เงาอลวน - บทที่ 2 - รักษ์คำ

กระทู้สนทนา
http://ppantip.com/topic/33142869

บทที่ 2

    เจือแก้วแวะมาคุยด้วยตอนหัวค่ำ ไม่ได้มามือเปล่า แต่หอบหิ้วขนมนมเนยมาเผื่อด้วย หล่อนอายุสิบเก้าหย่อนๆ หน้าตาสวย ผิวขาว เป็นสาวเพชรบูรณ์ที่ค่อนไปทางเย้ายวน เขากินขนมไปพลางฟังหล่อนเล่าเจื้อยแจ้วไปพลาง

    "พ่อกับแม่ทำไร่จ้ะ แต่ไม่มีไร่ของตัวเองหรอกนะ เป็นคนงานในไร่พ่อเลี้ยงบูรณ์ เขาใจดี รูปหล่อ แถมยังโสด สาวๆ กรอกใบสมัครขอเป็นแฟนเขากันทั้งนั้น"

    "เจือแก้วด้วยหรือ"

    "อุ๊ย ไม่หรอก พ่อเลี้ยงเขาอยู่สูงเกินเอื้อม อย่างฉันน่ะ ระดับยามอย่างพี่ชมทองก็พอแล้ว"

    ชมทองหัวเราะเบาๆ เอ.. ไม่รู้เหมือนกันสิว่าชมทองเจ้าของตำแหน่งตัวจริงจะมีนิสัยเจ้าชู้หรือเปล่า ครั้นจะถามก็จนใจว่าเจ้าตัวไม่อยู่แล้ว อีกอย่างนะ ถ้ามานั่งให้สาวเพชรบูรณ์ตรงหน้าแทะโลมผ่านสายตาเจ้าชู้ ฟังเจ้าตัวจีบเสียงหวานๆ นายชมทองคนนั้นจะออกอาการปลาบปลื้มหรือเปล่า หรือว่าจะเฉยๆ เหมือนที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้

    "นั่นใคร" เขาถามขึ้น เพราะบังเอิญเลื่อนสายตาไปปะเข้ากับผู้หญิงผมยาวบนเก้าอี้รถเข็น

    "อ้อ คุณพิมพ์เช้า" เจือแก้วเหลียวไปมองแล้วหันกลับมาตอบเสียงหม่นๆ

    "ใครกัน"

    "ลูกสาวคนเล็กของคุณท่าน ภรรยาคุณฤกษ์ไง"

    "อ้อ จริงสิ" ชมทองค่อยฉุกคิดขึ้นได้ "นี่คุณฤกษ์สุรัตน์ยังไม่กลับจากทำงานอีกหรือครับ"

    "ยังจ้ะ เฮ้อ ตั้งแต่คุณเช้าประสบอุบัติเหตุจนพิการนะ คุณฤกษ์ก็ทำงานหนักกว่าเดิมอีกตั้งหลายเท่าตัว ฉันเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้"

    ชมทองฟังเสียงเปรยเห็นอกเห็นใจของเจือแก้วทุกคำ เขาลุกจากแคร่ไม้ตัวใหญ่ไปหยุดชิดแนวพุ่มโกสน เพ่งสายตาฝ่าแสงไฟสีนวลที่ส่องสว่างมาจากเสาสูงไปยังภรรยาพิการของเจ้านายหนุ่มที่เขายังไม่เห็นหน้า

    "ประสบอุบัติเหตุจนพิการหรือครับเจือแก้ว ยังไงครับ" สายตายังจ้องเขม็งอย่างสนใจ คำถามก็ต้องส่งออกไปด้วย

    "รถชนจ้ะ รายละเอียดน่ะฉันก็รู้ไม่มากหรอกนะ เอาคร่าวๆ แค่ว่าคุณเช้าขับรถไปหาคุณฤกษ์ แต่คืนนั้นพายุฝนถาโถมถล่มทลายเชียว ดินบนภูเขาทรุดไหลลงมาขวางถนน ฉันเดาว่าคุณเช้าคงตกใจจึงหักหลบ สุดท้ายก็.. "

