http://ppantip.com/topic/33216679
บทที่ 6
เป็นครั้งแรกในรอบหกเดือนที่พิมพ์เช้าได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์โดยไม่ปิดกั้นความรู้สึก กิริยาสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ที่เธอทำอยู่ชวนให้คนยืนดูเงียบๆ อย่างเขาสะทกสะท้อนหัวใจอย่างยิ่งยวด ใช่สิ ก็ที่ผ่านมา เธอคงทำได้แค่นั่งตาลอย คอแข็ง เหมือนรูปปั้นที่คนปั้นฝีมือฉมังจัด ปั้นเสียเหมือนคนแท้ๆ ทว่า ดึกดื่นของคืนนี้ รูปปั้นแปลงกายเป็นสาวมีชีวิตแล้ว
"ผมแปลกใจ" เขาเอ่ยปรารภพลางเดินมายองตัวข้างเก้าอี้รถเข็น เงยหน้าขึ้นเพื่อประสานตาสดใสนิดๆ ของเธอ
"เรื่องไหนหรือ" เธอถาม แล้วค่อยเกี่ยวปอยผมที่โดนกระแสลมนุ่มพัดมาพลิ้วแถวแก้มไปทัดหู
"ทำไมคุณท่านไม่เอะอะโวยวายตอนเห็นคุณพิมพ์เช้า.. "
"เรียกเช้าก็พอ ประหยัดคำสักหน่อย ฉันไม่มีเวลามากนักหรอก เธอก็รู้นี่นายชมทอง"
"อ้อ ได้ครับ เอ้อ ผมแปลกใจว่าทำไมคุณท่านไม่เอะอะโวยวายตอนเห็นคุณเช้าถูกพยาบาลราศีกลั่นแกล้ง"
"กลั่นแกล้งหรือ" เจ้านายสาวย้อนกลั้วยิ้มเยาะปนขื่น "เธอเข้าข้างพยาบาลเลวคนนั้นมากไปแล้ว"
ชมทองเม้มปากขณะสังเกตได้ว่าเจ้านายสาวเคลื่อนไหวร่างกายท่อนบนได้อย่างคล่องแคล่ว เธอกอดอก ปล่อยมือแขน ยกขึ้นรวบผมเกล้าเป็นมวย กุมค้างไว้นิ่งชั่วอึดใจ คล้ายว่าอยากให้ต้นคอได้สัมผัสสายลมนุ่มยามดึกสักเล็กน้อย แล้วเธอก็คลายกรงนิ้ว เรือนผมยาวสลวยก็เทลงสยาย
"ไม่กลั่นแกล้งหรือครับ" เขาถาม
"ไม่" เธอตอบ "จงใจต่างหาก สิ่งที่นายฤกษ์ต้องการก็คือฆ่าฉันให้ตายอย่างแนบเนียน ให้ดูเป็นว่าสุขภาพของฉันแย่ลง ให้เหมือนว่าสภาพจิตใจของฉันต่อต้านกับสภาพร่างกายพิการจนหมดความกระตือรือร้นที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป"
"แล้วคุณท่าน.. "
"คุณพ่อไม่รู้เรื่องหรอก โทษท่านก็ไม่ได้ เพราะท่านก็เหมือนฉันที่ไว้ใจนายฤกษ์ พยาบาลราศีเป็นคนของเขา คุณพ่อก็ต้องไว้ใจเธอด้วย ไม่ว่าเธอจะโกหกแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ยังไง คุณพ่อก็ไม่เคยระแวง"
มิน่าเล่า คุณบวรมั่นถึงไม่เดือดเนื้อร้อนใจทั้งที่เห็นว่าบุตรสาวพิการของตนนั่งตากฝนตากแดด เว้นแต่คราวล่าสุดที่เก้าอี้รถเข็นไถลลงจากเนินและเกือบไปจบชีวิตของเธอ ณ ก้นสระน้ำ ตอนนั้นเองที่เขาค่อยเห็นว่าบิดาออกอาการตระหนก
