แต่ที่ผมพอจะทราบก็คือ
คุณยิ่งลักษณ์เป็นประธานบุญบั้งไฟที่หนองคายไม่ได้
แต่คุณอภิสิทธิ์ไปพบปะประชาชนที่อุบลฯได้อย่างสบายใจเฉิบ แบบนี้คงปรองดองกันลำบาก
ผู้ต้องหากบฏ ออกบิณฑบาต มีตำรวจอารักขากันมากมาย
อดีตนายกฯ กลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ทหารเข้าไปขอตรวจค้น แบบนี้ไม่น่าจะใช่การปรองดอง
ฝ่ายหนึ่งบ้างก็ได้เป็น สนช. บ้างก็ได้เป็น สปท.
ส่วนอีกฝ่ายบ้างก็ถูกปรับทัศนะคติ บ้างก็ห้ามแสดงความคิดเห็น แบบนี้แล้วมันจะปรองดองกันได้อย่างไร
ฝ่ายหนึ่ง เขียนกฎหมาย ไม่พอใจ เขียนใหม่ได้
ส่วนอีกฝ่าย ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่พอใจ ต้องติดคุก ปรองดองกันแบบนี้ท่าจะยาก
ฝ่ายหนึ่ง พยายามไล่ล่าอีกฝ่ายให้สิ้นซาก
ส่วนอีกฝ่าย ต้องสงบอย่างปวดร้าว แบบนี้คงยากจะปรองดองกันได้
ไม่เคยห้ามฝ่ายหนึ่งที่ไปเทศนาธรรมทางการเมืองในสวนโมกข์
ส่วนอีกฝ่ายเสวนากันในมหาลัยต้องถูกขอร้องให้ยกเลิก สองมาตรฐานก็ไม่สามารถปรองดองกันได้หรอก
ฝ่ายหนึ่งเยาะเย้ยด้วยกิริยาที่สามารถถอดถอนอดีตนายกฯสำเร็จ
ส่วนอีกฝ่ายมั่นใจว่าเป็นเรื่องของการเมือง อย่างนี้คงจะเพิ่มความแตกแยกมากกว่าปรองดอง
ฝ่ายหนึ่งพยายามจะเขียนรัฐธรรมนูญกำจัดสิทธิ์อีกฝ่าย
แล้วจะให้อีกฝ่ายยอมรับกันอย่างน่าชื่น แนวทางนี้คงจะไม่ใช่วิธีการปรองดอง
ฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการนิรโทษกรรมให้กับคนผิด
ส่วนอีกฝ่ายมองว่าฝ่ายโน้นไม่เคยต้องรับโทษกับความผิด อย่างนี้หรือคือแนวทางปรองดอง
การให้ทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้น มันเป็นเรื่องดีครับ
แต่ถ้ากระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ยังเลือกปฏิบัติ ยังมีการตั้งธงล่วงหน้า ปรองดองเห็นจะยาก
การบังคับใช้กฎหมายก็เช่นกันครับ ต้องมีความชัดเจน เที่ยงตรงและเท่าเทียมกันทุกฝ่ายครับ
แต่ถ้าบางครั้งใช้รัฐธรรมนูญที่หมดสภาพ บางทีก็ใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ซ้ำร้ายบางทียังพยายามตีความแบบศรีธนนชัย เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตัวเอง อย่างนี้ก็คงปรองดองกันไม่ได้อีกแหละครับ
ในสภาก็มีพวกลากตั้งของฝ่ายเดียว นอกสภาก็มีองค์กรอิสระที่เลือกข้าง
ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคู่ขัดแย้งที่จ้องจะทำลายอีกฝ่ายมากกว่าการสร้างความปรองดอง นี่คืออุปสรรคของการปรองดองอย่างแท้จริง
และสุดท้ายรัฐธรรมนูญใหม่เท่าที่ฟังมา ก็เห็นปัญหาที่จะเพิ่มความขัดแย้งในอนาคตค่อนข้างแน่
ไม่ว่าจากความพยายามที่จะล้มล้างอีกฝ่ายไม่ให้สิทธิในการเข้าสู่การเมือง
ไม่ว่าจากความพยายามที่จะตั้งวุฒิสภาทั้งหมดมาจากการแต่งตั้ง
ไม่ว่าจากความพยายามที่จะไม่ให้ข้าราชการทำตามฝ่ายการเมือง
ไม่ว่าจากความพยายามตั้งสมัชชาคุณธรรม
ไม่ว่าจากความพยายามผ่านกฎหมายมั่นคงไซเบอร์
หรือแม้กระทั่งการเพิ่มอำนาจให้กับองค์กรอิสระ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีอำนาจล้นฟ้าอยู่แล้ว
ดังนั้นความขัดแย้งรอบใหม่จะต้องเกิดขึ้นแน่ เพราะปัญหาความแตกแยกมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพยายามจะทำทั้งหลายแหล่เหล่านี้ แต่มันเกิดจากคนที่จะใช้อำนาจเหล่านี้ต่างหากเล่า
และที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัด คนเหล่านี้แทนที่จะใช้อำนาจเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง กลับนำอำนาจนั้นมาทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่ง นั่นคือการพาตัวเองมาเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง แล้วอย่างนี้จะปรองดองคงจะยากเสียยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ตราบใดที่คนกลุ่มนี้ยังไม่ได้รับการปฏิรูป
นี่เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด แต่ก็เป็นความพยายามที่จะแสดงความคิดเห็นต่างที่ คสช.บอกว่า พร้อมจะรับฟังไงครับ
ปัญหาความแตกแยกจะแก้ไขอย่างไร ผมไม่ทราบ--------------------------ทวดเอง
คุณยิ่งลักษณ์เป็นประธานบุญบั้งไฟที่หนองคายไม่ได้
แต่คุณอภิสิทธิ์ไปพบปะประชาชนที่อุบลฯได้อย่างสบายใจเฉิบ แบบนี้คงปรองดองกันลำบาก
ผู้ต้องหากบฏ ออกบิณฑบาต มีตำรวจอารักขากันมากมาย
อดีตนายกฯ กลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ทหารเข้าไปขอตรวจค้น แบบนี้ไม่น่าจะใช่การปรองดอง
ฝ่ายหนึ่งบ้างก็ได้เป็น สนช. บ้างก็ได้เป็น สปท.
