โอ้องค์พระวิษณุ ผู้บรรลุฌาณญาณ
บำเพ็ญศีลยาวนาน ในราตรีกาลไตรภพปลอดภัย
บัดนี้น่าเวทนา ทั้งสามโลกาลุกเป็นไฟ
ด้วยมืออสูรย์ใจร้าย สร้างผองภัยไปทั่วแดน
ตื่นเถิดองค์นารายณ์ โปรดปราบผองภัยให้แว่นแคว้น
บาดาลสวรรค์ โลก วิมานแมน ทุกดินแดนต่างคอยพระองค์
(โดยคุณ พิเศษ สังข์สุวรรณ )
จากบทประพันธ์ ผู้ที่อยู่ในสามโลก (ไตรภพ) คือ พระวิษณุกรรม คนไทยเข้าใจผิดว่า พระวิษณุกรรม
นั้นเป็นองค์เดียวกับพระวิษณุ (พระนารายณ์) หนึ่งใน ๓ เทพ องค์สำคัญของศาสนาฮินดู
พระวิศวกรรมา หรือพระวิษณุกรรม ท่านเป็นทั้งสถาปนิกและวิศวกร ที่มีความชำนาญงานช่างทุกแขนง
ในตำนานพุทธศาสนาเล่าว่า ท่านเป็นผู้สร้างอาศรมให้แก่พระโพธิสัตว์หลายพระองค์ เป็นผู้สร้างบันไดเงิน
บันไดทอง บันไดแก้ว ทอดจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลงมายังโลกมนุษย์ที่เมืองสังกัสสนคร ซึ่งเป็นเส้นทางที่
พระพุทธเจ้าใช้เสด็จลงจาก สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ทรงเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาในช่วงเข้าพรรษา)
ท่านยังเป็นผู้สร้าง วาฬสังฆาตยนต์ ซึ่งเป็นกงล้อหมุนรอบองค์พระสถูป ปกปักรักษาป้องกันมิให้บุคคลเข้าใกล้
พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ในตอนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ
จากผลงานทั้งสามอย่างด้านบน พระวิษณุกรรม ท่านเป็น
1. สถาปนิก 2. วิศวกรด้านโยธาและสำรวจ 3. วิศวกรเครื่องกล
ตามตำนานฮินดู พระวิศวกรรม ก็มีผลงานเด่นๆ สรรค์สร้างไว้มากมาย เช่น ครั้งหนึ่ง ธิดานางหนึ่งของท่าน
ชื่อว่านางสัญชญา เป็นชายาของพระอาทิตย์ บ่นให้พระวิศวกรรมาผู้เป็นพ่อฟังว่า พระอาทิตย์สามีของตนนั้น
ช่าง "ร้อนแรง" เหลือเกิน เข้าใกล้ไม่ค่อยได้ พระวิศวกรรมาสงสารลูกสาว จึงช่วยเหลือ โดยไปขูดผิวพระอาทิตย์
ออกเสียบางส่วน ทำให้ความร้อนแรงนั้นทุเลาลงไปบ้าง และผิวพระอาทิตย์อันมีรัศมีเจิดจ้าที่ขูดออกมาได้นั้น
พระวิศวกรรมาได้นำไปรังสรรค์-ปั้น-แต่ง แล้วถวายให้เป็นอาวุธทรงอานุภาพและมีประกายแวววาวแก่เทพองค์สำคัญ
ของสวรรค์ชั้นฟ้า ได้แก่ อาวุธ "ตรีศูล" (สามง่าม) ของพระอิศวร "จักราวุธ" (กงจักร) ของพระนารายณ์
"วชิราวุธ" (สายฟ้า) ของพระอินทร์ "คทาวุธ" (กระบอง) ของท้าวกุเวร และ "โตมราวุธ" (หอก) ของพระขันทกุมาร เป็นต้น