"คุณพ่อเข้าไปต่อว่าต่อขานเธอ" พิมพ์เช้าเล่าเรื่อยๆ "แต่เธออ้างว่ากำลังคุยโทรศัพท์กับคุณหมอธานี หารือกันว่าจะส่งฉันไปรักษาตัวที่เมืองนอกดีไหม ที่นั่นมีศัลยแพทย์เก่งๆ หลายคน อย่างคุณหมอมาโนชซึ่งเป็นคนไทยและมีชื่อเสียงมาก"
"ก็แสดงว่าคุณฤกษ์สุรัตน์ไม่ได้นิ่งนอนใจเสียทีเดียวนะครับ อย่างน้อยเขาก็พยายามเสาะหาหมอมาช่วยรักษา"
"คุณหมอมาโนชไม่มีทางยอมมารักษาหรอก เชื่อฉันสิ ในโลกนี้ถ้าจะมีใครสักคนหนึ่งอยากช่วยให้ฉันกลับมาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเหมือนเดิมแล้วละก็ คนคนนั้นก็คือฉัน"
ชมทองขนลุกนิดๆ เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลในน้ำเสียงแกร่งที่เจ้านายสาวประกาศดั่งเย้ยหยันชะตาอาภัพ เธอผู้พิการน่ะหรือจะช่วยให้ตัวเองกลับมายืนได้อีกครั้ง เคลื่อนไหวด้วยสองขาปกติ และทิ้งเก้าอี้รถเข็นคันนี้ไป ไม่หรอก เธอแค่ประชดประชันอย่างคับแค้น เสียดสีฟ้าที่ดูดายกับเคราะห์ร้ายที่ท่านเองนั่นแหละส่งลงมาให้เธอ น่าสงสารเธอจัง
"ทำไมผมกลับคิดต่างออกไป"
แล้วเขาก็เอ่ยประโยคนี้ออกมา เธอดึงสายตาซึ่งเพ่งไปยังความมืดข้างหน้านานแล้วกลับมาประสานกับแสงปรารถนาดีอันเจิดจ้าในตาของเขา เลิกคิ้วนิดๆ คล้ายลังเลว่าเขากำลังแย้งหรือแค่บอกเฉยๆ
"ผมกลับคิดไปว่าในโลกนี้ถ้าจะมีใครสักคนหนึ่งอยากช่วยให้คุณเช้ากลับมาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเหมือนเดิมแล้วละก็ คนคนนั้นต้องเป็นผมต่างหาก"
"ไม่ได้หรอกนายชมทอง" เธอลากเสียงกึ่งซาบซึ้งกึ่งอาทร "สถานการณ์นี้มันอันตราย ดูฉันสิ รอดตายมาได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว แต่สุดท้ายก็อย่างที่เห็น ตายทั้งเป็นมันให้มาแต่ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสมากกว่าตายดับไปเสียจริงๆ หลายเท่านัก"
"ผมไม่กลัวหรอก ถ้ากลัวก็คงไม่คิดที่จะฝากอนาคตไว้กับอาชีพหมอมาตั้งแต่แรก"
พิมพ์เช้าเลิกคิ้วสูงขึ้นอีกนิด เธอฟังไม่ผิดใช่ไหม หนุ่มยามคนนี้กำลังบอกต่อเธอว่าเขาใฝ่ฝันอยากเป็นหมอ อืม แต่เมื่อลองตั้งใจสำรวจท่วงท่ากิริยากันอย่างละเอียดแล้ว เธอก็ค่อยพบว่าเขาดูไม่ค่อยเหมือนยามสักเท่าไหร่ ผิวพรรณดี หน้าตาดี แววตาสดใสแฝงความมุ่งมั่น คำพูดคำจาก็ฟังดูสำรวม รู้กาลเทศะ มีมารยาท นอบน้อม และเหมือนว่าจะ 'มีภูมิรู้'
"บอกผมสิว่าต้องทำยังไงบ้าง ผมยินดีและเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้คุณกลับมาเป็นคุณพิมพ์เช้าคนเดิม"
