------
ปล.
1.ขออภัย ต้องมี $ มาช่วย
2.สำหรับผู้ที่พลาดชม
...สำนักงานที่เกี่ยวข้องควรทำหน้าที่ได้แล้วนะครับ ปล่อยมานานแล้ว.....
3.ข่าวที่ออกในสำนักพิมพ์ออนไลน์ฉบับหนึ่ง
http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000020281
----
"วัดใจมหาเถรสมาคม "ไพบูลย์" เตรียมส่งเรื่อง "ธัมมชโย" ปาราชิกให้จัดการ หากนิ่งเฉยต้องแก้ พ.ร.บ.สงฆ์"
ประธานคณะกรรมการปฏิรูปศาสนาฯ เตรียมส่งเรื่อง "ธัมมชโย" ปาราชิก ตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชปี 2542 ให้ "มหาเถรสมาคม" จัดการ ชี้เป็นการพิสูจน์ว่าจะนิ่งเฉยเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ ซึ่งหากไม่ทำอะไรต้องทบทวน พ.ร.บ.สงฆ์ 2505 ลั่นเพราะปล่อยเรื่องมาถึงวันนี้จึงเกิดกรณีสหกรณ์คลองจั่นซ้ำรอย ด้าน กก.ที่ปรึกษามูลนิธิเสฐียรโกเศศฯ เตือนพระช่วยหมกเม็ดมีความผิดร้ายแรงด้วยตามกฎของสงฆ์
วันที่ 18 ก.พ. เมื่อเวลา 22.00 น. นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สปช. และ นายสันติสุข โสภณสิริ กรรมการที่ปรึกษามูลนิธิเสฐียรโกเศศ - นาคะประทีป ได้พูดคุยในรายการ "ตอบโจทย์" ทางสถานีโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส ถึงกรณีที่ คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาฯ มีมติให้ พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องปาราชิก ขาดความเป็นพระ ตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชปี 2542
โดยนายไพบูลย์ กล่าวว่า กรณีวัดพระธรรมกายเป็นเรื่องข้องใจของสังคมอย่างยิ่ง ว่าทำไมกลไกต่าง ๆ ที่คุ้มครองพิทักษ์พระพุทธศาสนาถึงไม่ทำงาน ทั้งที่มีเรื่องกระทำผิดผิดร้ายแรง อาบัติถึงขั้นปาราชิก ทั้งที่มีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชว่าต้องปาราชิก 2 ประการ คือ เรื่องบิดเบือนคำสอน ทำให้สงฆ์แตกแยก และเรื่องเอาทรัพย์สินที่คนจะให้วัดโอนเป็นชื่อของตัวเอง ซึ่งวันแรกที่โอนก็ปาราชิกแล้ว โดยสมเด็จพระสังฆราชมีพระลิขิตเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2542 มหาเถรสมาคมก็ประชุมในวันเดียวกัน แต่ออกมติเลี่ยงว่าเป็นเรื่องการจัดการของวัดต่าง ๆ เพราะพระลิขิตไม่ได้ระบุชัดว่าเป็น ธัมมชโย วัดพระธรรมกาย สมเด็จพระสังฆราชจึงมีพระลิขิตอีกฉบับ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2542 คราวนี้ระบุเลยว่าเป็นวัดพระธรรมกาย หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติม สมเด็จพระสังฆราชเลยมีพระลิขิตอีกฉบับอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2542 ทั้งหมด 3 ฉบับ เพื่อยืนยันว่าเกี่ยวกับธัมมชโย มหาเถรสมาคมจึงมีการประชุมวันที่ 10 พ.ค. โดยเอาพระลิขิต 3 ฉบับเข้าที่ประชุม โดยรับทราบพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช และมีมติให้มีผลตามกฎหมาย ซึ่งหลังจากนั้นได้ดำเนินการเฉพาะเรื่องโอนที่ดินคืนวัด ส่วนเรื่องปาราชิกไม่ดำเนินการ จึงเป็นเรื่องที่สังคมข้องใจมาโดยตลอด
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า การไม่ดำเนินการในปี 2542 ทำให้เกิดเหตุขึ้นอีกในปัจจุบัน จากกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่ประธานกรรมการสหกรณ์ฯยักยอกเอาเงินของสมาชิกบริจาคผ่านเช็คของสหกรณ์ฯ ให้แก่วัดพระธรรมกาย 819 ล้านบาท ซึ่งอันนี้ก็เข้าข่ายปาราชิกเช่นกัน ความผิดสำเร็จตั้งแต่ตอนทำผิด พ้นจากการเป็นพระโดยอัตโนมัติ ไม่สามารถกลับคืนมาได้ คืนทรัพย์ก็ไม่พ้นการปาราชิก
