ความเดิมตอนที่ 8
http://ppantip.com/topic/33132270
ในที่สุด ค่ำคืนแห่งความสับนก็ผ่านพ้นไปแสงสว่างของยามเช้าได้ลอดผ่านม่านเข้ามา
ย้อมให้ภายในห้องกลายเป็นสีสลัว เราลืมตาตื่นขึ้นตามปกติ ทั้งๆที่ไม่ต้องไปโรงเรียน
ก่อนจะพบกับสถานะการณ์ตึงเครียด
เราเป็นคนหนึ่งที่ชอบเปิดแอร์เย็นๆ แล้วห่มผ้าหนาๆ แต่ดูเหมือนอุณภูมิที่เราปรับไว้
จะหนาวเกินไปสำหรับสองคนข้างๆ โดยเฉพาะ บี ที่ชุกตัวเข้ามาเบียดแขนข้างขวา
จนรู้สึกได้ถึงหน้าอกของเธอ ขณะที่มิ้นท์เองก็เหวี่ยงขาเข้ามากอดก่ายเราเต็มที่
จนเป็นไปไม่ได้ที่จะขยับตัว
ไออุ่นจากร่างกายทั้งคู่ส่งผ่านมาที่เราจนรู้สึกร้อนนิดๆ บี ยังคงสวยเหมือนเดิม
แม้จะเป็นตอนหลับ ขณะที่ มิ้นท์ พอปล่อยผมแล้วก็น่ารักแปลกตาดี
พอรู้ตัวว่าได้อยู่ท่ามกลางดอกไม้งามแบบนี้แล้ว เลยขอนอนต่อไปอีกซักพัก...
"นี่..."
เสียงหนึ่งดังลอยๆเข้ามา เหมือนมาจากที่แสนไกล
"นี่ ! ตื่นได้แล้ว ยัยคนขี้เซา"
เสียงของมิ้นท์ปลุกให้เราตื่นขึ้นมาจนได้ เราค่อยๆลืมตาขึ้น ก่อนจะพบว่าทั้งสองแต่งตัวเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอกกันแล้ว
“จะไปไหนกันเหรอ...”
ขณะที่กำลังถาม เสียงเคาะประตูหนึ่งก็ดังขึ้น และโดยที่ยังไม่มีใครไปเปิด ประตูที่ถูกล็อคไว้ด้วยคีย์การ์ดก็ถูกพลักออก ก่อนจะตามมาด้วย สาวฝรั่งผมทองหยักศก ในชุดหมีกับแว่นตาช่างแบบที่พวกช่างในโรงงาน ชอบใส่กัน เพียงแต่ชุดของเธอไม่สามารถรูดซิบขึ้นจนสุดด้วยเหตุผลทางเทคนิค
“Are you still sleeping?”
สาวแหม่ม เอ่ยทักทายเราที่ยังคงไม่ได้ลุกจากเตียงอย่างร่าเริง ระหว่างที่เราเผลอจ้องไปยังเนินเนื้ออวบอิ่มอย่างไม่วางตา นี่ซินะความต่างของสาวเอเชีย กับสาวยุโรป
“เฮลโล...” เราพยายามทักตอบ
“พูดไทยก็ได้ไม่ใช่เหรอ ยัยหนองโพ...”