นอกจากนี้ ผลงานการสร้างกรุงลงกา ให้แก่ทศกัณฐ์ ในเรื่องมหากาพย์รามายณะ สร้างกรุงทวารกาให้แก่พระกฤษณะ
(ซึ่งเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์) ในเรื่องมหากาพย์มหาภารตะ สร้างวิมานให้แก่พระวรุณ(เทพแห่งน้ำ) และพระยม
(เทพแห่งความตาย) สร้างราชรถบุษบกเป็นพาหนะ ให้แก่ท้าวกุเวร
พระวิษณุกรรม ท่านจึงเป็น "ผู้ทำทุกสิ่งทุกอย่าง" ( the "Universal Doer" ) คือเป็น "นายช่างแห่งจักรวาล"
นั้นยังไม่พอ เมื่อครั้งที่ อสูรสองตนพี่น้อง ชื่อ สุนทะ และอุปสุนทะ บำเพ็บตบะ บนยอดเขาวินไธย ทรมานกาย ด้วยการ
กินอากาศเป็นภักษา ยืนเขย่งขาเดียว ตาจ้องพระอาทิตย์ ในที่สุด ผลของตบะแรงกล้ามาก ภูเขาวินไธยกลายเป็นภูเขาไฟ
ระเบิดพวยพุ่งไปถึงสวรรค์ 16 ชั้นฟ้า
ร้อนถึงจอมเทพสำคัญ คือ พระพรหม ต้องเสด็จมาถามความต้องการของ สองอสูร สองอสูรพี่น้องก็ได้
โอกาศขอพร ขอให้ตัวเองเก่งกว่าใคร
ในสามโลก ชีวิตเป็นอมตะ ใครฆ่าไม่ตาย
พระพรหมก็อำนวยอวยเออห่อหมก ให้พรแบบไว้เชิง... ใครฆ่าก็ไม่ตาย ยกเว้นสองพี่น้องประหารเข่นฆ่ากันเอง
สองอสูร ได้พรแล้ว ก็เล่นบทนักเลงโต ตามสูตร ผู้เล่นเป็นตัวร้าย ( อาละวาดฟาดงวดฟาดงา ไล่เข่นฆ่านาคในบาดาล
ฆ่าฤาษีชีไพร อสูรด้วยกัน ตายเป็นเบือ ขนาดท้าวกุเวร หัวหน้ายักษ์ที่ว่าแน่ๆ ยังต้องหนีไปเฝ้าพระพรหมบนสวรรค์
อสูรพี่น้องก็ตามบุกไปถึงสวรรค์ ราวีพระอินทร์ พระอินทร์สู้ไม่ไหว ต้องอพยพหนีไปตั้งหลักที่พรหมโลก
เทพทุกชั้นฟ้าทนไม่ไหว ไปร้องทุกข์พระพรหม พระพรหมก็นำขบวนเทพ มนุษย์ นาค (สามโลก มี สวรรค์ มนุษย์
และบาดาล) ไปยังไตรภพของพระวิศวกรรม ขอให้นิรมิตนางอัปสร นางงามที่เลิศกว่านางงามทั้งปวง นางผู้มีความสามารถ
ยั่วยวนดูดดวงฤทัยบุรุษแม้แต่ ทวยเทพ ให้เคลิมเคล้มไหลหลงโดยง่าย ประดุจดังดวงจันทร์ที่ทรงอิทธิพลบังคับการขึ้นลง
ของน้ำในโลกได้ดังนั้น
พระพรหม เสนอ นางอัปสร ที่เป็นสุดยอดในสิบเทพกัญญา คือ อรุวศี (นางอัปสรที่สวยที่สุดในบรรดาอัปสรที่มีทั้งหมด)
นางรัมภา และนางเมนกา อัปสรเทพกัญญานั้น เป็นอัปสรที่เกิดจากพิธีกวนเกษียรสมุทร ของพระวิษณุ
แต่พระวิษณุกรรมไม่พอใจในความงามของอัปสร นางไหนเลย จึงขอสร้างนิรมิต ขึ้นมาใหม่
เทพวิศวกรรม สำแดงฤทธิ์ รวมเอารัตนอัญณีจากทุกสวรรค์ชั้นฟ้า ความหอมของมาลีทุกชนิด รัศมีดวงอาทิตย์ ศัพท์สังคีต
โหยหวนทุกกระแสเสียง สรรพสิ่งที่งามเลิศ เท่าที่สามโลกมี เคยเห็นและสัมผัส เอามาปั้นเป็น นางอัปสร ชื่อ นางติโลตตมา