โดยทางคณะกรรมการฯ จะยึดเอากรณีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชเป็นหลัก ถ้าทางวัดพระธรรมกายอ้างว่าเป็นพระลิขิตปลอม ตนขอชี้แจงว่าพระลิขิตมีทั้งหมด 5 ฉบับ โดย 2 ฉบับแรกไม่เป็นทางการ แต่ 3 ฉบับหลัง รับรองโดยที่ประชุมของมหาเถรสมาคม มีมติว่านำพระลิขิตทั้ง 3 ฉบับเข้าที่ประชุมพิจารณา เท่ากับรับรองสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งต้องบังคับให้เป็นไปตามที่มติที่ประชุมมหาเถรสมาคม แต่กลับไม่มีการดำเนินการ แถมมีการพูดว่าคืนสมบัติแล้ว ไม่น่าปาราชิกแล้ว
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า การดำเนินการขั้นต่อไป ทั้งหมดต้องกลับที่มหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของสงฆ์ ในเมื่อออกมติแล้วแต่ไม่เกิดผล ก็ต้องมาติดตามด้วย ซึ่งถ้าติดตามจริงคงไม่ปล่อยมาขนาดนี้ แต่ในฐานะที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามาเยอะเราคงต้องทำเรื่องนี้ส่งกลับไปยังมหาเถรสมาคม และทำสำเนาส่งไปยังรัฐบาล หรือนายกฯ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของการปฏิรูป เพราะถ้าปล่อยไว้ เรื่องอื่นที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาก็ไม่สามารถปฏิรูปได้เช่นกัน
หรือหากมหาเถรสมาคมไม่รับเรื่อง ก็ต้องตอบคำถามให้ได้ แล้วช่วงเวลานี้ต่างจากเมื่อก่อน ตอนนี้ประชาชนทนไม่ได้แล้ว ต้องการให้ปฏิรูป ประชาชนตั้งคำถามว่าเรื่องเกิดจากมหาเถรสมาคมหรือไม่ เรื่องนี้จะพิสูจน์ ถ้ามหาเถรสมาคมไม่ทำอะไร ก็ต้องทบทวน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505
ด้าน นายสันติสุข กล่าวว่า ตามกฎของสงฆ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 รศ.121 เรื่องปาราชิก ความจริงแล้วโทษหนักถึงประหารชีวิต แล้วเมื่อพระเก็บงำของเยอะขนาดนี้ ต้องบอกเจ้าคณะว่าเอามาทำไม เป็นของใคร และที่สำคัญคือการบิดเบือนคำสอน อันนี้เป็นอนันตริยกรรม ทำสังคมแตก เกิดสังฆเภท หนักยิ่งกว่าโลกวัชชะ เช่นพวกกินเหล้ายังต้องสึก ส่วนเรื่องการคืนทรัพย์ต้องคืนตามระยะเวลาที่กำหนดในพระวินัย เช่น พระมีบาตรได้ไม่เกิน 1 ใบ หากมีคนมาถวายเพิ่ม จะสามารถลูบคลำได้ไม่เกิน 10 วัน หากไม่คืนจะอาบัติร้ายแรง แล้วที่ดินกอดไว้นานเท่าไหร่ แล้วนี่โอนเป็นชื่อตัวเองด้วย
นายสันติสุข กล่าวด้วยว่า ตนขอเตือนไปยังเถรสมาคมทั้งหลายด้วยว่าการรู้เห็นเป็นใจ ช่วยหมกเม็ด ตามกฎของสงฆ์เท่ากับมีความผิดด้วยเช่นกัน โทษในอดีตคือ ถูกจับสึก เฆี่ยน และสักหน้า แล้วยิ่งกรณีพระธรรมกายไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย เป็นความผิดที่เห็นชัดเจน
ย้อนคดี "ธัมมชโย" ยักยอกทรัพย์ (www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000043814)
สำหรับคดีความของธัมมชโยนั้น ต้นตอเกิดขึ้นเมื่อปี 2541 พระอดิศักดิ์ วิริสโก อดีตพระลูกวัดพระธรรมกาย กล่าวหาพระธัมมชโยว่า ยักยอกเงินและที่ดินที่บรรดาญาติโยมบริจาคให้วัด และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ใกล้ชิดสีกา และอวดอุตริมนุสธรรม ต่อมา กรมที่ดินได้สำรวจพบ พระธัมมชโยมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินและบริษัทที่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายกว่า 400 แปลง เนื้อที่กว่า 2 พันไร่ ใน จังหวัดพิจิตร และเชียงใหม่
