พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๒ สัตว์พันปี : บทที่ ๔ จุดประสงค์ขององค์ชายสาม

กระทู้สนทนา
ตอนที่ผ่านมา

บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/32585189
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/32602706
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/32624570


สัตว์พันปี : บทที่ ๔ จุดประสงค์ขององค์ชายสาม

พลับพลาที่ประทับของฮ่องเต้ตั้งอยู่บริเวณชายป่าซึ่งอยู่ในอาณาเขตของเมืองห่าวซิน ถัดจากพลับพลาไปทางทิศตะวันตกเป็นผืนป่ากว้างครอบคลุมอาณาเขตของทั้งเมืองห่าวซินและจุ้ยห้าน ป่าในแถบนี้เป็นไม้ผลัดใบที่มีความหลากหลาย แต่เมื่อเดินลึกเข้าไปได้ระยะหนึ่งป่าจะเปลี่ยนสภาพไปเป็นป่าทึบ ซึ่งดินแดนส่วนนี้เรียกกันติดปากว่า ‘ป่าพิษ’

ในฤดูร้อนสถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยละอองเกสรของพืช หากเผลอไปสัมผัสหรือสูดเข้าไปในร่างกายจะเกิดอาการคัน ไม่ก็จับไข้ บางคนมีอาการแพ้มากจนถึงขั้นเสียชีวิตก็มี การเข้าไปในอาณาบริเวณนี้จึงต้องรอให้ป่าเปิดก่อน ป่าเปิดในที่นี้หมายถึงช่วงที่ดอกไม้พิษโรยราและมีสายฝนมาชะเอาละอองเกสรออกไปจากอณูอากาศ

ก่อนหน้านี้มีพรานผู้หนึ่งพบร่องรอยของสัตว์พันปีหายเข้าไปในป่าพิษ เมื่อป่าเปิดจึงมีการส่งพรานมือฉมังออกไปตามหาร่องรอย ทว่ากลับไม่พบสิ่งใดเลย ฮ่องเต้เสด็จจากเมืองหลวงมาเจ็ดวันแล้ว หากยังไม่มีอะไรคืบหน้า การออกล่าจะถูกยกเลิกในไม่ช้า

เพื่อมิให้พระบิดาต้องเสด็จกลับเมืองหลวงมือเปล่า องค์ชายบางองค์จึงแอบส่งพรานเข้าไปป่าเพิ่ม ซึ่งการกระทำนี้ถือว่าเป็นเรื่องโง่เขลา สัตว์พันปีเป็นสัตว์ที่อ่อนไหว มันมีจมูกที่มีประสิทธิภาพสูงมากจึงดมกลิ่นได้ในระยะไกล หากพบกลิ่นอายที่ไม่คุ้นเคยส่อเค้าว่าจะนำภัยมาสู่ มันจะรีบหนีหายไปในทันที

ฮ่องเต้ทรงรู้ว่าองค์ชายสี่กับองค์ชายเจ็ดทำให้เสียเรื่อง กระนั้นก็ยังพระทัยเย็น ในบันทึกประวัติศาสตร์ระบุเอาไว้ชัดว่ามีความสำเร็จอยู่เพียงหนึ่งหนในการออกล่าร้อยครั้ง พระองค์จึงไม่ทรงคาดหวัง ที่เสด็จมาที่นี่ก็เพื่อตรวจตราความเป็นอยู่ของราษฏร์และสอนการปกครองให้โอรสผ่านงานที่ทรงมอบหมายให้

หากพิจารณาให้ดีย่อมมองวัตถุประสงค์ของฮ่องเต้ออก บรรดาองค์ชายที่มีไหวพริบจึงตั้งใจทำงานตามกระแสรับสั่งมากกว่าใส่ใจเรื่องการล่า องค์รัชทายาท องค์ชายรองและองค์ชายห้า ต่างก็ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ที่น่าเป็นห่วงเห็นจะเป็นองค์ชายสาม ซึ่งหายหน้าไปหลายวัน มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าก็ตามตัวไม่พบ องค์ชายหกที่เป็นน้องร่วมมารดาก็ไม่ทราบว่าหายไปไหน ได้แต่แก้ต่างให้ว่าพี่ชายออกไปทำงานตามรับสั่งเสด็จพ่อ