ส่วนอีกฝ่ายบ้างก็ถูกปรับทัศนะคติ บ้างก็ห้ามแสดงความคิดเห็น แบบนี้แล้วมันจะปรองดองกันได้อย่างไร
ฝ่ายหนึ่ง เขียนกฎหมาย ไม่พอใจ เขียนใหม่ได้
ส่วนอีกฝ่าย ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่พอใจ ต้องติดคุก ปรองดองกันแบบนี้ท่าจะยาก
ฝ่ายหนึ่ง พยายามไล่ล่าอีกฝ่ายให้สิ้นซาก
ส่วนอีกฝ่าย ต้องสงบอย่างปวดร้าว แบบนี้คงยากจะปรองดองกันได้
ไม่เคยห้ามฝ่ายหนึ่งที่ไปเทศนาธรรมทางการเมืองในสวนโมกข์
ส่วนอีกฝ่ายเสวนากันในมหาลัยต้องถูกขอร้องให้ยกเลิก สองมาตรฐานก็ไม่สามารถปรองดองกันได้หรอก
ฝ่ายหนึ่งเยาะเย้ยด้วยกิริยาที่สามารถถอดถอนอดีตนายกฯสำเร็จ
ส่วนอีกฝ่ายมั่นใจว่าเป็นเรื่องของการเมือง อย่างนี้คงจะเพิ่มความแตกแยกมากกว่าปรองดอง
ฝ่ายหนึ่งพยายามจะเขียนรัฐธรรมนูญกำจัดสิทธิ์อีกฝ่าย
แล้วจะให้อีกฝ่ายยอมรับกันอย่างน่าชื่น แนวทางนี้คงจะไม่ใช่วิธีการปรองดอง
ฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการนิรโทษกรรมให้กับคนผิด
ส่วนอีกฝ่ายมองว่าฝ่ายโน้นไม่เคยต้องรับโทษกับความผิด อย่างนี้หรือคือแนวทางปรองดอง
การให้ทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้น มันเป็นเรื่องดีครับ
แต่ถ้ากระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ยังเลือกปฏิบัติ ยังมีการตั้งธงล่วงหน้า ปรองดองเห็นจะยาก
การบังคับใช้กฎหมายก็เช่นกันครับ ต้องมีความชัดเจน เที่ยงตรงและเท่าเทียมกันทุกฝ่ายครับ
แต่ถ้าบางครั้งใช้รัฐธรรมนูญที่หมดสภาพ บางทีก็ใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ซ้ำร้ายบางทียังพยายามตีความแบบศรีธนนชัย เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตัวเอง อย่างนี้ก็คงปรองดองกันไม่ได้อีกแหละครับ
ในสภาก็มีพวกลากตั้งของฝ่ายเดียว นอกสภาก็มีองค์กรอิสระที่เลือกข้าง
ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคู่ขัดแย้งที่จ้องจะทำลายอีกฝ่ายมากกว่าการสร้างความปรองดอง นี่คืออุปสรรคของการปรองดองอย่างแท้จริง
และสุดท้ายรัฐธรรมนูญใหม่เท่าที่ฟังมา ก็เห็นปัญหาที่จะเพิ่มความขัดแย้งในอนาคตค่อนข้างแน่
ไม่ว่าจากความพยายามที่จะล้มล้างอีกฝ่ายไม่ให้สิทธิในการเข้าสู่การเมือง
ไม่ว่าจากความพยายามที่จะตั้งวุฒิสภาทั้งหมดมาจากการแต่งตั้ง
ไม่ว่าจากความพยายามที่จะไม่ให้ข้าราชการทำตามฝ่ายการเมือง
ไม่ว่าจากความพยายามตั้งสมัชชาคุณธรรม
ไม่ว่าจากความพยายามผ่านกฎหมายมั่นคงไซเบอร์
หรือแม้กระทั่งการเพิ่มอำนาจให้กับองค์กรอิสระ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีอำนาจล้นฟ้าอยู่แล้ว
ดังนั้นความขัดแย้งรอบใหม่จะต้องเกิดขึ้นแน่ เพราะปัญหาความแตกแยกมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพยายามจะทำทั้งหลายแหล่เหล่านี้ แต่มันเกิดจากคนที่จะใช้อำนาจเหล่านี้ต่างหากเล่า
และที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัด คนเหล่านี้แทนที่จะใช้อำนาจเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง กลับนำอำนาจนั้นมาทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่ง นั่นคือการพาตัวเองมาเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง แล้วอย่างนี้จะปรองดองคงจะยากเสียยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ตราบใดที่คนกลุ่มนี้ยังไม่ได้รับการปฏิรูป
นี่เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด แต่ก็เป็นความพยายามที่จะแสดงความคิดเห็นต่างที่ คสช.บอกว่า พร้อมจะรับฟังไงครับ