ฮ่องเต้เจ้าสำราญ (๓)

กระทู้สนทนา
ฮ่องเต้ในพงศาวดารจีน

ฮ่องเต้เจ้าสำราญ

ตอนที่ ๓ น้ำใจชาวป่า                                                                                      

                  เจียวต้าย

ฝ่าย เนียฉู เอียอิดเซง หลีตังเอี๋ยง กับขุนนางทั้งปวงไม่เห็น พระเจ้าเจงเต๊กฮ่องเต้ เสด็จออกว่าราชการ ก็พากันเข้าไปในพระราชวัง ถามขันทีว่าเสด็จอยู่ที่ใด ขันทีบอกว่าประชวรอยู่ที่ใน ยังเสด็จออกไม่ได้ รับสั่งให้ขุนนางใหญ่น้อยกลับบ้าน สักสี่ห้าเวลาค่อยคลายจึงจะเสด็จออก

เนียฉูและขุนนางทั้งปวง ต่างคนก็พากันกลับบ้าน สืบพระอาการทุกเวลา ไม่ได้ความว่าประชวรพระโรคใด ก็วิตกอยู่ทุกคน

ฝ่ายขันทีซึ่งรับพระอักษรไว้นั้น ครั้นครบกำหนดห้าวันตามรับสั่งก็นำพระอักษรออกส่งให้เนียฉู พระอักษรนั้นมีความว่า

เวลาคืนวันนี้มีเทวดามาบอกให้เราไปเมืองกังหนำ จะได้ผู้มีสติปัญญามาช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน บ้านเมืองจะเป็นสุขไปนานกว่าสองร้อยปี เรามีความยินดีมิได้คิดแก่ลำบากสู้อุตส่าห์เปลื้องเครื่องกษัตริย์ออกเสีย แต่งตัวเป็นพ่อค้ารีบไปเมืองกังหนำ เที่ยวหาผู้มีสติปัญญาให้จงได้ ครั้นจะบอกเล่าให้ท่านรู้ กลัวจะทราบถึงฮองไทเฮาจะไม่ยอมให้เราไป ถ้าท่านทั้งปวงรู้หนังสือนี้แล้ว ช่วยกราบทูลฮองไทเฮาว่า อย่าทรงพระวิตกเลย ด้วยเราได้จิวหยง ฮ่อจีนปังป้องกันไปแล้วคงไม่เป็นอันตราย ราชการบ้านเมืองเรามอบไว้แก่เนียฉูกว่าจะกลับมา ถ้ามีราชการสิ่งใดให้ เอียอิดเซง หลีตังเอี๋ยง ปรึกษาเนียฉูว่ากล่าวตัดสินเสียให้เรียบร้อย

เนียฉูอ่านทราบความแล้วก็ตกใจ ถามขันทีว่าผู้ใดชักชวนเสด็จไป ขันทีก็เล่าความที่ จิวหยง กับ ฮ่อจีนปัง ขอลากลับไปเยี่ยมบ้านเดิม แล้วฮ่องเต้ก็เสด็จตามไปด้วย เนียฉูได้ฟังก็โกรธขันทีนัก จึงว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่บอกให้เรารู้ เสด็จไปถึงเพียงนี้แล้วจึงมาบอก โทษตัวผิดมาก ขันทีได้ฟังก็ตกใจคุกเข่าลงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้ามีความกลัวด้วยรับสั่งไว้ต่อพ้นห้าวันไปแล้ว จึงให้เอาพระอักษรมาให้ท่าน

เนียฉูได้ฟังก็ไปเฝ้าฮองไทเฮา ทูลเรื่องซึ่งฮ่องเต้ลอบเสด็จไปเมืองกังหนำ ให้ทราบ ฮองไทเฮาได้ฟังก็ตกพระทัย ตรัสถามว่าฮ่องเต้เสด็จไปด้วยผู้ใด เนียฉูก็กราบทูลตั้งแต่ จิวหยง ฮ่อจีนปังทูลลาไปคำนับศพบิดาที่บ้านเดิม จนฮ่องเต้ปลอมเป็นพ่อค้าแอบตามไป

แล้วทูลว่าเมื่อ พระเจ้าหงอตีฮ่องเต้ จะสิ้นพระชนม์นั้นได้รับสั่งไว้ว่า พระเจ้าเจงเต็กฮ่องเต้ นี้พอพระทัยในการเล่นและเที่ยวก็จริงดังรับสั่งทุกประการ ไม่ทรงเล่นสิ่งใดก็ไม่มีความสบาย พอจิวหยง  ฮ่อจีนปังทูลลาไปเมืองกังหนำ สมพระทัยที่พระองค์อยากเสด็จไปเที่ยว จึงแกล้งรับสั่งว่าทรงพระสุบินถึงเมืองกังหนำตามที่ทรงพระอักษรไว้ จิวหยงฮ่อจีนปังเห็นจะขัดพระอาญาไม่ได้ก็ต้องตามเสด็จ แล้วว่า

"....การทั้งนี้ไม่ควร ด้วยราชสมบัติใหญ่หลวงนักไม่มีพระมหากษัตริย์รักษา นานาประเทศและหัวเมืองใหญ่น้อยก็จะกำเริบ ขอพระองค์ทรงพระอักษร มอบให้ข้าพเจ้ารีบไปสืบหาพระองค์ ถ้าพบแล้วจะได้เชิญ เสด็จกลับ ครั้นจะนิ่งอยู่ปล่อยให้เสด็จไป ก็เพลิดเพลินพระทัยในการเที่ยว ด้วยเมืองกังหนำมีที่สนุกสบายหลายตำบลจะลืมราชการบ้านเมืองเสีย ....."