ข้ออ้างเรื่องงานไม่สามารถใช้ซ้ำเป็นหนที่สองได้ เพราะสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงมอบหมายให้องค์ชายสามทำไม่ได้ยากเย็นเลย แค่นำเสื้อผ้ากับอาหารไปแจกจ่ายแก่ชาวบ้านยากไร้ในเขตนี้เท่านั้น เย็นนี้เสด็จพ่อมีรับสั่งให้บรรดาองค์ชายมาร่วมโต๊ะเสวย ทั้งยังเชิญฮองเฮากับองค์หญิงทั้งหลายมาด้วย หากพี่สามยังหายหน้าไปอีกเห็นทีจะถูกกริ้ว

องค์ชายลี่หยางได้แต่ภาวนาให้พี่ชายมาทัน ทว่าคนเอาแต่ใจก็ยังหายเงียบ ยังดีที่รู้จักส่งคนมาแจ้งว่าจะมาช้าสักหน่อย

“สายได้ตลอดจริงๆ เจ้าลูกคนนี้” ฮ่องเต้ทรงตำหนิแค่พอเป็นพิธี ด้วยชาชินกับความไร้ระเบียบของโอรสแล้ว

“องค์ชายสามอาจมีเรื่องให้แปลกใจก็ได้นะเพคะ” ฮองเฮาตรัส

“จะอะไรก็ช่างเถอะ คนครบแล้วเราเริ่มกินกันเลยดีกว่า”

ฮ่องเต้ทรงไม่อยากคาดหวัง เรื่องแปลกใจของเจ้าลูกคนนี้ส่วนใหญ่มักทำให้ปวดหัวเสียมากกว่ายิ้มออก

“คนยังไม่ครบนะเพคะเสด็จพ่อ ขาดพี่สิบกับกุ้ยฮวา” องค์หญิงสิบสี่ทักท้วง เจตนาของนางคือการฟ้องดีๆ นี่เอง

องค์หญิงน้อยอิจฉาพี่สาวที่ได้รับความรักจากพระบิดามากกว่าใคร กระนั้นก็ไม่เคยริษยา พี่สิบใจดีกับนางเสมอ นางจึงรักพี่สาวคนนี้มาก ส่วนกุ้ยฮวานั้นเป็นอารมณ์หมั่นไส้ค่อนไปทางเกลียด ด้วยมองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงท่านหญิงตราตั้ง น้องแท้ๆ รึก็ไม่ใช่ แต่พวกผู้ใหญ่กลับใส่ใจมากกว่านาง

“ลี่จูกับกุ้ยฮวาของดไม่มาร่วมโต๊ะ” ฮ่องเต้ทรงตอบ ก่อนจะเริ่มเสวย

ฮองเฮาทรงรอให้สวามีเคี้ยวคำแรกเรียบร้อยก่อน แล้วจึงค่อยถามข้อสงสัยแทนโอรส

“กุ้ยฮวาไม่สบายหรือเพคะ”

เหวินหรงมองไปยังที่นั่งของกุ้ยฮวาเป็นระยะ พระนางจึงเดาได้ว่าลูกอยากรู้สิ่งใด

“นางแข็งแรงดีแต่คงจะเหนื่อย ลี่จูเลยขออยู่เป็นเพื่อน”

“ช่างเป็นท่านหญิงที่โชคดีเสียจริง ได้องค์หญิงมาคอยเอาอกเอาใจ” องค์หญิงสิบสี่พึมพำในเชิงประชด