"ฉันต้องเดินให้ได้ก่อน"
พิมพ์เช้าเก็บสิ่งที่ตนสังเกตพบไว้ค่อยใคร่ครวญกันภายหลัง เธอตอบคำถามที่เผยเจตนาชัดเจนของเขาและผ่านเสียงหนักแน่นนั้นด้วยประโยคสำคัญ ใช่สิ เธอไม่มีวันกลับมาเป็นพิมพ์เช้าคนเดิมได้อย่างแน่นอน ตราบใดที่ยังเดินไม่ได้อยู่เช่นนี้
"แล้วต้องทำยังไงครับ"
"ต้องเปลี่ยนยาที่คนพวกนั้นจัดให้ฉันกินอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ช่วยอะไรนอกจากทำให้ฉันอ่อนแรง อ่อนเพลีย ฉันไม่มีความรู้ทางการแพทย์หรอก แต่ก็พอจะระบุได้นิดหน่อยว่ายาพวกนั้นจัดอยู่ในกลุ่มกดประสาท"
"คงป้อนให้ทุกทาง ทั้งกิน ฉีด และผ่านสายน้ำเกลือ"
"ใช่"
ตอนแรกพิมพ์เช้าก็ร้องรับกับพยักหน้า เธอไม่มีความรู้ทางการแพทย์ แต่เพราะคนเลวกลุ่มนั้นย่ามใจว่าเธอไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิงถึงได้กล้าหารือออกเสียงกันอย่างเต็มที่ คุณหมอธานีนั่นแหละตัวดีที่สุด เขาสารเลวไร้จรรยาบรรณในอาชีพ และยอมขายตัวเองเพียงเพื่อแลกกับค่าซื้อเป็นเงินมูลค่าสูงระดับเจ็ดหลัก
ทว่า ผ่านไปไม่ถึงอึดใจ เธอค่อยชะงักกับกิริยาคล้อยตามของตน ด้วยว่าสะดุดหูนิดหน่อยกับถ้อยเปรยของหนุ่มยาม เหมือนว่าเขาจะมีความรู้ด้านนี้ไม่เบาเลย
"อ้อ เอ้อ คือผมก็อ่านๆ เอาน่ะครับ อินเทอร์เน็ตก็มีเผยแพร่บทความเรื่องพวกนี้ออกเยอะแยะไปนะ ผมก็อ่านแล้วจำๆ มาน่ะ"
เขาหัวเราะแปร่งๆ เหมือนว่าจะรู้สึกตัวเมื่อเธอเปรยข้อกังขาออกมาตรงๆ รอยยิ้มนั้นกว้างก็จริงแต่เจื่อนมากจนกลายเป็นพิรุธในสายตาคาดคั้นเจือระแวงของเธอ กระทั่งเสียงชี้แจงตะกุกตะกักนิดหน่อยนั้นก็เช่นกัน ฟังยังไงก็เหมือนว่าเขากำลังเฉไฉกลบเกลื่อน
"ความจำเธอดีจนน่าทึ่ง" เธอทำทีเหน็บใส่ไปเบาๆ
"ก็ไม่เท่าคุณหรอกครับ ความอดทนอดกลั้นของคุณต่างหากที่ทำให้ผมทึ่ง"
แล้วประโยคที่เขาย้อนกลับมาก็กลายเป็นไมตรีแปลกๆ ที่ก่อให้ใจของเธอเกิดความวาบหวามขึ้น ทุกคำที่เขาพูดทำไมถึงได้ล้นหลามแรงดึงดูดประหลาดที่เธอก็ไม่อาจเข้าใจเช่นนี้หนอ ไม่เพียงเท่านั้นนะ ทำไมเธอต้องคอยแต่จะสบตากับเขาอยู่เรื่อยด้วย พยายามต่อต้านแข็งขืนยังไงก็ไม่สำเร็จเลย
นี่เธอระแวงเกินไป หรือยกย่องเขาเกินไปกันแน่ ถึงได้เกิดความคิดว่าเขาอาจไม่ใช่หนุ่มยามที่พี่สาวคนโตว่าจ้างให้มารักษาความปลอดภัยที่บ้านภูไหม แต่อาจเป็นใครอีกคนที่แฝงตัวเข้ามา แล้วใช้ตำแหน่งนั้นมาอำพราง 'เงาแท้ๆ '