(Tilottama) ขึ้นมาทันใด
นางติโลตมา ก็เหมือนนางอัปสร กลุ่มไทวิกะ ( Daivika ) ทั้งปวงในสวรรค์ นางสวยงามสมส่วน ร้องเล่นเต้นรำ บำรุงบำเรอ
สมเป็นนางสุรางคณา หมายถึง นางบำเรอทั่วไป หรืออีกชื่อหนึ่งคือ นางสุมชาตมา คือสตรีผู้เต็มไปด้วยความมัวเมาและ
น่าเพลิดเพลิน จำแลงแปลงกายได้หลายอย่าง ไม่มีความรักแท้ที่ยั่งยืน เพราะนางชื่นชอบการเปลี่ยนคู่ครองไปเรื่อยๆ
ตามคัมภีร์ปุรณะ เขียนไว้ว่า นางอัปสรคือนางที่ถูกสาป แม้จะมีรูปกายสวยงาม ร้องเล่นเต้นรำ เพื่อความบรรเทิงเริงรมย์
นางก็อยู่ในแผน นารีพิฆาต หรือ นางวัวเขาอ่อน เพราะหน้าที่ของนางคือ ใช้ความสวยแห่งรูปโฉมโนมพรรณ และความน่า
รื่นเริงบรรเทิงใจ ไปทำลาย ตบะของเหล่าฤษี ที่บำเพ็ญพรต ให้เกิดอาการ ตบะแตก ถือว่า อัปสรเป็นภัยอย่างหนึ่งของ
ตบะโยคะกรรม จนต้องเขียนวิธีป้องกันนางอัปสร ไว้เป็น คัมภีร์อาถรรพ์เวท
นางติโลตตมา ได้รับคำสั่งจากพระพรหม ให้ไปใช้เสน่ห์ ทำให้อสูรพี่น้องฆ่าฟันกันเอง
างก็ทูลลาพระพรหม จรลีลีลาศผ่านเหล่าทวยเทพ ทำให้เทพทั้งหลาย มองตาค้าง น้ำลายหกสามหยด (แต่งขึ้นเอง)
สติวิปลาสคลาดเคลื่อนกันถ้วนทั่ว
องค์พระอิศวร เดิมทีมีพักตร์เดียว เหลียวดูนางจนคอหมุนรอบ จึงได้พักตร์เพิ่มอีกสามเป็นสี่พักตร์
องค์พระอินทร์นั้น อาการหนักกว่าใคร สอดส่ายตาตามไป ดวงตา ก็เพิ่มทีละดวง จนถึงพันดวง
พระยมยังละเมอ เผลอไปเต้นระบำกับนาง ซึ่งการ เต้นรำด้วยความสนุกนานขาดสตินี้ ทำให้เกิดสิ่งอัปมงคลทั้งหลายได้รวมตัวกัน
ก่อเกิดเป็นอสูรที่ดุร้าย นามว่า อนลสูร ซึ่งเป็นปัญหาให้พระวิษณุ (พระนารายณ์) ต้องตามแก้ไขในเรือง อนลสูร
ทั้งหมดเป็นบทพิสูจน์ว่า " นางติโลตตมา สวยงดงาม
ที่สุดในสามโลก "
เมื่อนางติโลตตมา ลงมาในที่อสูรสองพี่น้องกำลังเสพสุขสำราญใจท่ามกลางสาวสวยในโลกมนุษย์
เมื่อสองอสูรเห็นนางติโลตตมา ก็ตะลึงตาค้าง อสูรสุนทะ เห็นนางเข้าฉุดมือด้านขวาไว้ อสูร อุปสุนทะ
ไม่รอช้าเขาฉุดมือด้านซ้าย ยื้อแย่งไปมาโดยมีนางติโลตตมาอยู่ตรงกลาง
ทั้งสองอสูร ไม่มีใครยอมใคร ยื้อแย่งแล้วเข่นฆ่ากันเอง ผลคือ ตายทั้งคู่
นางติโลตมาก็กลับมาสู่ ไตรภพของพระวิษณุกรรม พระพรหม เห็นว่า นางผู้งามที่สูดในสามโลกนี้จะเป็น
ปัญหามากในสวรรค์ จึงให้ไปหลบหลังพระอาทิตย์ที่แสงเจิดจ้า จนไม่มีใครมองเห็นนางอีกต่อไป
ที่มา : Tilottama - who was she in hinduism?