“แหมไม่ได้เจอกานตั้งหลายปี ยังไม่น่ารักเหมือนเดิมเลยน้า... ยายเหมียว” เจ้าของผมบลอนด์ตอบเป็นภาษาไทยสำเนียงต่างชาติเล็กๆ “มาม่ะ กอดทักทายกานหน่อย”
พูดจบเธอก็คว้าเอาตัวมิ้นท์เข้าไปกอด แต่ด้วยความสูงที่มีอยู่น้อย ทำให้ใบหน้าของแม่เสือสาวแนบอัดเข้าไปกับหน้าอกของเธอ แต่ต่างจากคราวที่เธอกอดทักทายบีด้วยความต่างของขนาด มิ้นท์ถึงกับดิ้นทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออก แต่เราเองก็ยังรู้สึกอิจฉาเล็กๆในใจเหมือนกัน
“ขอแนะนำนะ ปาล์ม” บีตัดบทขึ้น “นี่ พี่แคทเธอรีน บริวารอันดับสอง ของท่านรุกขเทพ เธอเป็นสืบสายเลือดจากเทพตกสวรรค์ เฮเฟตัส เทพแห่งไฟ โลหะ และการช่าง...”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เฮเฟตัส (Hephaestus) เทพแห่งไฟและการช่าง
เฮเฟตัสเป็นเทพบุตรของมหาเทพซูสกับพระมเหสีเฮร่า แต่เมื่อดูจากเหตุกำเนิดก็อาจจะกล่าวได้ว่าเฮเฟตัสนั้นเป็นเทพบุตรแห่งพระนางเฮร่าเพียงองค์เดียวก็ได้ เหตุนั้นมาจากเมื่อซูสเทพบิดรให้กำเนิดเทพีอาธีน่าโดยการผ่าออกมาจากศีรษะ พระนางเฮร่าก็มีทิฏฐิ พระนางจึงให้กำเนิดเฮเฟตัสโดยให้ออกมาจากหัวบ้างโดยไม่ต้องพึ่งพาซูสผู้เป็นพระสวามี
ฮเฟตัสนั้นเป็นเทพติดแม่ เมื่อเทพีเฮร่ากับซูสจอมเทพทะเลาะกันเมื่อใด เฮเฟตัสเป็นต้องเข้าข้างพระนางเฮร่าทุกคราวไป ซูสจึงไม่ค่อยชอบใจเฮเฟตัสนัก
เมื่อคราวที่พระนางเฮร่านำกบฏจะโค่นอำนาจซูสแต่แผนนั้นล้มเหลว ซูสลงโทษพระนางโดยการใช้เชือกเงินผูกขาและจับพระนางเฮร่าห้อยหัวแขวนไว้กับสวรรค์ เฮเฟตัสก็เข้าช่วยเหลือเทพมารดาเช่นเดิม ทำให้ซูสโกรธและจับเฮเฟตัสโยนลงมาจากสวรรค์
เฮเฟตัสตกจากสวรรค์ถึง 9 วันกว่าจะถึงพื้นโลก ด้วยความสูงเช่นนี้ทำให้เฮเฟตัสขาหัก กลายเป็นเทพพิการตั้งแต่บัดนั้น
เฮเฟตัสสร้างวังอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ตั้งใจจะไม่กลับไปอยู่บนสวรรค์โอลิมปัสอีก และด้วยความชำนาญในการช่าง เฮเฟตัสจึงตั้งโรงงานผลิตอาวุธต่างๆ ตามที่ตนถนัดอยู่บนโลกมนุษย์โดยมีพวกยักษ์ไซคลอปส์ซึ่งมีฝีมือในการช่างเช่นกันเป็นลูกมือ
แม้จะไม่ตั้งใจกลับสวรรค์แต่เทพเฮเฟตัสก็ตั้งความหวังว่าพระนางเฮร่าเทพมารดาจะลงมาเยี่ยมบ้าง แต่รอแล้วรอเล่าเทพมารดาก็ไม่ลงมาหา ด้วยความน้อยใจเฮเฟตัสจึงสร้างบัลลังก์ทองคำที่สวยงามหาที่ติมิได้ส่งไปถวายเทพมารดา แต่เมื่อเทพมารดานั่งลง บัลลังก์ทองนั้นก็มีกลไกมายึดองค์ไว้อย่างมั่นคง ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
เฮอร์มีส เทพผู้เป็นเลิศทางการทูตอาสาลงมาเจรจากับเฮเฟตัส แต่ไม่ว่าจะพูดจูงใจด้วยด้วยคำอย่างไรเฮเฟตัสก็ไม่ยอมปล่อยเทพมารดา
ทวยเทพจึงประชุมปรึกษากันอีกวาระหนึ่ง และเห็นชอบให้ไดโอนีซุสลงมาเกลี้ยกล่อมเฮเฟตัส ไดโอนีซุสเกลี้ยกล่อมเฮเฟตัสด้วยเหล้าองุ่นจนเฮเฟตัสเคลิบเคลิ้มมึนเมาจึงสามารถพาตัวเฮเฟตัสขึ้นไปแก้เครื่องกลพันธนาการให้เทพมารดาได้สำเร็จ
จากนั้นไดโอนีซุสก็เกลี้ยกล่อมเทพบิดร เทพมารดา และเทพบุตร ให้กลับมาออมชอมกันได้ดังเดิม
แต่แม้จะได้การยอมรับให้กลับไปอยู่เขาโอลิมปัสดังเดิม แต่เฮเฟตัสก็ยังยินดีอยู่บนโลกมนุษย์ จะขึ้นสวรรค์ไปก็ต่อเมื่อมีการประชุมเทพสภาเท่านั้น
“งาย”
เธอเอ่ยก่อนจะ กระโดดขึ้นมาบนเตียงในท่าคุกเข่า ยันแขน โดยความนุ่มของเตียงทำให้ส่วนนั้นของเธอสั่นกระเพื่อมเป็นธรรมชาติน่าสัมผัส ขณะที่เธอยื่นหน้ามาหาเราและถอดแว่นออก
“รู้รึเปล่า ตอนนี้ในวงการของอสูร เธอกลายเป็นเซเลปไปแล้วนะ ถึงขนาดทำให้ มิสเทรส เอ่ยปากขอชีวิตเธอได้”
“เหรอคะ...”