มหาเถรสมาคมจึงมอบหมายให้ พระพรหมโมลี เจ้าอาวาสวัดยานนาวา ซึ่งเป็นเจ้าคณะภาค 1 ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งมีข้อสรุปว่า เป็นจริงตามที่ถูกกล่าวหา มหาเถรสมาคม จึงมีมติให้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของเจ้าคณะภาค 1 คือ ให้ปรับปรุงคำสอนของวัดพระธรรมกายว่า นิพพานเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา และยุติการเรี่ยไรเงินนอกวัด และสมเด็จพระสังฆราชฯ สกลมหาสังฆปรินายก ได้มีพระลิขิตให้คืนที่ดินและทรัพย์สินขณะเป็นพระให้วัดพระธรรมกาย แต่ พระธัมมชโย ไม่ยอม กรมการศาสนาจึงได้เข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม กล่าวโทษในคดีอาญา ม.137 ,147 และ 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ข้อหาที่พระธัมมชโยถูกฟ้องก็คือ เป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร จำเลยที่ 2 และนำเงินอีกเกือบ 30 ล้านไปซื้อที่ดินกว่า 900 ไร่ ใน ต.หนองพระ (จ.พิจิตร) และที่ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โดยโอนกรรมสิทธิ์ให้นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์
นอกจากนี้ ยังมีอดีตทนายความวัดพระธรรมกายและประชาชนที่เคยเลื่อมใสศรัทธา ในวัดพระธรรมกาย เข้าแจ้งความดำเนินคดีพระธัมมชโยเช่นกัน ฐานฉ้อโกงเงิน 35 ล้าน โดยแยกเป็นคดีความทั้งหมด 5 คดี
ทว่า เกือบ 7 ปี ของการดำเนินคดี ตั้งแต่ปี 2542-2547 เหลือสืบพยานจำเลยอีก 2 นัด ในวันที่ 23 และ 24 สิงหาคม 2549 เท่านั้น แต่แล้วในวันที่ 21 สิงหาคม พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 ซึ่งเป็นโจทก์ ก็ขอถอนฟ้องจำเลย คือ พระธัมมชโย และ นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์ โดยเรืออากาศโทวิญญู วิญญกุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา5 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล สรุปว่า ปัจจุบันจำเลยที่1 กับพวก ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎกและนโยบายของคณะสงฆ์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไป ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนา ทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐและเอกชนจำนวนมาก ส่วนด้านทรัพย์สินนั้น จำเลยที่ 1 กับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดคืน ทั้งที่ดินและเงินจำนวน 959,300,000บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย
การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วนทุกประการแล้ว ประกอบกับขณะนี้ บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักรและไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุด (นายพชร ยุติธรรมดำรง) จึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา
แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ก่อนหน้าที่อัยการจะถอนฟ้องเพียงเดือนเศษ ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2549 พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงาน “ รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี “ โดยระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั่วประเทศ 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี นช. ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานและกล่าวปาฐกถา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมขับไล่ นช.ทักษิณ
$$$ ตอบโจทย์ ไทยพีบีเอส : ปริศนา "พระลิขิต" สมเด็จพระสังฆราช "ปาราชิก" ธัมมชโย $$$
------
ปล.
