☼ ☼
25:: คืนสู่อ้อมอกครอบครัว ☼ ☼
องค์ชายก่วงหยางจูงมือหลันเหลยซึ่งเวลานี้อยู่ในชุดสตรีชาววังอันสูงศักดิ์ ผมเกล้ามวยสองข้างประดับศิวาภรณ์งดงามล้ำค่า คืนสู่ฐานะองค์หญิงเซียงเหลย ไม่หลงเหลือเค้านางเสือน้อยจอมแก่นแห่งหมู่บ้านชิงเหอคนเดิมอีกต่อไป ทั้งสองเดินเข้าสู่ลานท้องพระโรง ท่ามกลางสายตาเหล่าขุนนางมากมาย ที่เฝ้ามองด้วยความรู้สึกชื่นชมเอ็นดูระคนปิติยินดี
เสียนจงฮ่องเต้ประทับนั่งบนบัลลังก์มังกร ทอดพระเนตรทุกฝีก้าวของสองพระราชนัดดาที่เดินเข้ามา พระพักตร์ชราภาพประดับด้วยรอยแย้มสรวลปลาบปลื้มพระทัยแทบตลอดเวลา แล้วเมื่อหลันเหลยคุกเข่าลงกราบถวายพระพร พระองค์ก็ถึงกับประทับยืนขึ้น แล้วสาวพระบาทลงมาจากบัลลังก์ ยื่นพระราชทานพระหัตถ์แก่พระราชนัดดาสาวด้วยพระองค์เอง ประคององค์หญิงน้อยให้ลุกขึ้น เพ่งมองราวจะพิจารณาให้เต็มพระเนตรอยู่เป็นนาน ค่อยสามารถตรัสออกมาอย่างพลุ่งพล่านพระทัย
“ เหลยเอ๋อ.. หัวเอ๋อ.. พวกเจ้าทั้งสองพี่น้อง ช่างเหมือนกันจริงๆ โอ..เด็กเอย เจ้าจากเมืองหลวงไปตั้งแต่แบเบาะ สิบกว่าปีมานี้คงมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากยิ่ง... นับแต่นี้ไปปู่จะรักถนอมเจ้า ชดเชยวันเวลาที่ผ่านมา พร้อมกับคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่สมควรเป็นของเจ้า ให้กับเจ้าอีกครั้ง...”
หลันเหลยตื้นตันใจจนน้ำตาคลอหน่วย ส่งเสียงเรียก
“ เสด็จปู่... “
ยามนั้นบังเกิดเสียงขานดังว่า “
องค์หญิงเฉาผิงเสด็จมาถึง “ จากนั้นค่อยปรากฏสตรีชาววัง พระสิริโฉมงดงามสะคราญ ติดตามมาด้วยนางพระกำนัลสี่นาง เยื้องย่างเข้าสู่ท้องพระโรง เมื่อมาถึงเบื้องหน้าพระพักตร์ ค่อยย่อพระวรกายลงคารวะถวายบังคมต่อเสียนจงฮ่องเต้
“ ถวายพระพรเสด็จพ่อ ขอจงทรงพระเจริญพระชนมายุยิ่งยืนนานเพคะ “
ที่แท้พระนางคือองค์หญิงเฉาผิง พระธิดาองค์ใหญ่ในองค์เสียนจงฮ่องเต้ หรืออีกฐานะหนึ่งก็คือพระชายาในอ๋องหนันเจิ้ง แล้วก็เป็นพระมารดาของเจ้าชายก่วงหยางนั่นเอง
องค์ชายก่วงหยาง จึงคุกเข่าลงถวายบังคมต่อพระมารดา โดยมีหลันเหลยคุกเข่าตามลงด้วยอีกคน
“ ถวายพระพรเสด็จป้า “
องค์หญิงเฉาผิงบอกให้ทั้งสองลุกขึ้น ค่อยยื่นพระหัตถ์กุมมือหลันเหลย จับนางหมุนไปรอบหนึ่ง แล้วก็น้ำพระเนตคลอหน่วย ตรัสด้วยความปลาบปลื้มพระทัย
“ เหลยเอ๋อ.. โอ... ในที่สุด สวรรค์ก็ส่งเจ้ากลับคืนมาให้พวกเรา.. เด็กเอย..”