: พระวิษนุกรรมมา คือเทพของคณะวิศวกรรม
เพลง พายเรือพลอดรัก ทำนองเพลงจาก เขมรพายเรือ
~o~o~O~o~o~ ......... รสก ........ ที่สุดในสามโลก ....... รสก ........ ~o~o~O~o~o~
โอ้องค์พระวิษณุ ผู้บรรลุฌาณญาณ
บำเพ็ญศีลยาวนาน ในราตรีกาลไตรภพปลอดภัย
บัดนี้น่าเวทนา ทั้งสามโลกาลุกเป็นไฟ
ด้วยมืออสูรย์ใจร้าย สร้างผองภัยไปทั่วแดน
ตื่นเถิดองค์นารายณ์ โปรดปราบผองภัยให้แว่นแคว้น
บาดาลสวรรค์ โลก วิมานแมน ทุกดินแดนต่างคอยพระองค์
(โดยคุณ พิเศษ สังข์สุวรรณ )
จากบทประพันธ์ ผู้ที่อยู่ในสามโลก (ไตรภพ) คือ พระวิษณุกรรม คนไทยเข้าใจผิดว่า พระวิษณุกรรม
นั้นเป็นองค์เดียวกับพระวิษณุ (พระนารายณ์) หนึ่งใน ๓ เทพ องค์สำคัญของศาสนาฮินดู
พระวิศวกรรมา หรือพระวิษณุกรรม ท่านเป็นทั้งสถาปนิกและวิศวกร ที่มีความชำนาญงานช่างทุกแขนง
ในตำนานพุทธศาสนาเล่าว่า ท่านเป็นผู้สร้างอาศรมให้แก่พระโพธิสัตว์หลายพระองค์ เป็นผู้สร้างบันไดเงิน
บันไดทอง บันไดแก้ว ทอดจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลงมายังโลกมนุษย์ที่เมืองสังกัสสนคร ซึ่งเป็นเส้นทางที่
พระพุทธเจ้าใช้เสด็จลงจาก สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ทรงเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาในช่วงเข้าพรรษา)
ท่านยังเป็นผู้สร้าง วาฬสังฆาตยนต์ ซึ่งเป็นกงล้อหมุนรอบองค์พระสถูป ปกปักรักษาป้องกันมิให้บุคคลเข้าใกล้
พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ในตอนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ
จากผลงานทั้งสามอย่างด้านบน พระวิษณุกรรม ท่านเป็น
1. สถาปนิก 2. วิศวกรด้านโยธาและสำรวจ 3. วิศวกรเครื่องกล
ตามตำนานฮินดู พระวิศวกรรม ก็มีผลงานเด่นๆ สรรค์สร้างไว้มากมาย เช่น ครั้งหนึ่ง ธิดานางหนึ่งของท่าน
ชื่อว่านางสัญชญา เป็นชายาของพระอาทิตย์ บ่นให้พระวิศวกรรมาผู้เป็นพ่อฟังว่า พระอาทิตย์สามีของตนนั้น
ช่าง "ร้อนแรง" เหลือเกิน เข้าใกล้ไม่ค่อยได้ พระวิศวกรรมาสงสารลูกสาว จึงช่วยเหลือ โดยไปขูดผิวพระอาทิตย์
ออกเสียบางส่วน ทำให้ความร้อนแรงนั้นทุเลาลงไปบ้าง และผิวพระอาทิตย์อันมีรัศมีเจิดจ้าที่ขูดออกมาได้นั้น
พระวิศวกรรมาได้นำไปรังสรรค์-ปั้น-แต่ง แล้วถวายให้เป็นอาวุธทรงอานุภาพและมีประกายแวววาวแก่เทพองค์สำคัญ
ของสวรรค์ชั้นฟ้า ได้แก่ อาวุธ "ตรีศูล" (สามง่าม) ของพระอิศวร "จักราวุธ" (กงจักร) ของพระนารายณ์
"วชิราวุธ" (สายฟ้า) ของพระอินทร์ "คทาวุธ" (กระบอง) ของท้าวกุเวร และ "โตมราวุธ" (หอก) ของพระขันทกุมาร เป็นต้น