เงาอลวน - บทที่ 6 - รักษ์คำ
บทที่ 6
เป็นครั้งแรกในรอบหกเดือนที่พิมพ์เช้าได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์โดยไม่ปิดกั้นความรู้สึก กิริยาสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ที่เธอทำอยู่ชวนให้คนยืนดูเงียบๆ อย่างเขาสะทกสะท้อนหัวใจอย่างยิ่งยวด ใช่สิ ก็ที่ผ่านมา เธอคงทำได้แค่นั่งตาลอย คอแข็ง เหมือนรูปปั้นที่คนปั้นฝีมือฉมังจัด ปั้นเสียเหมือนคนแท้ๆ ทว่า ดึกดื่นของคืนนี้ รูปปั้นแปลงกายเป็นสาวมีชีวิตแล้ว
"ผมแปลกใจ" เขาเอ่ยปรารภพลางเดินมายองตัวข้างเก้าอี้รถเข็น เงยหน้าขึ้นเพื่อประสานตาสดใสนิดๆ ของเธอ
"เรื่องไหนหรือ" เธอถาม แล้วค่อยเกี่ยวปอยผมที่โดนกระแสลมนุ่มพัดมาพลิ้วแถวแก้มไปทัดหู
"ทำไมคุณท่านไม่เอะอะโวยวายตอนเห็นคุณพิมพ์เช้า.. "
"เรียกเช้าก็พอ ประหยัดคำสักหน่อย ฉันไม่มีเวลามากนักหรอก เธอก็รู้นี่นายชมทอง"
"อ้อ ได้ครับ เอ้อ ผมแปลกใจว่าทำไมคุณท่านไม่เอะอะโวยวายตอนเห็นคุณเช้าถูกพยาบาลราศีกลั่นแกล้ง"
"กลั่นแกล้งหรือ" เจ้านายสาวย้อนกลั้วยิ้มเยาะปนขื่น "เธอเข้าข้างพยาบาลเลวคนนั้นมากไปแล้ว"
ชมทองเม้มปากขณะสังเกตได้ว่าเจ้านายสาวเคลื่อนไหวร่างกายท่อนบนได้อย่างคล่องแคล่ว เธอกอดอก ปล่อยมือแขน ยกขึ้นรวบผมเกล้าเป็นมวย กุมค้างไว้นิ่งชั่วอึดใจ คล้ายว่าอยากให้ต้นคอได้สัมผัสสายลมนุ่มยามดึกสักเล็กน้อย แล้วเธอก็คลายกรงนิ้ว เรือนผมยาวสลวยก็เทลงสยาย
"ไม่กลั่นแกล้งหรือครับ" เขาถาม
"ไม่" เธอตอบ "จงใจต่างหาก สิ่งที่นายฤกษ์ต้องการก็คือฆ่าฉันให้ตายอย่างแนบเนียน ให้ดูเป็นว่าสุขภาพของฉันแย่ลง ให้เหมือนว่าสภาพจิตใจของฉันต่อต้านกับสภาพร่างกายพิการจนหมดความกระตือรือร้นที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป"
"แล้วคุณท่าน.. "
"คุณพ่อไม่รู้เรื่องหรอก โทษท่านก็ไม่ได้ เพราะท่านก็เหมือนฉันที่ไว้ใจนายฤกษ์ พยาบาลราศีเป็นคนของเขา คุณพ่อก็ต้องไว้ใจเธอด้วย ไม่ว่าเธอจะโกหกแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ยังไง คุณพ่อก็ไม่เคยระแวง"
มิน่าเล่า คุณบวรมั่นถึงไม่เดือดเนื้อร้อนใจทั้งที่เห็นว่าบุตรสาวพิการของตนนั่งตากฝนตากแดด เว้นแต่คราวล่าสุดที่เก้าอี้รถเข็นไถลลงจากเนินและเกือบไปจบชีวิตของเธอ ณ ก้นสระน้ำ ตอนนั้นเองที่เขาค่อยเห็นว่าบิดาออกอาการตระหนก