“ก็ใช่นะซิ... แค่เธออารมณ์ขุ่นก็อาจจะดลบันดาลทำให้เกิดภัยพิบัติ อย่างพายุเข้า แผ่นดินแห้งแล้ง หรือหิมะหลงฤดูได้เชียวนะ”
เราถึงกับนิ่งไป คำพูดของมิ้นท์ที่ว่า อสูรกลัวมนุษย์เห็นที่จะไม่จริงเสียแล้ว กับคนที่กระโดดหนึ่งครั้งแผ่นดินไหว หงุดหงิดขึ้นมาพายุก็เข้า แถมยังอาจจะได้ยินความคิดหรือมองเห็นอนาคตได้ มนุษย์จะเอาอะไรไปสู้ แต่ท่านเป็นระดับเทพอสูรนี่นา คงอยู่คนล่ะระดับกับอสูรธรรมดาละมั้ง
“นี่รีบลุกออกมาได้แล้ว แล้วของที่ฉันสั่งล่ะ” มิ้นท์ท้วงขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
“หืม...”
เสียงฮัมในลำคอของสายเลือดเทพตกสวรรค์จากต่างแดนดังขึ้นอย่างมีเลศนัย ก่อนเธอจะคลานเข้ามาข้างๆและดึงเราเข้าไปกอดแบบเดียวที่ทำกับมิ้นท์ ทำเอาใบหน้าของเราครึ่งหนึ่งถูกบดบังทัศนวิสัยไป แต่ตาอีกข้างของเราก็เห็นบีหรี่ตาลง พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่มิ้นท์เดินไปหยิบดาบแล้ว
“ฮะ ฮะ ฮะ” แม่สาวผมทองหัวเราะขึ้นอย่างพอใจก่อนจะคลายกอดเราออก “แบบนี้นี่เอง เข้าใจล่ะ”
ต่อมาเธอก็ล้วงหยิบของสองชิ้นขึ้นมาจากกระเป๋า มันเป็นแหวนสีโลหะ ทว่ากลับมีตัวหนังสือสีแดง เป็นอักขระที่อ่านไม่ออก วิ่งวนไปรอบตัวแหวนตลอดเวลาราวกับเข็มนาฬิกา มิ้นท์จึงเอากระเป๋าที่เธอสะพายมาตั้งแต่บนรถไฟ ส่งให้แคทเธอรีน เพื่อแลกกับแหวนสองวงนั้น สาวผมทองเปิดกระเป๋าดูและหยิบของข้างในออกมา มันคือเหรียญทองคำจำนวนมากพอที่จะทำให้คน คนหนึ่งมีชีวิตที่สุขสบายไปทั้งชาติ
ก่อนที่เราจะถามว่า แหวนนั้นมันคืออะไร ทำไมถึงได้แพงมากมายอะไรขนาดนั้น มิ้นท์ก็สวมมันเข้ากับนิ้วนางของมือทั้งสองข้าง ทันใดนั้นเอง ในมือของสาวผมทวินทลก็ได้ปรากฏมีดสั้นขึ้น ก่อนจะหายไปและเป็นเป็นปืน หอก ดาบ ไรเฟิล ปืนกลหนัก สลับกันไปมาภายในชั่วพริบตา
“แหวน ‘สหศาสตรา’ ตามที่สั่ง ชอบไหม” แคทเธอรีนถามความพอใจของลูกค้า “รวมแล้วมีแปดสิบยุทโธปกรณ์ แปดอาวุธวิเศษ กับอีกหนึ่งเทพศาสตรา แต่ระดับเธอตอนนี้ อย่าคิดใช้อาวุธเทพเลยจะดีกว่า”
“ทำไมล่ะ...” บีถามแทน
“มันเกินตัวน่ะสิ ขนาดฉันทดลองเหวี่ยงแค่ไม่กี่ครั้ง ยังรู้สึกเหมือนถูกดูดเรี่ยวแรงไปจนหมด ยัยเหมียวนี่ก็ฤทธิ์น้อยที่สุดในหมู่เรา ใช้แค่ครั้งเดียวคงล้มหมอนนอนเสื่อ ต้องเป็นระดับมิสเทรส กับ คุณพี่สาวของพวกเราเท่านั้นแหละ ถึงจะใช้มันได้”