รับสั่งถึงตอนท้าย ก็ดึงร่างของนางเข้าไปโอบกอดแนบพระอุระ
หลันเหลยไหนเลยคาดคิดว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นปานนี้ ในใจถึงกับตื้นตันจนพูดไม่ออก ได้แต่น้ำตาไหลซึมออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
เพื่อแสดงความยินดีต่อการที่องค์หญิงเซียงเหลยเสด็จนิวัติกลับคืนสู่เมืองหลวง เสียนจงฮ่องเต้จึงมีรับสั่งต่อขุนนางที่มาเข้าเฝ้า ให้ลดภาษีเหลือครึ่งหนึ่งแก่เหล่าประชาราษฎร์เป็นเวลาหนึ่งปี และให้จัดงานเฉลิมฉลองต้อนรับการกลับมาขององค์หญิงน้อยทั่วเมืองหลวงเป็นเวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน เพื่อให้ชาวเมืองได้ร่วมปิติยินดีกันทั่วหน้า
.................................................
นอกจากนี้..เสียนจงฮ่องเต้ยังพระราชทานตำหนักบุปผาสวรรค์ให้เป็นตำหนักส่วนพระองค์ขององค์หญิงน้อย ความจริงตำหนักแห่งนี้พระองค์ทรงมีพระราชโองการให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานเป็นของขวัญวันครบรอบสิบห้าชันษาขององค์หญิงเซียงหัว แต่หลังจากที่องค์หญิงน้อยผู้นั้นสิ้นพระชนม์ ตำหนักบุปผาสวรรค์ก็แทบถูกทิ้งให้เปลี่ยวร้างไป
ดังนั้นเมื่อบัดนี้องค์หญิงเซียงเหลยกลับมาแล้ว จึงมีรับสั่งให้ฟื้นฟูบูรณะขึ้นมาใหม่ ที่นี่ถูกตบแต่งอย่างสวยงามขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับมวลหมู่บุปผาในสวนที่กำลังบานสะพรั่ง คล้ายดั่งรอต้อoรับการกลับมาของเจ้านายพระองค์ใหม่ก็มิปาน
เช้าวันนี้องค์หญิงเฉาผิงเสด็จมายังตำหนักบุปผาสวรรค์ หลันเหลยออกมารับเสด็จที่หน้าเก๋งกลางสวนบุปผา หลังจากย่อกายลงถวายพระพรเสด็จป้าแล้ว ค่อยสังเกตพบว่าข้างพระวรกายยังตามเสด็จมาด้วยเด็กสาวชุดสีฟ้าอายุไล่เลี่ยกับตนเอง อีกทั้งยังมีใบหน้าหมดจดงดงาม ประกายตาแจ่มใสร่าเริงฉลาดเฉลียวนางหนึ่ง
องค์หญิงเฉาผิงทรงแนะนำว่า นางชื่อ
จางหวิ่นเอ๋อ เป็นหนึ่งในบุตรสาวเหล่าขุนนางหลายสิบคนซึ่งถูกถวายตัวเข้ามาให้คัดเลือก เพื่อมาเป็นนางพระกำนัลคนสนิทขององค์หญิงพระองค์ใหม่
จางหวิ่นเอ๋อเป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาด นิสัยร่าเริง ปราดเปรียว รอบรู้วิชาบุ๋น นางเคยฝึกวิชาบู๊มีวรยุทธติดตัวระดับหนึ่ง ยิ่งเมื่ออยู่ในวัยรุ่นราวคราวเดียวกับหลันเหลย ดังนั้นวันแรกที่สองสาวได้พบเจอรู้จักกัน จึงสนิทสนมถูกคอกันได้อย่างรวดเร็ว
.....................