"คุณพ่อเข้าไปต่อว่าต่อขานเธอ" พิมพ์เช้าเล่าเรื่อยๆ "แต่เธออ้างว่ากำลังคุยโทรศัพท์กับคุณหมอธานี หารือกันว่าจะส่งฉันไปรักษาตัวที่เมืองนอกดีไหม ที่นั่นมีศัลยแพทย์เก่งๆ หลายคน อย่างคุณหมอมาโนชซึ่งเป็นคนไทยและมีชื่อเสียงมาก"
"ก็แสดงว่าคุณฤกษ์สุรัตน์ไม่ได้นิ่งนอนใจเสียทีเดียวนะครับ อย่างน้อยเขาก็พยายามเสาะหาหมอมาช่วยรักษา"
"คุณหมอมาโนชไม่มีทางยอมมารักษาหรอก เชื่อฉันสิ ในโลกนี้ถ้าจะมีใครสักคนหนึ่งอยากช่วยให้ฉันกลับมาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเหมือนเดิมแล้วละก็ คนคนนั้นก็คือฉัน"
ชมทองขนลุกนิดๆ เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลในน้ำเสียงแกร่งที่เจ้านายสาวประกาศดั่งเย้ยหยันชะตาอาภัพ เธอผู้พิการน่ะหรือจะช่วยให้ตัวเองกลับมายืนได้อีกครั้ง เคลื่อนไหวด้วยสองขาปกติ และทิ้งเก้าอี้รถเข็นคันนี้ไป ไม่หรอก เธอแค่ประชดประชันอย่างคับแค้น เสียดสีฟ้าที่ดูดายกับเคราะห์ร้ายที่ท่านเองนั่นแหละส่งลงมาให้เธอ น่าสงสารเธอจัง
"ทำไมผมกลับคิดต่างออกไป"
แล้วเขาก็เอ่ยประโยคนี้ออกมา เธอดึงสายตาซึ่งเพ่งไปยังความมืดข้างหน้านานแล้วกลับมาประสานกับแสงปรารถนาดีอันเจิดจ้าในตาของเขา เลิกคิ้วนิดๆ คล้ายลังเลว่าเขากำลังแย้งหรือแค่บอกเฉยๆ
"ผมกลับคิดไปว่าในโลกนี้ถ้าจะมีใครสักคนหนึ่งอยากช่วยให้คุณเช้ากลับมาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเหมือนเดิมแล้วละก็ คนคนนั้นต้องเป็นผมต่างหาก"
"ไม่ได้หรอกนายชมทอง" เธอลากเสียงกึ่งซาบซึ้งกึ่งอาทร "สถานการณ์นี้มันอันตราย ดูฉันสิ รอดตายมาได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว แต่สุดท้ายก็อย่างที่เห็น ตายทั้งเป็นมันให้มาแต่ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสมากกว่าตายดับไปเสียจริงๆ หลายเท่านัก"
"ผมไม่กลัวหรอก ถ้ากลัวก็คงไม่คิดที่จะฝากอนาคตไว้กับอาชีพหมอมาตั้งแต่แรก"
พิมพ์เช้าเลิกคิ้วสูงขึ้นอีกนิด เธอฟังไม่ผิดใช่ไหม หนุ่มยามคนนี้กำลังบอกต่อเธอว่าเขาใฝ่ฝันอยากเป็นหมอ อืม แต่เมื่อลองตั้งใจสำรวจท่วงท่ากิริยากันอย่างละเอียดแล้ว เธอก็ค่อยพบว่าเขาดูไม่ค่อยเหมือนยามสักเท่าไหร่ ผิวพรรณดี หน้าตาดี แววตาสดใสแฝงความมุ่งมั่น คำพูดคำจาก็ฟังดูสำรวม รู้กาลเทศะ มีมารยาท นอบน้อม และเหมือนว่าจะ 'มีภูมิรู้'
"บอกผมสิว่าต้องทำยังไงบ้าง ผมยินดีและเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้คุณกลับมาเป็นคุณพิมพ์เช้าคนเดิม"