นอกจากนี้ ผลงานการสร้างกรุงลงกา ให้แก่ทศกัณฐ์ ในเรื่องมหากาพย์รามายณะ สร้างกรุงทวารกาให้แก่พระกฤษณะ
(ซึ่งเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์) ในเรื่องมหากาพย์มหาภารตะ สร้างวิมานให้แก่พระวรุณ(เทพแห่งน้ำ) และพระยม
(เทพแห่งความตาย) สร้างราชรถบุษบกเป็นพาหนะ ให้แก่ท้าวกุเวร
พระวิษณุกรรม ท่านจึงเป็น "ผู้ทำทุกสิ่งทุกอย่าง" ( the "Universal Doer" ) คือเป็น "นายช่างแห่งจักรวาล"
นั้นยังไม่พอ เมื่อครั้งที่ อสูรสองตนพี่น้อง ชื่อ สุนทะ และอุปสุนทะ บำเพ็บตบะ บนยอดเขาวินไธย ทรมานกาย ด้วยการ
กินอากาศเป็นภักษา ยืนเขย่งขาเดียว ตาจ้องพระอาทิตย์ ในที่สุด ผลของตบะแรงกล้ามาก ภูเขาวินไธยกลายเป็นภูเขาไฟ
ระเบิดพวยพุ่งไปถึงสวรรค์ 16 ชั้นฟ้า
ร้อนถึงจอมเทพสำคัญ คือ พระพรหม ต้องเสด็จมาถามความต้องการของ สองอสูร สองอสูรพี่น้องก็ได้
โอกาศขอพร ขอให้ตัวเองเก่งกว่าใครในสามโลก ชีวิตเป็นอมตะ ใครฆ่าไม่ตาย
พระพรหมก็อำนวยอวยเออห่อหมก ให้พรแบบไว้เชิง... ใครฆ่าก็ไม่ตาย ยกเว้นสองพี่น้องประหารเข่นฆ่ากันเอง
สองอสูร ได้พรแล้ว ก็เล่นบทนักเลงโต ตามสูตร ผู้เล่นเป็นตัวร้าย ( อาละวาดฟาดงวดฟาดงา ไล่เข่นฆ่านาคในบาดาล
ฆ่าฤาษีชีไพร อสูรด้วยกัน ตายเป็นเบือ ขนาดท้าวกุเวร หัวหน้ายักษ์ที่ว่าแน่ๆ ยังต้องหนีไปเฝ้าพระพรหมบนสวรรค์
อสูรพี่น้องก็ตามบุกไปถึงสวรรค์ ราวีพระอินทร์ พระอินทร์สู้ไม่ไหว ต้องอพยพหนีไปตั้งหลักที่พรหมโลก
เทพทุกชั้นฟ้าทนไม่ไหว ไปร้องทุกข์พระพรหม พระพรหมก็นำขบวนเทพ มนุษย์ นาค (สามโลก มี สวรรค์ มนุษย์
และบาดาล) ไปยังไตรภพของพระวิศวกรรม ขอให้นิรมิตนางอัปสร นางงามที่เลิศกว่านางงามทั้งปวง นางผู้มีความสามารถ
ยั่วยวนดูดดวงฤทัยบุรุษแม้แต่ ทวยเทพ ให้เคลิมเคล้มไหลหลงโดยง่าย ประดุจดังดวงจันทร์ที่ทรงอิทธิพลบังคับการขึ้นลง
ของน้ำในโลกได้ดังนั้น
พระพรหม เสนอ นางอัปสร ที่เป็นสุดยอดในสิบเทพกัญญา คือ อรุวศี (นางอัปสรที่สวยที่สุดในบรรดาอัปสรที่มีทั้งหมด)
นางรัมภา และนางเมนกา อัปสรเทพกัญญานั้น เป็นอัปสรที่เกิดจากพิธีกวนเกษียรสมุทร ของพระวิษณุ
แต่พระวิษณุกรรมไม่พอใจในความงามของอัปสร นางไหนเลย จึงขอสร้างนิรมิต ขึ้นมาใหม่
เทพวิศวกรรม สำแดงฤทธิ์ รวมเอารัตนอัญณีจากทุกสวรรค์ชั้นฟ้า ความหอมของมาลีทุกชนิด รัศมีดวงอาทิตย์ ศัพท์สังคีต
โหยหวนทุกกระแสเสียง สรรพสิ่งที่งามเลิศ เท่าที่สามโลกมี เคยเห็นและสัมผัส เอามาปั้นเป็น นางอัปสร ชื่อ นางติโลตตมา