    คนเล่าจำเพาะต้องมาทอดจังหวะตอนถึงฉากสำคัญ ชมทองนึกฉิวนิดๆ แบบนี้ไม่เรียกว่าศิลปะในการเล่าเรื่องเลยนะ แต่น่าจะเป็นวิธีเรียกร้องความสนใจเสียมากกว่า จนเมื่อดึงสายตาเหลียวหน้ากลับมานั่นแหละ จึงยิ่งแน่ใจว่าเจือแก้วเจ้าเล่ห์ อยากให้เขาทิ้งภาพไกลๆ เพื่อมาจดจ่อกับภาพใกล้ๆ อย่างหล่อน

    "ยิ้มอะไรครับ"

    "ก็ยิ้มสมใจที่ฉันทำให้พี่ชมทองหันกลับมาได้น่ะสิ"

    "แหม ไม่ขำเลยนะนี่"

    เขายังไม่กลับไปนั่ง เพราะยังอยากจดจ่อสายตากับเจ้านายสาวพิการบนเก้าอี้รถเข็นอีกสักหน่อย แต่คงต้องหลังจากรับรู้สาเหตุที่มาที่ไปของความพิการที่ว่านั่นก่อน

    "แล้วตกลงว่ายังไง หลังจากหักหลบรถแล้ว เกิดอะไรขึ้น"

    "รถตกเหวข้างทางน่ะสิ ดีนะ ที่ไม่ลึกมาก แถมยังมีต้นไม้ใหญ่มาช่วยขวางไว้อีก ทำให้ไม่พุ่งลงไปถึงข้างล่าง แค่ค้างเติ่งอยู่บนนั้น แล้วรอให้คนมาช่วย"

    "เธอยังมีสติอยู่ในรถหรือครับ"

    "ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ ตอนเจ้าหน้าที่ไปช่วยน่ะ คุณเช้าหมดสติแล้ว อาการสาหัสเลยละ ไม่อย่างนั้นจะออกมารูปนี้หรือ"

    "น่าสงสาร"

    เขาพึมพำพลางเหลียวกลับไปจดจ่อกับภาพหดหู่ตรงนั้นอีกครั้ง อายุอานามคงยังไม่ถึงสามสิบ แต่กลับต้องมาผจญกับความพิการตลอดไปเช่นนั้น ช่างเป็นชีวิตที่อับเฉาและแสนทรมานยิ่ง

    นั่นสินะ บนโลกใบนี้มีผู้คนอีกตั้งมากมายประสบเคราะห์กรรมเล็กใหญ่ไม่เท่าเทียม แต่โดยส่วนใหญ่เจ้าของเคราะห์กรรมก็มักจะมองว่าของตนน่ะยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ทว่า ในความเป็นจริงก็คือขึ้นชื่อว่าเคราะห์กรรมย่อมไม่มีใหญ่หรือเล็ก มันไม่มีขนาด ไม่มีรูปร่าง ที่มันมีก็คือ 'อิทธิพลโน้มน้าวจิตใจ'

    เฮ้อ เห็นสภาพน่าเวทนาของเธอแล้ว เขากลับค่อยรู้สึกได้ว่าทุกข์ของตนช่างไร้สาระสิ้นดี ก็แค่ครอบครัวแตกแยก บิดามารดาแยกทางกัน แต่เขาก็ยังไม่กำพร้า สองท่านยังมีชีวิตให้เขาโทรไปคุยด้วยยามคิดถึงแม้จะไม่บ่อยก็เถอะ

เขาแยกตัวมาอยู่ลำพัง ใช้ชีวิตไปอย่างโดดเดี่ยว แต่อิสรภาพก็ไม่เคยถูกจำกัด โลกใบกว้างก็ยังกว้างอยู่ อยากไปไหนก็ได้ไปอย่างเสรี แต่สำหรับเธอคงต่างออกไปและอย่างมหาศาลทีเดียว เสรีภาพถูกตัดขาด โลกย่อขนาดลงเท่ากับ 'เก้าอี้รถเข็น'



    'พยาบาลราศี' ปลีกตัวออกมาคุยโทรศัพท์กับ 'ฤกษ์สุรัตน์' หล่อนรายงานตามหน้าที่เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา และนานกว่าหกเดือนแล้ว ซึ่งฝ่ายโน้นฟังจนชินหู หรือแทบจะท่องได้ และทุกครั้งที่ได้ฟังก็จะพรายยิ้มอย่างพอใจ