“รู้แล้วน่า” มิ้นท์ตอบพลางยิ้มไม่หุบและทดลองเรียกอาวุธใหม่ออกมาเรื่อยๆ ล่าสุดเป็นเครื่องยิงระเบิด
“ว่าแต่แต่งตัวจะไปไหนกันนะ ?” แคทเธอรีนถาม
“ว่าจะพาปาล์มไปเที่ยวน่ะ...” บีตอบพลางยิ้มบางๆ
หลังจากได้ยินแบบนั้นแล้ว แม่สาวต่างชาติก็เลยขอตัวไม่รบกวนเวลา เก็บค่าจ้างขึ้นสะพายหลัง แล้วของตัวลา แต่ก่อนออกไป เธอได้กล่าวบางอย่าง
“ถึงวาจาสิทธิ์ของ มิสเทรส จะฟังดูปลอดภัยหายห่วง แต่ก็ระวังตัวเอาไว้หน่อยล่ะ... หนูๆทั้งหลาย”
“หมายความว่าไงเหรอ ? หรือว่าจะมีอสูรที่ไหนกล้าเข้ามาทำร้ายปาล์มอยู่อีก” มิ้นท์ถามบ้าง
“คนที่เดินจะล้มน่ะ ส่วนใหญ่ไม่ได้ชนไม้ใหญ่ แต่สะดุดหินเล็กด้วยกันทั้งนั้น....”
พูดจบ แคทเธอรีน สายเลือดเทพแห่งช่างก็สวมแว่นและเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม
ปล. มิ้นท์เรียกท่านเทพอสูรว่า "นายหญิง" บีเรียก "อาจารย์" แคทเธอรีนเรียก "Mistress" บริวารที่หนึ่งเรียก "เธอ"
อจินไตยตอนที่ 9
ในที่สุด ค่ำคืนแห่งความสับนก็ผ่านพ้นไปแสงสว่างของยามเช้าได้ลอดผ่านม่านเข้ามา
ย้อมให้ภายในห้องกลายเป็นสีสลัว เราลืมตาตื่นขึ้นตามปกติ ทั้งๆที่ไม่ต้องไปโรงเรียน
ก่อนจะพบกับสถานะการณ์ตึงเครียด
เราเป็นคนหนึ่งที่ชอบเปิดแอร์เย็นๆ แล้วห่มผ้าหนาๆ แต่ดูเหมือนอุณภูมิที่เราปรับไว้
จะหนาวเกินไปสำหรับสองคนข้างๆ โดยเฉพาะ บี ที่ชุกตัวเข้ามาเบียดแขนข้างขวา
จนรู้สึกได้ถึงหน้าอกของเธอ ขณะที่มิ้นท์เองก็เหวี่ยงขาเข้ามากอดก่ายเราเต็มที่
จนเป็นไปไม่ได้ที่จะขยับตัว
ไออุ่นจากร่างกายทั้งคู่ส่งผ่านมาที่เราจนรู้สึกร้อนนิดๆ บี ยังคงสวยเหมือนเดิม
แม้จะเป็นตอนหลับ ขณะที่ มิ้นท์ พอปล่อยผมแล้วก็น่ารักแปลกตาดี
พอรู้ตัวว่าได้อยู่ท่ามกลางดอกไม้งามแบบนี้แล้ว เลยขอนอนต่อไปอีกซักพัก...
"นี่..."
เสียงหนึ่งดังลอยๆเข้ามา เหมือนมาจากที่แสนไกล
"นี่ ! ตื่นได้แล้ว ยัยคนขี้เซา"
เสียงของมิ้นท์ปลุกให้เราตื่นขึ้นมาจนได้ เราค่อยๆลืมตาขึ้น ก่อนจะพบว่าทั้งสองแต่งตัวเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอกกันแล้ว
“จะไปไหนกันเหรอ...”