ฮองไทเฮาเห็นชอบด้วย จึงทรงพระอักษรแล้วเอาพระแสงของฮ่องเต้ มอบให้เนียฉูเป็นอาญาสิทธิ์ แล้วสั่งว่าถ้าผู้ใดขัดขวางหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้ ก็ให้ฆ่าเสีย ถ้าฮ่องเต้หลงเล่นอยู่ช้าจะเอาอาญาข่มท่าน จงเอาหนังสือของเราออกให้ดู คงต้องมาโดยเร็ว

เนียฉูมีความยินดีรับโองการกับพระแสงแล้วทูลว่า

"......ข้าพเจ้าไปแล้ว ภายหลังพระองค์จงสั่งขันที ให้เขียนหนังสือแขวนไว้ที่ประตูว่า ทรงพระประชวรอยู่เสด็จออกยังไม่ได้ ให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยช่วยกันดูแลว่ากล่าวราชการตามตำแหน่งของตัว อย่าให้ราษฎรได้ความเดือดร้อน ถ้ามีเหตุสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นการใหญ่ ให้ปรึกษา เอียอิดเซง หลีตังเอี๋ยง ......."

ทูลแล้วก็ถวายบังคมลาออกจากพระราชวังไปบ้านเอียอิดเซงและหลีตังเอี๋ยง แจ้งความให้ฟัง แล้วสั่งว่าท่านช่วยรักษาบ้านเมืองและราชการให้เรียบร้อยเป็นปกติ อย่าให้มีเหตุการณ์ขึ้นได้ จงตั้งใจระวังพวกเล่ากึนให้มาก ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสอง ก็รับคำ แล้วเนียฉูก็กลับมาบ้าน สั่งบุตรภรรยาว่า ฮ่องเต้ทรงพระประชวร รับสั่งให้เราไปสืบหาหมอยาที่เมืองกังหนำมารักษา

แล้วนูเฉียก็ผลัดเสื้อกางเกง ปลอมเป็นราษฎรคนจน เอาเงินทองติดตัวไปพอใช้สอย แล้วเรียก ชีฮก คนใช้ชราติดตามไปด้วยความกตัญญู

ฝ่ายพระเจ้าเจงเต็กฮ่องเต้กับจิวหยง เดินทางผ่านเมืองชีจิว ไปจนถึงแขวงเมืองสงกังฮู แต่หลงทางเข้าไปในป่า เห็นแต่ต้นไม้และภูเขา ไม่มีบ้านเรือนเลย จนเวลาพลบค่ำ ฮ่องเต้ก็หิวโหยและอ่อนพระทัยสิ้นพระกำลัง เดินไม่ใคร่จะไหว จึงตรัสถามจิวหยง ว่าตำบลนี้เหตุใดไม่มีบ้านเรือนและที่พำนักอาศัย ชะรอยจะเดินผิดทางเป็นมั่นคง เราหิวโหยนักจะทำอย่างไรดี

จิวหยงได้ทีคิดจะเชิญเสด็จกลับ จึงกราบทูลว่า

".....เดินทางกลางป่าก็ต้องลำบาก ข้าพเจ้าได้ทูลทัดทานหลายครั้ง พระองค์ก็ไม่เชื่อฟัง ถ้าอยู่ในพระราชวังมิได้ความสุขหรือ ประการหนึ่ง ป่านนี้ฮองไทเฮาพระราชมารดาจะตั้งพระทัย คอยเป็นห่วงถึงพระองค์ ด้วยไม่ทราบว่าจะเสด็จมาอยู่แห่งใด เวลาพรุ่งนี้ขอเชิญเสด็จกลับเข้าเมืองหลวง เมืองกังหนำบ้านเดิมนั้นข้าพเจ้ายังไม่ไปก่อน จะป้องกันรักษาพระองค์กลับเข้าพระราชวัง แล้วจึงจะถวายบังคมลามาต่อภายหลัง....."
ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

".....เรามาครั้งนี้ใช่จะปรารถนา จะเที่ยวเล่นอย่างเดียวหามิได้ เพราะเทวดาบอกให้เรามาสืบหาผู้มีปัญญาซื่อสัตย์ เข้าไปตั้งแต่งเป็นขุนนาง ถ้าได้แล้วเมื่อใด เราจึงจะกลับเข้าเมืองหลวง....."