"ฉันต้องเดินให้ได้ก่อน"
พิมพ์เช้าเก็บสิ่งที่ตนสังเกตพบไว้ค่อยใคร่ครวญกันภายหลัง เธอตอบคำถามที่เผยเจตนาชัดเจนของเขาและผ่านเสียงหนักแน่นนั้นด้วยประโยคสำคัญ ใช่สิ เธอไม่มีวันกลับมาเป็นพิมพ์เช้าคนเดิมได้อย่างแน่นอน ตราบใดที่ยังเดินไม่ได้อยู่เช่นนี้
"แล้วต้องทำยังไงครับ"
"ต้องเปลี่ยนยาที่คนพวกนั้นจัดให้ฉันกินอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ช่วยอะไรนอกจากทำให้ฉันอ่อนแรง อ่อนเพลีย ฉันไม่มีความรู้ทางการแพทย์หรอก แต่ก็พอจะระบุได้นิดหน่อยว่ายาพวกนั้นจัดอยู่ในกลุ่มกดประสาท"
"คงป้อนให้ทุกทาง ทั้งกิน ฉีด และผ่านสายน้ำเกลือ"
"ใช่"
ตอนแรกพิมพ์เช้าก็ร้องรับกับพยักหน้า เธอไม่มีความรู้ทางการแพทย์ แต่เพราะคนเลวกลุ่มนั้นย่ามใจว่าเธอไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิงถึงได้กล้าหารือออกเสียงกันอย่างเต็มที่ คุณหมอธานีนั่นแหละตัวดีที่สุด เขาสารเลวไร้จรรยาบรรณในอาชีพ และยอมขายตัวเองเพียงเพื่อแลกกับค่าซื้อเป็นเงินมูลค่าสูงระดับเจ็ดหลัก
ทว่า ผ่านไปไม่ถึงอึดใจ เธอค่อยชะงักกับกิริยาคล้อยตามของตน ด้วยว่าสะดุดหูนิดหน่อยกับถ้อยเปรยของหนุ่มยาม เหมือนว่าเขาจะมีความรู้ด้านนี้ไม่เบาเลย
"อ้อ เอ้อ คือผมก็อ่านๆ เอาน่ะครับ อินเทอร์เน็ตก็มีเผยแพร่บทความเรื่องพวกนี้ออกเยอะแยะไปนะ ผมก็อ่านแล้วจำๆ มาน่ะ"
เขาหัวเราะแปร่งๆ เหมือนว่าจะรู้สึกตัวเมื่อเธอเปรยข้อกังขาออกมาตรงๆ รอยยิ้มนั้นกว้างก็จริงแต่เจื่อนมากจนกลายเป็นพิรุธในสายตาคาดคั้นเจือระแวงของเธอ กระทั่งเสียงชี้แจงตะกุกตะกักนิดหน่อยนั้นก็เช่นกัน ฟังยังไงก็เหมือนว่าเขากำลังเฉไฉกลบเกลื่อน
"ความจำเธอดีจนน่าทึ่ง" เธอทำทีเหน็บใส่ไปเบาๆ
"ก็ไม่เท่าคุณหรอกครับ ความอดทนอดกลั้นของคุณต่างหากที่ทำให้ผมทึ่ง"
แล้วประโยคที่เขาย้อนกลับมาก็กลายเป็นไมตรีแปลกๆ ที่ก่อให้ใจของเธอเกิดความวาบหวามขึ้น ทุกคำที่เขาพูดทำไมถึงได้ล้นหลามแรงดึงดูดประหลาดที่เธอก็ไม่อาจเข้าใจเช่นนี้หนอ ไม่เพียงเท่านั้นนะ ทำไมเธอต้องคอยแต่จะสบตากับเขาอยู่เรื่อยด้วย พยายามต่อต้านแข็งขืนยังไงก็ไม่สำเร็จเลย
นี่เธอระแวงเกินไป หรือยกย่องเขาเกินไปกันแน่ ถึงได้เกิดความคิดว่าเขาอาจไม่ใช่หนุ่มยามที่พี่สาวคนโตว่าจ้างให้มารักษาความปลอดภัยที่บ้านภูไหม แต่อาจเป็นใครอีกคนที่แฝงตัวเข้ามา แล้วใช้ตำแหน่งนั้นมาอำพราง 'เงาแท้ๆ '