีสายลมเอื่อยๆพัดโชยจากหน้าต่างเข้ามา มันทำผณินรู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด จากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่มี ก็รู้สึกได้ถึงกำลังเรี่ยวแรงที่กลับคืนมา เข้าเริ่มรู้สึกตัวขึ้นพร้อมกับรู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ข้างกายเขา
ผณินค่อยๆ ลืมตาขึ้น “หลวงปู่..!!” เขาอุทานด้วยความแปลกใจ แล้วรีบลุกจากเตียงนอนมาคุกเข่ากราบหลวงปู่ ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูด
“เอาล่ะ อาตมามีเวลาไม่มาก โยมอย่าเพิ่งถามอะไรอาตมาเลย ฟังที่อาตมาจะพูดก่อน เรื่องราวประหลาดเมื่อกลางวันที่โยมได้รู้ได้เห็น โยมอย่าเอามาเป็นอารณ์เลยไม่ต้องสงสัย จงรู้ก็สักแต่ว่ารู้ จงเห็นก็สักแต่ว่าเห็น แล้วความเป็นไปเป็นมาทั้งหมดโยมจะรู้เอง ..... โยมเกิดมามีความสามารถพิเศษอันนี้คงรู้นะ พร้อมกับหน้าที่ อย่าเพิ่งสงสัยเอามาเป็นเรื่องกังวลเลยเมื่อถึงเวลาโยมจะรู้ทุกอย่างเอง ......”
พระเฒ่าท่าทางเปี่ยมด้วยเมตาในท่วงทีกริยาสงบนิ่ง ล้วงมือเข้าไปในย่ามพร้อมหยิบสมุดเล่มเก่าออกมาส่งให้ผณิน “เอ้าลองเปิดดูสิ..”
ผณินรับสมุดพร้อมค่อยๆ เปิดสมุดอย่างเบามือ ภายในสมุดเป็นอักษรไทยที่เขียนเป็นภาษาบาลีอย่างวิจิตรบรรจง “เป็นบทสวดอะไรหรือครับหลวงปู่”
หลวงปู่อธิบายต่อว่า “ขันธปริตร** เป็นบทสวดที่ป้องกันภัยอันตรายจากจากสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ “งู” เมื่อจะสวดพระคาถานี้ให้ดยมสวดมนต์ละลึกคุณพระรัตนไตรเสียก่อน แล้วจึงทำใจให้สงบนิ่งเป็นเมตา แล้วจึงว่าพระคาถานั้นให้ขึ้นใจ มันจะมีประโยชน์กับโยมต่อไปในอนาคต”
ผณินรับและก้มลงกราบหลวงปู่อีกครั้ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งภาพของพระผู้เปี่ยมเมตาก็เลือนหายไปแล้ว ผณินออกจะไม่แปลกใจเท่าใดนักเพราะตั้งแต่เด็กมาเขาเองก็เจอเรื่องแปลกๆ ทำนองนี้อยู่บ่อยครั้ง เขาเลื่อนตัวขึ้นไปนั่งบนเตียงพร้อมกับเปิดสมุดเล่มเก่าในมือดูอีกครั้ง และอ่านบทสวดมนต์นั้นด้วยความตั้งใจ .. .
...................................................................................................................................................................................................
**ขันธปริตร
สำหรับประวัติของพระปริตรนี้มีอยู่ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี มีภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัด เหล่าภิกษุจึงได้กราบทูลเรื่องนี้ พระพุทธองค์ตรัสว่า ที่ภิกษุดังกล่าวถูกงูกัดเพราะไม่ได้แผ่เมตตาแก่พญางูทั้ง 4 ตระกูล คืองูตระกูลวิรูปักษ์ งูตระกูลเอราบถ งูตระกูลฉัพยาบุตร และงูตระกูลกัณหาโคมดม แล้วตรัสสอนให้แผ่เมตตางูทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งก็คือคาถาขันธปริตรนั่นเอง
เนื้อความในอหิสูตร หรืออหิราชสูตรกล่าวถึงที่มาของขันธปริตร ไว้ดังนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งในกรุงสาวัตถีถูกงูกัด ทำกาละแล้ว ครั้งนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุรูปหนึ่งในเมืองสาวัตถีนี้ถูกงูกัด ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุนั้นชะรอยจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง 4 เป็นแน่ ก็ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง 4 ไซร้ เธอก็ไม่พึงถูกงูกัดทำกาละ ตระกูลพญางู 4เป็นไฉน คือ ตระกูลพญางูชื่อวิรูปักขะ 1 ตระกูลพญางูชื่อเอราปถะ 1 ตระกูลพญางูชื่อฉัพยาปุตตะ 1 ตระกูลพญางูชื่อกัณหาโคตมกะ 1 ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุนั้นชะรอยจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางู 4 จำพวกนี้เป็นแน่ ก็ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาไปยังตระกูลพญางูทั้ง 4 นี้ไซร้ เธอก็ไม่พึงถูกงูกัดทำกาละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุแผ่เมตตาจิตไปยังตระกูลพญางู 4 จำพวกนี้เพื่อคุ้มครองตน เพื่อรักษาตน เพื่อป้องกันตน
ขณะที่อรรถกถาชาดก ยังมีตัวบทเอ่ยถึงที่ของขันธปริตรเช่นกัน โดยเรื่องมีอยู่ว่า ภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัด พระพุทธองค์ตรัสว่า ตถาคตเคยสอนขันธปริตรเมื่อครั้งที่ยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นฤๅษีที่ป่าหิมพานต์ได้พำนักอยู่ร่วมกับฤๅษีเป็นอันมาก ขณะนั้นมีฤๅษีตนหนึ่งถูกงูกัดเสียชีวิต จึงสอนขันธปริตรแก่พวกฤๅษีเพื่อป้องกันภัยจากอสรพิษ
ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3