    "เหมือนเดิมค่ะ รูปปั้นมีชีวิต ตาลอย จับวางตรงไหนก็ไร้ปฏิกิริยา เป็นแบบนี้ต่อไปอีกสักหน่อย รับรองว่ากล้ามเนื้อลีบหมด ทีนี้แหละ.. "

    "ก็ดีแล้วครับ ให้อยู่เหมือนตายแบบนั้นแหละ คุณบวรมั่นจะได้รู้สึกเสียบ้าง"

    "แหม แต่บางทีก็อดสงสารไม่ได้นะคะ จะว่าไปแล้วเธอก็เป็นผู้บริสุทธิ์แท้ๆ ไม่น่าต้องมารับกรรมแทนพ่อตัวเองเลย"

    ฤกษ์สุรัตน์อยู่ในงานเลี้ยง เขาพยายามยกระดับตัวเองด้วยการขยายสังคมให้กว้างออกไป ต้องให้นักธุรกิจทั้งรุ่นลายคราม รุ่นบุกเบิก รุ่นใหม่ เอ่ยชื่อเขาแล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ารู้จัก และเก่งเข้าขั้นสมกับตำแหน่งบุตรเขยนักธุรกิจระดับตำนานอย่างคุณบวรมั่น

    เปล่าเลย เขาไม่ต้องการลาภยศ ชื่อเสียง หรือเงินทองมหาศาลใดๆ ที่เขาต้องการคือตอบโต้ให้ถึงแก่น เขาถูกเปลวเพลิงแห่งความหายนะเผาไหม้จนตัวเกรียม แม้จะรอดชีวิตมาได้ แต่ทุกย่างก้าวนั้นก็แสนทุลักทุเล และต้องแลกมากับความเจ็บปวดแสนสาหัส ดังนั้น คนก่อกรรมกับเขาต้องชดใช้อย่างสาสม หรือหนักหน่วงยิ่งกว่า

    "ดูเหมือนว่ายามที่เราจ้างไว้จะมารายงานตัวแล้วนะคะ แต่ฉันยังไม่ได้ออกไปพูดคุยอะไรด้วยเลย"

พยาบาลราศีรายงานเรื่องต่อไปพลางชะเง้อดูสาวพิการที่หล่อนปล่อยให้นั่งตากน้ำค้างกลางสวนโน่น ใจจริงไม่อยากทรมานร่างกายเจ้าตัวอย่างนั้นเลย แต่จะให้ทำยังไงได้เล่า หล่อนไม่อยากขัดความประสงค์ของฤกษ์สุรัตน์นี่นา

    "คงไม่ต้องคุยอะไรมากหรอกครับ พี่นงจัดการเรื่องนี้เอง ก็คงไว้ใจได้นั่นแหละ ที่สำคัญก็คือเราเป็นเจ้านายโดยตรง อ้อ แล้วที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็ตรงที่.. "

    "ทำงานกับเราไม่นาน ฉันเข้าใจค่ะ"

    พยาบาลคนงามรีบต่อความอย่างมีไหวพริบ หล่อนยิ้มกว้างอย่างปลาบปลื้มเมื่อคู่สนทนาชมเปาะมาตามสาย คิดถึงเขาจังเลย เสียงเขานุ่มๆ ฟังสบาย ฟังเพลิน และอยากฟังไปเรื่อยให้อิ่มแสนอิ่มในทรวง

    ทว่า ตั้งแต่เขาแต่งงานกับ 'พิมพ์เช้า' วิถีแห่งรักระหว่างหล่อนกับเขาก็ดูรวนๆ กระทั่งเปลี่ยนโฉมไปเลยโดยสิ้นเชิง ใช่สิ ก็เขาต้องสวมบทบาทใหม่ เป็นสามีของบุตรสาวมหาเศรษฐี เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงคับเมืองเพชรบูรณ์ ส่วนหล่อนก็เป็นแค่พยาบาลต๊อกต๋อยที่เขาดึงมาร่วมวง ทางหนึ่งก็เพื่องาน อีกทางก็เพื่อ 'เสน่หา'