“ถ้าอิจฉาก็ป่วยบ้างสิ พี่จะคอยพยาบาลเจ้าเอง” องค์หญิงสิบสามอาสาด้วยรอยยิ้ม

แม้จะยังเด็กนางก็ฉลาดพูด เข้าใจหาเรื่องค่อนน้องสาวว่าขี้อิจฉา แล้วยังรู้จักเอาหน้าด้วยการทำตัวมีน้ำใจ

“ข้าไม่ได้อิจฉา” องค์หญิงน้อยโต้กลับด้วยใบหน้างอง้ำ

หากเป็นยามปกติองค์หญิงสิบสามคงพูดยั่วให้น้องสาวยิ่งฉุนโกรธ แต่หนนี้นางนิ่งเฉยไม่ต่อปากต่อคำเพราะรู้กาลเทศะ

องค์หญิงน้องเล็กคิดไม่ได้อย่างพี่สาว นางขัดใจที่ถูกเมิน พระบิดาเองก็ไม่เข้าข้าง มัวแต่สนทนากับบรรดาองค์ชายทั้งหลาย นางจึงหาเรื่องเรียกร้องความสนใจ ด้วยการวางตะเกียบ ในที่สุดฮ่องเต้ก็ทรงสังเกตเห็น

“อาหารไม่ถูกปากรึจินเฟิ่ง”

“ลูกว่าผักพวกนี้รสชาติแปลกๆ เพคะ”

จริงอย่างที่องค์หญิงสิบสี่ว่า ผักที่นำมาทำอาหารมื้อนี้ล้วนแต่เป็นของท้องถิ่นตามกระแสรับสั่ง แม้จะปรุงอย่างพิถีพิถันรสชาติก็ยังสู้อาหารที่รับประทานตามปกติไม่ได้

“ทุกคนกินได้ เจ้าก็ต้องกิน” ฮ่องเต้ทรงตำหนิ

องค์หญิงสิบสี่หน้าเสีย นางตั้งท่าจะร้องไห้ด้วยความน้อยใจ ฮ่องเต้ทรงรู้ว่าเข้มงวดเกินไป จึงตรัสกับพระธิดาด้วยสุรเสียงอ่อนลง ว่าวันนี้จะยอมยกให้สักวัน นางจึงค่อยยิ้มออก

“ไปบอกห้องเครื่องว่าให้หาอะไรที่อร่อยกว่านี้มาที”

มหาดเล็กเร่งออกไปด้านนอกตามบัญชา อึดใจเดียวอาหารก็ถูกยกมา หนนี้ก็ยังมีแต่ผักอีกเช่นเคย แถมยังเป็นซุปผักใส่เต้าหู้ท่าทางไม่น่ากินเลยสักนิด

องค์หญิงสิบสี่มองอาหารจานใหม่แล้วก็ทำหน้าเบ้ ทว่าก็ไม่กล้าเรียกร้องอีก นางตักซุปในชามขึ้นมาชิมแบบกล้าๆ กลัวๆ

“อร่อย!” องค์หญิงน้อยอุทานเมื่อน้ำซุปรสกลมกล่อมสัมผัสถูกลิ้น

ทุกคนเห็นแบบนี้แล้วก็เลยลองชิมดูบ้าง ผลคือมีเสียงชมไม่ขาดปาก จนฮ่องเต้ต้องมีรับสั่งถามว่าผักที่ใช้ปรุงอาหารจานนี้คืออะไร สบโอกาสให้คนที่แอบดูสถานการณ์อยู่ออกมาแสดงตัว

“ผักรั้วพะยะค่ะ” องค์ชายสามตอบคำถามให้แทนมหาดเล็ก

ผักรั้วของที่นี่เหมือนกับต้นตำลึงทุกประการ ต่างกันก็แต่ชื่อเรียกเท่านั้น

“รู้ดีอย่างนี้แสดงว่านี่คงเป็นอาหารฝีมือเจ้าอีกละสิ”