ขณะที่กำลังถาม เสียงเคาะประตูหนึ่งก็ดังขึ้น และโดยที่ยังไม่มีใครไปเปิด ประตูที่ถูกล็อคไว้ด้วยคีย์การ์ดก็ถูกพลักออก ก่อนจะตามมาด้วย สาวฝรั่งผมทองหยักศก ในชุดหมีกับแว่นตาช่างแบบที่พวกช่างในโรงงาน ชอบใส่กัน เพียงแต่ชุดของเธอไม่สามารถรูดซิบขึ้นจนสุดด้วยเหตุผลทางเทคนิค
“Are you still sleeping?”
สาวแหม่ม เอ่ยทักทายเราที่ยังคงไม่ได้ลุกจากเตียงอย่างร่าเริง ระหว่างที่เราเผลอจ้องไปยังเนินเนื้ออวบอิ่มอย่างไม่วางตา นี่ซินะความต่างของสาวเอเชีย กับสาวยุโรป
“เฮลโล...” เราพยายามทักตอบ
“พูดไทยก็ได้ไม่ใช่เหรอ ยัยหนองโพ...”
“แหมไม่ได้เจอกานตั้งหลายปี ยังไม่น่ารักเหมือนเดิมเลยน้า... ยายเหมียว” เจ้าของผมบลอนด์ตอบเป็นภาษาไทยสำเนียงต่างชาติเล็กๆ “มาม่ะ กอดทักทายกานหน่อย”
พูดจบเธอก็คว้าเอาตัวมิ้นท์เข้าไปกอด แต่ด้วยความสูงที่มีอยู่น้อย ทำให้ใบหน้าของแม่เสือสาวแนบอัดเข้าไปกับหน้าอกของเธอ แต่ต่างจากคราวที่เธอกอดทักทายบีด้วยความต่างของขนาด มิ้นท์ถึงกับดิ้นทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออก แต่เราเองก็ยังรู้สึกอิจฉาเล็กๆในใจเหมือนกัน
“ขอแนะนำนะ ปาล์ม” บีตัดบทขึ้น “นี่ พี่แคทเธอรีน บริวารอันดับสอง ของท่านรุกขเทพ เธอเป็นสืบสายเลือดจากเทพตกสวรรค์ เฮเฟตัส เทพแห่งไฟ โลหะ และการช่าง...”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
“งาย”
เธอเอ่ยก่อนจะ กระโดดขึ้นมาบนเตียงในท่าคุกเข่า ยันแขน โดยความนุ่มของเตียงทำให้ส่วนนั้นของเธอสั่นกระเพื่อมเป็นธรรมชาติน่าสัมผัส ขณะที่เธอยื่นหน้ามาหาเราและถอดแว่นออก
“รู้รึเปล่า ตอนนี้ในวงการของอสูร เธอกลายเป็นเซเลปไปแล้วนะ ถึงขนาดทำให้ มิสเทรส เอ่ยปากขอชีวิตเธอได้”
“เหรอคะ...”
“ก็ใช่นะซิ... แค่เธออารมณ์ขุ่นก็อาจจะดลบันดาลทำให้เกิดภัยพิบัติ อย่างพายุเข้า แผ่นดินแห้งแล้ง หรือหิมะหลงฤดูได้เชียวนะ”
เราถึงกับนิ่งไป คำพูดของมิ้นท์ที่ว่า อสูรกลัวมนุษย์เห็นที่จะไม่จริงเสียแล้ว กับคนที่กระโดดหนึ่งครั้งแผ่นดินไหว หงุดหงิดขึ้นมาพายุก็เข้า แถมยังอาจจะได้ยินความคิดหรือมองเห็นอนาคตได้ มนุษย์จะเอาอะไรไปสู้ แต่ท่านเป็นระดับเทพอสูรนี่นา คงอยู่คนล่ะระดับกับอสูรธรรมดาละมั้ง
“นี่รีบลุกออกมาได้แล้ว แล้วของที่ฉันสั่งล่ะ” มิ้นท์ท้วงขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
“หืม...”