1.ขออภัย ต้องมี $ มาช่วย
2.สำหรับผู้ที่พลาดชม
...สำนักงานที่เกี่ยวข้องควรทำหน้าที่ได้แล้วนะครับ ปล่อยมานานแล้ว.....
3.ข่าวที่ออกในสำนักพิมพ์ออนไลน์ฉบับหนึ่ง
http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000020281
----
"วัดใจมหาเถรสมาคม "ไพบูลย์" เตรียมส่งเรื่อง "ธัมมชโย" ปาราชิกให้จัดการ หากนิ่งเฉยต้องแก้ พ.ร.บ.สงฆ์"
ประธานคณะกรรมการปฏิรูปศาสนาฯ เตรียมส่งเรื่อง "ธัมมชโย" ปาราชิก ตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชปี 2542 ให้ "มหาเถรสมาคม" จัดการ ชี้เป็นการพิสูจน์ว่าจะนิ่งเฉยเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ ซึ่งหากไม่ทำอะไรต้องทบทวน พ.ร.บ.สงฆ์ 2505 ลั่นเพราะปล่อยเรื่องมาถึงวันนี้จึงเกิดกรณีสหกรณ์คลองจั่นซ้ำรอย ด้าน กก.ที่ปรึกษามูลนิธิเสฐียรโกเศศฯ เตือนพระช่วยหมกเม็ดมีความผิดร้ายแรงด้วยตามกฎของสงฆ์
วันที่ 18 ก.พ. เมื่อเวลา 22.00 น. นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สปช. และ นายสันติสุข โสภณสิริ กรรมการที่ปรึกษามูลนิธิเสฐียรโกเศศ - นาคะประทีป ได้พูดคุยในรายการ "ตอบโจทย์" ทางสถานีโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส ถึงกรณีที่ คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาฯ มีมติให้ พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องปาราชิก ขาดความเป็นพระ ตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชปี 2542
โดยนายไพบูลย์ กล่าวว่า กรณีวัดพระธรรมกายเป็นเรื่องข้องใจของสังคมอย่างยิ่ง ว่าทำไมกลไกต่าง ๆ ที่คุ้มครองพิทักษ์พระพุทธศาสนาถึงไม่ทำงาน ทั้งที่มีเรื่องกระทำผิดผิดร้ายแรง อาบัติถึงขั้นปาราชิก ทั้งที่มีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชว่าต้องปาราชิก 2 ประการ คือ เรื่องบิดเบือนคำสอน ทำให้สงฆ์แตกแยก และเรื่องเอาทรัพย์สินที่คนจะให้วัดโอนเป็นชื่อของตัวเอง ซึ่งวันแรกที่โอนก็ปาราชิกแล้ว โดยสมเด็จพระสังฆราชมีพระลิขิตเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2542 มหาเถรสมาคมก็ประชุมในวันเดียวกัน แต่ออกมติเลี่ยงว่าเป็นเรื่องการจัดการของวัดต่าง ๆ เพราะพระลิขิตไม่ได้ระบุชัดว่าเป็น ธัมมชโย วัดพระธรรมกาย สมเด็จพระสังฆราชจึงมีพระลิขิตอีกฉบับ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2542 คราวนี้ระบุเลยว่าเป็นวัดพระธรรมกาย หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติม สมเด็จพระสังฆราชเลยมีพระลิขิตอีกฉบับอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2542 ทั้งหมด 3 ฉบับ เพื่อยืนยันว่าเกี่ยวกับธัมมชโย มหาเถรสมาคมจึงมีการประชุมวันที่ 10 พ.ค. โดยเอาพระลิขิต 3 ฉบับเข้าที่ประชุม โดยรับทราบพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช และมีมติให้มีผลตามกฎหมาย ซึ่งหลังจากนั้นได้ดำเนินการเฉพาะเรื่องโอนที่ดินคืนวัด ส่วนเรื่องปาราชิกไม่ดำเนินการ จึงเป็นเรื่องที่สังคมข้องใจมาโดยตลอด
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า การไม่ดำเนินการในปี 2542 ทำให้เกิดเหตุขึ้นอีกในปัจจุบัน จากกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่ประธานกรรมการสหกรณ์ฯยักยอกเอาเงินของสมาชิกบริจาคผ่านเช็คของสหกรณ์ฯ ให้แก่วัดพระธรรมกาย 819 ล้านบาท ซึ่งอันนี้ก็เข้าข่ายปาราชิกเช่นกัน ความผิดสำเร็จตั้งแต่ตอนทำผิด พ้นจากการเป็นพระโดยอัตโนมัติ ไม่สามารถกลับคืนมาได้ คืนทรัพย์ก็ไม่พ้นการปาราชิก