(ภาพประกอบจาก google)
♥ ♥ .. จอมใจเจ้าบัลลังก์ .. ♥ ♥ [ 24 : คืนสู่อ้อมอกครอบครัว ]
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เนต)
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
อ่านตอนก่อนหน้านี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
องค์ชายก่วงหยางจูงมือหลันเหลยซึ่งเวลานี้อยู่ในชุดสตรีชาววังอันสูงศักดิ์ ผมเกล้ามวยสองข้างประดับศิวาภรณ์งดงามล้ำค่า คืนสู่ฐานะองค์หญิงเซียงเหลย ไม่หลงเหลือเค้านางเสือน้อยจอมแก่นแห่งหมู่บ้านชิงเหอคนเดิมอีกต่อไป ทั้งสองเดินเข้าสู่ลานท้องพระโรง ท่ามกลางสายตาเหล่าขุนนางมากมาย ที่เฝ้ามองด้วยความรู้สึกชื่นชมเอ็นดูระคนปิติยินดี
เสียนจงฮ่องเต้ประทับนั่งบนบัลลังก์มังกร ทอดพระเนตรทุกฝีก้าวของสองพระราชนัดดาที่เดินเข้ามา พระพักตร์ชราภาพประดับด้วยรอยแย้มสรวลปลาบปลื้มพระทัยแทบตลอดเวลา แล้วเมื่อหลันเหลยคุกเข่าลงกราบถวายพระพร พระองค์ก็ถึงกับประทับยืนขึ้น แล้วสาวพระบาทลงมาจากบัลลังก์ ยื่นพระราชทานพระหัตถ์แก่พระราชนัดดาสาวด้วยพระองค์เอง ประคององค์หญิงน้อยให้ลุกขึ้น เพ่งมองราวจะพิจารณาให้เต็มพระเนตรอยู่เป็นนาน ค่อยสามารถตรัสออกมาอย่างพลุ่งพล่านพระทัย
“ เหลยเอ๋อ.. หัวเอ๋อ.. พวกเจ้าทั้งสองพี่น้อง ช่างเหมือนกันจริงๆ โอ..เด็กเอย เจ้าจากเมืองหลวงไปตั้งแต่แบเบาะ สิบกว่าปีมานี้คงมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากยิ่ง... นับแต่นี้ไปปู่จะรักถนอมเจ้า ชดเชยวันเวลาที่ผ่านมา พร้อมกับคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่สมควรเป็นของเจ้า ให้กับเจ้าอีกครั้ง...”
หลันเหลยตื้นตันใจจนน้ำตาคลอหน่วย ส่งเสียงเรียก
“ เสด็จปู่... “
ยามนั้นบังเกิดเสียงขานดังว่า “ องค์หญิงเฉาผิงเสด็จมาถึง “ จากนั้นค่อยปรากฏสตรีชาววัง พระสิริโฉมงดงามสะคราญ ติดตามมาด้วยนางพระกำนัลสี่นาง เยื้องย่างเข้าสู่ท้องพระโรง เมื่อมาถึงเบื้องหน้าพระพักตร์ ค่อยย่อพระวรกายลงคารวะถวายบังคมต่อเสียนจงฮ่องเต้
“ ถวายพระพรเสด็จพ่อ ขอจงทรงพระเจริญพระชนมายุยิ่งยืนนานเพคะ “
ที่แท้พระนางคือองค์หญิงเฉาผิง พระธิดาองค์ใหญ่ในองค์เสียนจงฮ่องเต้ หรืออีกฐานะหนึ่งก็คือพระชายาในอ๋องหนันเจิ้ง แล้วก็เป็นพระมารดาของเจ้าชายก่วงหยางนั่นเอง
องค์ชายก่วงหยาง จึงคุกเข่าลงถวายบังคมต่อพระมารดา โดยมีหลันเหลยคุกเข่าตามลงด้วยอีกคน
“ ถวายพระพรเสด็จป้า “
องค์หญิงเฉาผิงบอกให้ทั้งสองลุกขึ้น ค่อยยื่นพระหัตถ์กุมมือหลันเหลย จับนางหมุนไปรอบหนึ่ง แล้วก็น้ำพระเนตคลอหน่วย ตรัสด้วยความปลาบปลื้มพระทัย
“ เหลยเอ๋อ.. โอ... ในที่สุด สวรรค์ก็ส่งเจ้ากลับคืนมาให้พวกเรา.. เด็กเอย..”