เสียงฮัมในลำคอของสายเลือดเทพตกสวรรค์จากต่างแดนดังขึ้นอย่างมีเลศนัย ก่อนเธอจะคลานเข้ามาข้างๆและดึงเราเข้าไปกอดแบบเดียวที่ทำกับมิ้นท์ ทำเอาใบหน้าของเราครึ่งหนึ่งถูกบดบังทัศนวิสัยไป แต่ตาอีกข้างของเราก็เห็นบีหรี่ตาลง พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่มิ้นท์เดินไปหยิบดาบแล้ว
“ฮะ ฮะ ฮะ” แม่สาวผมทองหัวเราะขึ้นอย่างพอใจก่อนจะคลายกอดเราออก “แบบนี้นี่เอง เข้าใจล่ะ”
ต่อมาเธอก็ล้วงหยิบของสองชิ้นขึ้นมาจากกระเป๋า มันเป็นแหวนสีโลหะ ทว่ากลับมีตัวหนังสือสีแดง เป็นอักขระที่อ่านไม่ออก วิ่งวนไปรอบตัวแหวนตลอดเวลาราวกับเข็มนาฬิกา มิ้นท์จึงเอากระเป๋าที่เธอสะพายมาตั้งแต่บนรถไฟ ส่งให้แคทเธอรีน เพื่อแลกกับแหวนสองวงนั้น สาวผมทองเปิดกระเป๋าดูและหยิบของข้างในออกมา มันคือเหรียญทองคำจำนวนมากพอที่จะทำให้คน คนหนึ่งมีชีวิตที่สุขสบายไปทั้งชาติ
ก่อนที่เราจะถามว่า แหวนนั้นมันคืออะไร ทำไมถึงได้แพงมากมายอะไรขนาดนั้น มิ้นท์ก็สวมมันเข้ากับนิ้วนางของมือทั้งสองข้าง ทันใดนั้นเอง ในมือของสาวผมทวินทลก็ได้ปรากฏมีดสั้นขึ้น ก่อนจะหายไปและเป็นเป็นปืน หอก ดาบ ไรเฟิล ปืนกลหนัก สลับกันไปมาภายในชั่วพริบตา
“แหวน ‘สหศาสตรา’ ตามที่สั่ง ชอบไหม” แคทเธอรีนถามความพอใจของลูกค้า “รวมแล้วมีแปดสิบยุทโธปกรณ์ แปดอาวุธวิเศษ กับอีกหนึ่งเทพศาสตรา แต่ระดับเธอตอนนี้ อย่าคิดใช้อาวุธเทพเลยจะดีกว่า”
“ทำไมล่ะ...” บีถามแทน
“มันเกินตัวน่ะสิ ขนาดฉันทดลองเหวี่ยงแค่ไม่กี่ครั้ง ยังรู้สึกเหมือนถูกดูดเรี่ยวแรงไปจนหมด ยัยเหมียวนี่ก็ฤทธิ์น้อยที่สุดในหมู่เรา ใช้แค่ครั้งเดียวคงล้มหมอนนอนเสื่อ ต้องเป็นระดับมิสเทรส กับ คุณพี่สาวของพวกเราเท่านั้นแหละ ถึงจะใช้มันได้”
“รู้แล้วน่า” มิ้นท์ตอบพลางยิ้มไม่หุบและทดลองเรียกอาวุธใหม่ออกมาเรื่อยๆ ล่าสุดเป็นเครื่องยิงระเบิด
“ว่าแต่แต่งตัวจะไปไหนกันนะ ?” แคทเธอรีนถาม
“ว่าจะพาปาล์มไปเที่ยวน่ะ...” บีตอบพลางยิ้มบางๆ
หลังจากได้ยินแบบนั้นแล้ว แม่สาวต่างชาติก็เลยขอตัวไม่รบกวนเวลา เก็บค่าจ้างขึ้นสะพายหลัง แล้วของตัวลา แต่ก่อนออกไป เธอได้กล่าวบางอย่าง
“ถึงวาจาสิทธิ์ของ มิสเทรส จะฟังดูปลอดภัยหายห่วง แต่ก็ระวังตัวเอาไว้หน่อยล่ะ... หนูๆทั้งหลาย”
“หมายความว่าไงเหรอ ? หรือว่าจะมีอสูรที่ไหนกล้าเข้ามาทำร้ายปาล์มอยู่อีก” มิ้นท์ถามบ้าง
“คนที่เดินจะล้มน่ะ ส่วนใหญ่ไม่ได้ชนไม้ใหญ่ แต่สะดุดหินเล็กด้วยกันทั้งนั้น....”
พูดจบ แคทเธอรีน สายเลือดเทพแห่งช่างก็สวมแว่นและเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม
ปล. มิ้นท์เรียกท่านเทพอสูรว่า "นายหญิง" บีเรียก "อาจารย์" แคทเธอรีนเรียก "Mistress" บริวารที่หนึ่งเรียก "เธอ"