    ฝนตกตอนตีหนึ่งนิดๆ ปลุกชมทองตื่นจากฝัน เขาขมวดคิ้วลังเลก่อนจะลงจากเตียงไปแง้มผ้าม่านหน้าต่าง จนได้เห็นฝนโปรยปรายข้างนอกจึงแน่ใจว่าฝนตกจริงๆ ไม่ใช่ความฝัน อันที่จริงก็ฝันว่าฝนตกพอดีเชียว แถมยังได้คุยกับดวงวิญญาณของชมทองอีกต่างหาก ก็ไม่มีอะไรมาก เจ้าตัวแวะมาขอบคุณที่ทำหน้าที่พลเมืองดีช่วยพาตนส่งโรงพยาบาลก็เท่านั้น

    "อากาศก็เย็นจะตายอยู่แล้ว ฝนยังมาตกอีก เฮ้อ"

    เขางึมงำขณะถอยห่างจากหน้าต่างกลับมาห่อตัวด้วยผ้าห่ม ตาแข็งและหายง่วงไปแล้วจึงต้องเปิดไฟ นั่งโยกตัวซ้ายทีขวาทีอีกสักพักก็ตัดสินใจออกมาข้างนอก ทางเดินเปียกเจิ่งเพราะโดนฝนสาด บางแห่งพื้นไม่เสมอกัน ตรงไหนเป็นแอ่งเป็นคลื่นก็ขังน้ำไว้ได้เล็กน้อย

    "เอ๊ะ นั่นคุณพิมพ์เช้าหรือเปล่า"

    อุทานฉงนออกไปแล้วก็ต้องรีบปรี่ฝีเท้าไปหยุดชิดราวระเบียงด้วย ตายแล้ว ใช่เธอจริงๆ ดึกดื่นเลยเที่ยงคืนอย่างนี้ทำไมยังออกไปตากฝนแบบนั้นอีกเล่า พอดีพอร้ายเดี๋ยวก็โดนปอดบวมเล่นงานกันพอดี

    "พยาบาลราศีไปไหน"

    เขางึมงำฉงนอีกพลางฝีเท้าก็เร่งความเร็ว เขายังไม่เคยเจอตัวคุณพยาบาลที่ฤกษ์สุรัตน์จ้างมาดูแลภรรยาเคราะห์ร้ายหรอก แค่ฟังเจือแก้วเล่าเจื้อยแจ้วตอนหัวค่ำเท่านั้นเอง แต่ในฐานะผู้ดูแลใกล้ชิด หล่อนไม่น่าบกพร่องในหน้าที่ได้อย่างน่าแปลกใจอย่างนั้นนี่นา มีอย่างที่ไหนปล่อยเจ้านายพิการตากฝนกลางดึกกลางดื่น

    "คุณพิมพ์เช้าครับ เอ้อ ผมชื่อชมทอง เป็นยามคนใหม่นะครับ หลบเข้าข้างในก่อนนะ"

    เขาแนะนำตัวเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตกใจ โชคดีที่เห็นร่มคันใหญ่พิงข้างเสาต้นหนึ่งในจำนวนสามสี่ต้นที่ค้ำเฉลียงกว้างแต่ก็เปียกเจิ่งไปหมดแล้ว เขาจึงคว้ามากางกันฝนให้เจ้านายผู้น่าสงสาร

    "คงหนาวสินะครับ ตัวสั่นกึกๆ เลย"

    เขายองตัวลงพูดด้วย ตัวสั่นๆ ของเธอช่างน่าเวทนาอย่างยิ่งยวด ถ้าสองขายังดี เขาทายว่าเธอไม่อุตรินั่งแช่ให้ฝนเทใส่หัวโครมๆ เป็นแน่ พยาบาลราศีก็อีกคน หายไปไหนกัน ทำไมทิ้งเจ้านายไว้แบบนี้ เหมือนไม่ดูดำดูดีชอบกล

    ในใจตำหนิว่าคุณพยาบาลบกพร่องในหน้าที่ แต่สองมือก็ให้ความช่วยเหลืออย่างขมีขมัน เขาเลื่อนเก้าอี้รถเข็นมาจนชิดชายคา เล็งว่าตำแหน่งนั้นจะห่างวิถีฝนสาดถึง ยามเหลียวไปดูประตูกระจกแบบเลื่อนได้ทางเดียว ข้างในบดบังด้วยผ้าม่านผืนสวยสีฟ้าอ่อน ใจก็เริ่มลังเลอีกว่าควรเลื่อนเปิดเข้าไปดีไหม