“ลูกขอประทานอภัยที่ไม่ได้แจ้งให้ทรงทราบก่อน ทั้งยังสับเปลี่ยนเครื่องเสวยโดยพลการ” องค์ชายสามรีบคุกเข่าอย่างรู้งาน

“ผักนี่มีปัญหาอะไร”

ลี่หมิงใช้คำว่า ‘สับเปลี่ยนเครื่องเสวยโดยพลการ’ แสดงว่ารายการอาหารนี้ต้องไม่ผ่านความเห็นชอบจากห้องเครื่อง

“ตัวผักไม่มีปัญหาพะยะค่ะ สามารถกินได้ ทั้งยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย แต่คนไม่นิยมนำมาประกอบอาหารเพราะมีทัศนคติที่ไม่ดี”

“ทัศนคติ?” ฮ่องเต้ทรงทวนคำก่อนจะแย้มโอษฐ์ “เรื่องนี้น่าสนใจ เจ้าอย่าเพิ่งเฉลย ให้พวกพี่ๆ น้องๆ ได้แสดงความเห็นกันก่อน ว่าทำไมคนครัวถึงไม่กล้านำมาขึ้นโต๊ะ”

แม้แต่เวลาอาหาร ฮ่องเต้ก็ยังไม่วายหาเรื่องทดสอบบรรดาโอรส องค์ชายแต่ละองค์ผลัดกันแสดงความเห็น บ้างก็บอกว่าเป็นเพราะไม่รู้วิธีปรุง บ้างก็ว่าคนเชื่อว่ามีพิษ องค์รัชทายาทกับองค์ชายรองเดาได้ใกล้เคียงว่าเป็นอาหารสัตว์ ส่วนคนที่ตอบได้ถูกต้องและมีรายละเอียดครบถ้วนมากที่สุดก็คือองค์ชายห้า

“มันเป็นอาหารหมู”

“ท่านกล้าเอาอาหารหมูขึ้นโต๊ะเสวย” องค์ชายเจ็ดอุทานด้วยความตระหนก

ฮองเฮาถึงกับหน้าซีด ด้วยทรงหวั่นเกรงว่าพระสวามีจะกริ้ว แล้วก็จริงเสียด้วย ฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นมาตรัสด้วยเสียงดัง

“เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวไหมลี่หมิง”

“ลูกทำไปเพราะหวังดีพะยะค่ะ อาหารหมูเป็นแค่คำเรียก รสชาติมันออกจะดีทั้งยังมีประโยชน์แท้ๆ ทั้งยังหาได้ง่ายมาก แต่ชาวบ้านกลับไม่นิยมกินกัน เสด็จพ่อไม่คิดว่าน่าเสียดายหรอกหรือ ลูกเลยคิดว่าถ้าจะเปลี่ยนทัศนคติ ก็ต้องเริ่มจากผู้เป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดินก่อน”

“ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่หากคนทั่วไปรู้ว่าฮ่องเต้เสวยของชั้นต่ำ มิเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติหรือ” องค์ชายรองค้าน

“เสด็จพ่อเป็นประหนึ่งสมมุติเทพ ใครเลยจะกล้านินทา” องค์ชายสามโต้กลับอย่างใจเย็น “อีกอย่างผักที่ข้านำมาก็ไม่ใช่ผักรั้วเสียทีเดียว ต้องเรียกผักวังถึงจะถูก”

องค์ชายสามอธิบายต่อว่าเจ้าผักนี่ขึ้นอยู่ในตำหนักพักร้อนของอดีตฮ่องเต้ นอกจากผักแล้วยังมีหัวมันและพืชผักป่าอีกหลายอย่างที่คนไม่นิยมกิน แต่กลับงอกงามทั้งที่ไม่มีใครดูแล องค์ชายลี่หมิงจึงเก็บกลับมาหมด อันไหนคนครัวยอมปรุงให้ก็ได้ขึ้นโต๊ะเสวย อันไหนที่ไม่ยอมก็แอบนำเข้ามาดังที่เห็น