โดยทางคณะกรรมการฯ จะยึดเอากรณีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชเป็นหลัก ถ้าทางวัดพระธรรมกายอ้างว่าเป็นพระลิขิตปลอม ตนขอชี้แจงว่าพระลิขิตมีทั้งหมด 5 ฉบับ โดย 2 ฉบับแรกไม่เป็นทางการ แต่ 3 ฉบับหลัง รับรองโดยที่ประชุมของมหาเถรสมาคม มีมติว่านำพระลิขิตทั้ง 3 ฉบับเข้าที่ประชุมพิจารณา เท่ากับรับรองสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งต้องบังคับให้เป็นไปตามที่มติที่ประชุมมหาเถรสมาคม แต่กลับไม่มีการดำเนินการ แถมมีการพูดว่าคืนสมบัติแล้ว ไม่น่าปาราชิกแล้ว
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า การดำเนินการขั้นต่อไป ทั้งหมดต้องกลับที่มหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของสงฆ์ ในเมื่อออกมติแล้วแต่ไม่เกิดผล ก็ต้องมาติดตามด้วย ซึ่งถ้าติดตามจริงคงไม่ปล่อยมาขนาดนี้ แต่ในฐานะที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามาเยอะเราคงต้องทำเรื่องนี้ส่งกลับไปยังมหาเถรสมาคม และทำสำเนาส่งไปยังรัฐบาล หรือนายกฯ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของการปฏิรูป เพราะถ้าปล่อยไว้ เรื่องอื่นที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาก็ไม่สามารถปฏิรูปได้เช่นกัน
หรือหากมหาเถรสมาคมไม่รับเรื่อง ก็ต้องตอบคำถามให้ได้ แล้วช่วงเวลานี้ต่างจากเมื่อก่อน ตอนนี้ประชาชนทนไม่ได้แล้ว ต้องการให้ปฏิรูป ประชาชนตั้งคำถามว่าเรื่องเกิดจากมหาเถรสมาคมหรือไม่ เรื่องนี้จะพิสูจน์ ถ้ามหาเถรสมาคมไม่ทำอะไร ก็ต้องทบทวน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505
ด้าน นายสันติสุข กล่าวว่า ตามกฎของสงฆ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 รศ.121 เรื่องปาราชิก ความจริงแล้วโทษหนักถึงประหารชีวิต แล้วเมื่อพระเก็บงำของเยอะขนาดนี้ ต้องบอกเจ้าคณะว่าเอามาทำไม เป็นของใคร และที่สำคัญคือการบิดเบือนคำสอน อันนี้เป็นอนันตริยกรรม ทำสังคมแตก เกิดสังฆเภท หนักยิ่งกว่าโลกวัชชะ เช่นพวกกินเหล้ายังต้องสึก ส่วนเรื่องการคืนทรัพย์ต้องคืนตามระยะเวลาที่กำหนดในพระวินัย เช่น พระมีบาตรได้ไม่เกิน 1 ใบ หากมีคนมาถวายเพิ่ม จะสามารถลูบคลำได้ไม่เกิน 10 วัน หากไม่คืนจะอาบัติร้ายแรง แล้วที่ดินกอดไว้นานเท่าไหร่ แล้วนี่โอนเป็นชื่อตัวเองด้วย
นายสันติสุข กล่าวด้วยว่า ตนขอเตือนไปยังเถรสมาคมทั้งหลายด้วยว่าการรู้เห็นเป็นใจ ช่วยหมกเม็ด ตามกฎของสงฆ์เท่ากับมีความผิดด้วยเช่นกัน โทษในอดีตคือ ถูกจับสึก เฆี่ยน และสักหน้า แล้วยิ่งกรณีพระธรรมกายไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย เป็นความผิดที่เห็นชัดเจน
ย้อนคดี "ธัมมชโย" ยักยอกทรัพย์ (www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000043814)
สำหรับคดีความของธัมมชโยนั้น ต้นตอเกิดขึ้นเมื่อปี 2541 พระอดิศักดิ์ วิริสโก อดีตพระลูกวัดพระธรรมกาย กล่าวหาพระธัมมชโยว่า ยักยอกเงินและที่ดินที่บรรดาญาติโยมบริจาคให้วัด และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ใกล้ชิดสีกา และอวดอุตริมนุสธรรม ต่อมา กรมที่ดินได้สำรวจพบ พระธัมมชโยมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินและบริษัทที่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายกว่า 400 แปลง เนื้อที่กว่า 2 พันไร่ ใน จังหวัดพิจิตร และเชียงใหม่