(Tilottama) ขึ้นมาทันใด
นางติโลตมา ก็เหมือนนางอัปสร กลุ่มไทวิกะ ( Daivika ) ทั้งปวงในสวรรค์ นางสวยงามสมส่วน ร้องเล่นเต้นรำ บำรุงบำเรอ
สมเป็นนางสุรางคณา หมายถึง นางบำเรอทั่วไป หรืออีกชื่อหนึ่งคือ นางสุมชาตมา คือสตรีผู้เต็มไปด้วยความมัวเมาและ
น่าเพลิดเพลิน จำแลงแปลงกายได้หลายอย่าง ไม่มีความรักแท้ที่ยั่งยืน เพราะนางชื่นชอบการเปลี่ยนคู่ครองไปเรื่อยๆ
ตามคัมภีร์ปุรณะ เขียนไว้ว่า นางอัปสรคือนางที่ถูกสาป แม้จะมีรูปกายสวยงาม ร้องเล่นเต้นรำ เพื่อความบรรเทิงเริงรมย์
นางก็อยู่ในแผน นารีพิฆาต หรือ นางวัวเขาอ่อน เพราะหน้าที่ของนางคือ ใช้ความสวยแห่งรูปโฉมโนมพรรณ และความน่า
รื่นเริงบรรเทิงใจ ไปทำลาย ตบะของเหล่าฤษี ที่บำเพ็ญพรต ให้เกิดอาการ ตบะแตก ถือว่า อัปสรเป็นภัยอย่างหนึ่งของ
ตบะโยคะกรรม จนต้องเขียนวิธีป้องกันนางอัปสร ไว้เป็น คัมภีร์อาถรรพ์เวท
นางติโลตตมา ได้รับคำสั่งจากพระพรหม ให้ไปใช้เสน่ห์ ทำให้อสูรพี่น้องฆ่าฟันกันเอง
างก็ทูลลาพระพรหม จรลีลีลาศผ่านเหล่าทวยเทพ ทำให้เทพทั้งหลาย มองตาค้าง น้ำลายหกสามหยด (แต่งขึ้นเอง)
สติวิปลาสคลาดเคลื่อนกันถ้วนทั่ว
องค์พระอิศวร เดิมทีมีพักตร์เดียว เหลียวดูนางจนคอหมุนรอบ จึงได้พักตร์เพิ่มอีกสามเป็นสี่พักตร์
องค์พระอินทร์นั้น อาการหนักกว่าใคร สอดส่ายตาตามไป ดวงตา ก็เพิ่มทีละดวง จนถึงพันดวง
พระยมยังละเมอ เผลอไปเต้นระบำกับนาง ซึ่งการ เต้นรำด้วยความสนุกนานขาดสตินี้ ทำให้เกิดสิ่งอัปมงคลทั้งหลายได้รวมตัวกัน
ก่อเกิดเป็นอสูรที่ดุร้าย นามว่า อนลสูร ซึ่งเป็นปัญหาให้พระวิษณุ (พระนารายณ์) ต้องตามแก้ไขในเรือง อนลสูร
ทั้งหมดเป็นบทพิสูจน์ว่า " นางติโลตตมา สวยงดงาม ที่สุดในสามโลก "
เมื่อนางติโลตตมา ลงมาในที่อสูรสองพี่น้องกำลังเสพสุขสำราญใจท่ามกลางสาวสวยในโลกมนุษย์
เมื่อสองอสูรเห็นนางติโลตตมา ก็ตะลึงตาค้าง อสูรสุนทะ เห็นนางเข้าฉุดมือด้านขวาไว้ อสูร อุปสุนทะ
ไม่รอช้าเขาฉุดมือด้านซ้าย ยื้อแย่งไปมาโดยมีนางติโลตตมาอยู่ตรงกลาง
ทั้งสองอสูร ไม่มีใครยอมใคร ยื้อแย่งแล้วเข่นฆ่ากันเอง ผลคือ ตายทั้งคู่
นางติโลตมาก็กลับมาสู่ ไตรภพของพระวิษณุกรรม พระพรหม เห็นว่า นางผู้งามที่สูดในสามโลกนี้จะเป็น
ปัญหามากในสวรรค์ จึงให้ไปหลบหลังพระอาทิตย์ที่แสงเจิดจ้า จนไม่มีใครมองเห็นนางอีกต่อไป
ที่มา : Tilottama - who was she in hinduism?
: พระวิษนุกรรมมา คือเทพของคณะวิศวกรรม
เพลง พายเรือพลอดรัก ทำนองเพลงจาก เขมรพายเรือ