    "เอาก็เอาวะ" เขาบอกตัวเองให้ทำในสิ่งที่ตัดสินใจ เพราะขืนลังเลโอ้เอ้ เจ้านายสาวซึ่งเปียกซกคงปอดบวมจริงๆ

    "อุ๊ย เธอเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้ยังไง นี่เป็นตึกใหญ่ เขตหวงห้ามนะ"

พยาบาลราศีเลื่อนประตูจากข้างในก่อน ยามประจันหน้ากับหนุ่มยามคนใหม่ซึ่งตนยังไม่เคยเจอก็สะดุ้งตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังวางมาดขวัญแข็ง โพล่งถามเจือติเตียนออกไปด้วยเสียงกระด้างเข้ม

"อ้อ ผมขอโทษครับ เอ้อ คือไม่มีเจตนาบุกรุกนะครับ เอ้อ คือผมตั้งใจจะ.. "

    "ต๊าย นั่นคุณเช้านี่ ทำไมเปียกซกอย่างนั้น ไปตากฝนมาหรือยังไงคะ ตายๆ นี่ถ้าคุณฤกษ์กลับมาเห็นเข้า ฉันคงโดนเอ็ดชุดใหญ่ คุณเองก็จะโดนเหมือนกันนะคะ เฮ้อ ไปค่ะไป จะทำอะไรทำไมไม่เจียมสังขารเสียบ้างเลยคะคุณเช้า"

    ชมทองกะพริบตาอย่างงงจังงัง แทนที่คุณพยาบาลจะติเตียนตนว่าบกพร่องใหญ่หลวงที่ปล่อยให้เจ้านายสาวตากฝนกลางสนามหญ้า แต่กลายเป็นว่าตนล้งเล้งใส่คนตัวเปียกซกว่าทำอะไรไม่เจียมสังขารพิการหรอกหรือ พิลึกชะมัด

    "อ้อ นี่เธอ บอกมาก่อนซิว่าเธอเป็นใคร แล้วดึกดื่นป่านนี้ทำไมมาป้วนเปี้ยนหน้าเฉลียงตึก"

    "ผมชื่อชมทองครับ เป็นยามคนใหม่ที่คุณฤกษ์จ้างมาประจำที่นี่ เพิ่งจะมาถึงวันนี้ เอ้อ ผมนอนไม่ค่อยหลับ คงเพราะผิดที่ ตื่นมาก็เห็นคุณพิมพ์เช้านั่งตาก.. "

    "เอาละ เข้าใจแล้ว" พยาบาลราศีรีบขัด "กลับไปนอนต่อเถอะ ขอบใจที่เป็นธุระให้นะ แล้วคราวหน้าคราวหลังก็อย่ามาป้วนเปี้ยนสุ่มสี่สุ่มห้าแถวนี้อีก ตึกใหญ่เป็นเขตหวงห้าม ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อน เธอจะเข้ามาเองโดยพละการไม่ได้ รู้ไหม"

    "รู้ครับ ผมจะจำไว้ เอ้อ รีบพาคุณพิมพ์เช้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่าครับ ผมห่วงว่าเธอจะเป็นปอดบวมเข้าเสียก่อน"

    "ไม่ต้องจุ้นจ้าน" เสียงคุณพยาบาลแหลมค่อนไปทางแว้ด แต่สีหน้าดูไม่ค่อยเหมือน เพราะยังราบเรียบอยู่ "ฉันเป็นพยาบาล รอบรู้เรื่องการดูแลรักษาคนเจ็บคนป่วยได้ดีกว่าเธออยู่แล้ว ไปได้แล้ว"

    ชมทองพยักหน้าหงึกๆ พร้อมเม้มปากอย่างกังวล คุณพยาบาลไม่ค่อยนุ่มนวลนักตอนกระชากเก้าอี้รถเข็นข้ามรางประตู เขาเห็นถนัดว่าเจ้านายสาวหัวสั่นหัวคลอนตามแรงสะเทือนหนักๆ สงสารเธอจังเลย อาการคงหนักไม่เบา แอบสงสัยนิดหน่อยด้วยว่าสมองส่วนไหนบกพร่องชำรุดหรือเสียหายยับเยิบแล้วอย่างนั้นหรือ ร่างกายของเธอถึงได้สิ้นไร้ปฏิกิริยาไปเสียหมด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่