รับสั่งถึงตอนท้าย ก็ดึงร่างของนางเข้าไปโอบกอดแนบพระอุระ
หลันเหลยไหนเลยคาดคิดว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นปานนี้ ในใจถึงกับตื้นตันจนพูดไม่ออก ได้แต่น้ำตาไหลซึมออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
เพื่อแสดงความยินดีต่อการที่องค์หญิงเซียงเหลยเสด็จนิวัติกลับคืนสู่เมืองหลวง เสียนจงฮ่องเต้จึงมีรับสั่งต่อขุนนางที่มาเข้าเฝ้า ให้ลดภาษีเหลือครึ่งหนึ่งแก่เหล่าประชาราษฎร์เป็นเวลาหนึ่งปี และให้จัดงานเฉลิมฉลองต้อนรับการกลับมาขององค์หญิงน้อยทั่วเมืองหลวงเป็นเวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน เพื่อให้ชาวเมืองได้ร่วมปิติยินดีกันทั่วหน้า
.................................................
นอกจากนี้..เสียนจงฮ่องเต้ยังพระราชทานตำหนักบุปผาสวรรค์ให้เป็นตำหนักส่วนพระองค์ขององค์หญิงน้อย ความจริงตำหนักแห่งนี้พระองค์ทรงมีพระราชโองการให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานเป็นของขวัญวันครบรอบสิบห้าชันษาขององค์หญิงเซียงหัว แต่หลังจากที่องค์หญิงน้อยผู้นั้นสิ้นพระชนม์ ตำหนักบุปผาสวรรค์ก็แทบถูกทิ้งให้เปลี่ยวร้างไป
ดังนั้นเมื่อบัดนี้องค์หญิงเซียงเหลยกลับมาแล้ว จึงมีรับสั่งให้ฟื้นฟูบูรณะขึ้นมาใหม่ ที่นี่ถูกตบแต่งอย่างสวยงามขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับมวลหมู่บุปผาในสวนที่กำลังบานสะพรั่ง คล้ายดั่งรอต้อoรับการกลับมาของเจ้านายพระองค์ใหม่ก็มิปาน
เช้าวันนี้องค์หญิงเฉาผิงเสด็จมายังตำหนักบุปผาสวรรค์ หลันเหลยออกมารับเสด็จที่หน้าเก๋งกลางสวนบุปผา หลังจากย่อกายลงถวายพระพรเสด็จป้าแล้ว ค่อยสังเกตพบว่าข้างพระวรกายยังตามเสด็จมาด้วยเด็กสาวชุดสีฟ้าอายุไล่เลี่ยกับตนเอง อีกทั้งยังมีใบหน้าหมดจดงดงาม ประกายตาแจ่มใสร่าเริงฉลาดเฉลียวนางหนึ่ง
องค์หญิงเฉาผิงทรงแนะนำว่า นางชื่อ จางหวิ่นเอ๋อ เป็นหนึ่งในบุตรสาวเหล่าขุนนางหลายสิบคนซึ่งถูกถวายตัวเข้ามาให้คัดเลือก เพื่อมาเป็นนางพระกำนัลคนสนิทขององค์หญิงพระองค์ใหม่
จางหวิ่นเอ๋อเป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาด นิสัยร่าเริง ปราดเปรียว รอบรู้วิชาบุ๋น นางเคยฝึกวิชาบู๊มีวรยุทธติดตัวระดับหนึ่ง ยิ่งเมื่ออยู่ในวัยรุ่นราวคราวเดียวกับหลันเหลย ดังนั้นวันแรกที่สองสาวได้พบเจอรู้จักกัน จึงสนิทสนมถูกคอกันได้อย่างรวดเร็ว
.....................
(ภาพประกอบจาก google)