มหาเถรสมาคมจึงมอบหมายให้ พระพรหมโมลี เจ้าอาวาสวัดยานนาวา ซึ่งเป็นเจ้าคณะภาค 1 ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งมีข้อสรุปว่า เป็นจริงตามที่ถูกกล่าวหา มหาเถรสมาคม จึงมีมติให้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของเจ้าคณะภาค 1 คือ ให้ปรับปรุงคำสอนของวัดพระธรรมกายว่า นิพพานเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา และยุติการเรี่ยไรเงินนอกวัด และสมเด็จพระสังฆราชฯ สกลมหาสังฆปรินายก ได้มีพระลิขิตให้คืนที่ดินและทรัพย์สินขณะเป็นพระให้วัดพระธรรมกาย แต่ พระธัมมชโย ไม่ยอม กรมการศาสนาจึงได้เข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม กล่าวโทษในคดีอาญา ม.137 ,147 และ 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ข้อหาที่พระธัมมชโยถูกฟ้องก็คือ เป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร จำเลยที่ 2 และนำเงินอีกเกือบ 30 ล้านไปซื้อที่ดินกว่า 900 ไร่ ใน ต.หนองพระ (จ.พิจิตร) และที่ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โดยโอนกรรมสิทธิ์ให้นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์
นอกจากนี้ ยังมีอดีตทนายความวัดพระธรรมกายและประชาชนที่เคยเลื่อมใสศรัทธา ในวัดพระธรรมกาย เข้าแจ้งความดำเนินคดีพระธัมมชโยเช่นกัน ฐานฉ้อโกงเงิน 35 ล้าน โดยแยกเป็นคดีความทั้งหมด 5 คดี
ทว่า เกือบ 7 ปี ของการดำเนินคดี ตั้งแต่ปี 2542-2547 เหลือสืบพยานจำเลยอีก 2 นัด ในวันที่ 23 และ 24 สิงหาคม 2549 เท่านั้น แต่แล้วในวันที่ 21 สิงหาคม พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 ซึ่งเป็นโจทก์ ก็ขอถอนฟ้องจำเลย คือ พระธัมมชโย และ นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์ โดยเรืออากาศโทวิญญู วิญญกุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา5 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล สรุปว่า ปัจจุบันจำเลยที่1 กับพวก ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎกและนโยบายของคณะสงฆ์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไป ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนา ทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐและเอกชนจำนวนมาก ส่วนด้านทรัพย์สินนั้น จำเลยที่ 1 กับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดคืน ทั้งที่ดินและเงินจำนวน 959,300,000บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย
การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วนทุกประการแล้ว ประกอบกับขณะนี้ บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักรและไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุด (นายพชร ยุติธรรมดำรง) จึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา
แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ก่อนหน้าที่อัยการจะถอนฟ้องเพียงเดือนเศษ ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2549 พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงาน “ รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี “ โดยระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั่วประเทศ 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี นช. ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานและกล่าวปาฐกถา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมขับไล่ นช.ทักษิณ