“ระหว่างกลับจากการไปช่วยเหลือชาวบ้าน ลูกก็คิดมาตลอดว่าจะทำอย่างไรให้คนพวกนั้นกินดีอยู่ดีขึ้น ครั้นจะแนะนำให้ปลูกพืชชนิดใหม่อย่างเดียว ก็คงจำกัดกันอยู่ในกลุ่มคนจน นำมาขายแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราไม่ได้ หากเสด็จพ่อทรงอนุญาต ลูกอยากขอประทานนามพันธุ์พืชเหล่านี้ใหม่ แล้วแจกจ่ายให้กับชาวบ้านยากไร้ไปเพาะปลูก แทนข้าวและพืชผลที่ไม่เหมาะกับสภาพพื้นที่”

เมื่อได้รับฟังแผนการ ความขุ่นเคืองในพระทัยฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไปเป็นความประทับใจ

“ดี...เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมมาก ทุกคนจำเอาไว้ ต่อไปหากพ่อสั่งการอันใด ก็ต้องคิดต่อให้ได้อย่างลี่หมิง”

ฮ่องเต้ไม่เพียงแต่ตรัสชม ยังประทานรางวัลให้ด้วย ทว่าองค์ชายสามกลับไม่ขอรับเอาไว้

“ลูกมิกล้ารับความชอบเอาไว้คนเดียว หากไม่มีผู้ช่วยที่ดี งานนี้คงยากจะสำเร็จ”

“เรียกผู้ช่วยของเจ้าเข้ามา ข้าจะให้รางวัลด้วย”

ฮ่องเต้ต้องแปลกพระทัยอีกครั้งเมื่อได้พบหน้าผู้ช่วยทั้งสี่

“พวกเจ้าไม่ได้พักผ่อนหรอกรึ” ฮ่องเต้ตรัสถามองค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวา

“คืนนี้พวกนางต้องกลับที่พักของฝ่ายในแล้ว จึงอยากทำอาหารถวายพะยะค่ะ ประจวบเหมาะกับลูกต้องการความช่วยเหลือพอดี” องค์ชายสามช่วยตอบคำถามให้

หลังจากเกิดเรื่องลอบสังหาร ฮ่องเต้ก็ทรงมีรับสั่งให้พระธิดากับหลานสาวอยู่ข้างพระวรกายตลอด เพิ่งอนุญาตให้กลับไปอยู่ในความดูแลของฮองเฮาวันนี้เอง เหมาะเจาะให้นำมาอ้าง

“พวกเจ้าช่างกตัญญูเสียจริง” ฮองเฮาตรัสชม

แว่นกับหน่อมก้มหน้ารับคำชมโดยไม่เอ่ยสิ่งใด หน่อมรู้สึกว่าตัวเองไม่สมควรได้รับรางวัลเพราะแทบไม่ได้ช่วยทำอะไรเลย นอกจากคอยเป็นลูกมือช่วยทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ส่วนแว่นรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เหตุการณ์มันฟ้องชัดเลยว่าองค์ชายสามจงใจให้พวกนางได้รับพระราชทานรางวัล

“แล้วเจ้าอีกสองคนเล่าทำหน้าที่อะไร”

“ไป๋หลินคอยช่วยเรื่องการคัดสรรวัตถุดิบ ส่วนฟางเซียนเป็นที่ปรึกษาและแม่ครัวเอกของลูก”

องค์ชายสามอวดอย่างภูมิใจว่านางคือคนทำขนมและชานมเย็นถวายพระบิดาเมื่อครั้งก่อน ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้เงยหน้าขึ้น ความงามของฟางเซียนทำให้ทุกคนในที่นั้นพากันตกตะลึง โดยเฉพาะองค์ชายสี่ที่แทบจะละสายตาไปจากใบหน้านางไม่ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่