พระเจ้าเจงเต็กก็ทรงรับสั่งต่อไปว่า ถึงแม้พระมหากษัตริย์แต่ก่อน ที่พระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรม ทรงเมตตาแก่อาณาประชาราษฎรนั้น ห้าปีก็ต้องเสด็จออกตรวจตามหัวเมืองครั้งหนึ่ง ด้วยพระทัยปรารถนาจะไม่ให้ขุนนางที่มีอำนาจ เบียดเบียนข่มเหงราษฎร และเรามาครั้งนี้ ก็ได้ช่วยทุกข์ของคนทั้งหลายเป็นอันมาก ถึงจะได้รับความลำบากเราก็ไม่ว่า ต้องอุตส่าห์ไปให้ถึงเมืองกังหนำถึงยากเข็ญอย่างไรก็จะสู้อดทน

ขณะนั้นทั้งสองเดินมาถึงกลางป่า ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นคนตัดฟืนก็มีพระทัยยินดี ครั้นชายผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้จิวหยงก็ถามว่า ตำบลนี้ชื่อไรมีโรงเตี๊ยมอาศัยที่ไหนบ้าง คนตัดฟืนบอกว่าตำบลนี้ชื่อเขาเอียงจือซัว แขวงเมืองสงกังฮู ถ้าจะหาโรงเตี๊ยมต้องเข้าไปในเมือง จิวหยงถามว่าเมื่อไรจะถึง คนตัดฟืนบอกว่าทางประมาณสามสิบลี้ ถ้าท่านค่อยเดินอย่างนี้กลัวจะค่ำเสียก่อน เห็นจะเข้าเมืองไม่ได้

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็เสียพระทัย จึงตรัสถามว่าตำบลนี้มีบ้านที่ไหน พอจะ อาศัยได้บ้าง คนตัดฟืนบอกว่ามีแต่ป่าและภูเขา บ้านช่องหายาก แล้วถามว่าท่านมาแต่ ไหนมีธุระสิ่งใดจึงมาทางนี้

ฮ่องเต้ตรัสว่าเราเป็นชาวเมืองหลวงจะไปหาเพื่อนที่เมืองสงกังสู เดินผิดทางมาวันยังค่ำแล้ว ไม่พบผู้คนบ้านเรือนและโรงเตี๊ยมที่อาศัยซึ่งท่านว่าที่นี่ไม่มีบ้านเรือน ตัวท่านนั้นอยู่แห่งใดเล่า คนตัดฟืนบอกว่า

".....ในตำบลนี้ไม่เรือนผู้ใด มีแต่บ้านข้าพเจ้าแห่งเดียวไปจากนี่ไม่สู้ไกลนัก ข้าพเจ้ากับมารดาเป็นคนอนาถาตัดฟืนขายเลี้ยงชีวิต เหย้าเรือนรุงรังทำด้วยแฝกคา ถ้าท่านไม่ถือว่าเป็นบ้านชาวป่า จะอาศัยพักสักคืนหนึ่งพอหายอ่อนเพลียก็เห็นจะได้....."

ฮ่องเต้ก็ถามชื่อแซ่ คนตัดฟืนก็บอกว่าชื่อ จิวหงวน ฮ่องเต้ก็ตรัสว่าพระองค์เองชื่อ อึงหลุน จิวหยงเป็นหลานชื่อ อึงอิ๋น ซึ่งท่านยอมให้อาศัยเราขอบใจนัก พูดแล้วจิวหงวนก็หาบฟืนนำหน้าพาสองอาหลานมาถึงบ้าน บอกให้ทั้งสองหยุดอยู่หน้าบ้านจะเข้าไปแจ้งมารดาเสียก่อน แล้วจิวหงวนก็เข้าไปในบ้านเล่าความให้มารดาฟังโดยตลอด
นางอึงสี มารดาก็มีความยินดี จึงว่า

".....เมื่อคืนมารดาเห็นอัศจรรย์ ด้วยตะเกียงของเราที่จุดนั้น เป็นบุพนิมิตสว่างโชติช่วง แล้วไฟย้อยลงมาเป็นช่อและดอกงามยิ่งนัก พอจะเรียกให้เจ้าดูก็สูญหายไป ครั้นเวลาวันนี้ก็มีแขกมาอาศัย ก็คงจะให้ลาภกับเราสักอย่างหนึ่งเป็นแท้ แต่มารดาวิตกด้วยเหย้าเรือนเรารกรุงรังนัก เขาจะติเตียนได้....."

จิวหงวนว่าข้อนั้นไม่เป็นไรได้บอกให้ทราบแล้วเขาไม่ถือจึงพามา นางอึงสีจึงว่าถ้าดังนั้นจงรับเข้ามาเถิด มารดาจะไปต้มน้ำชาให้เขากิน จิวหงวนก็ออกไปเชิญทั้งสองเข้าไปในบ้านจัดที่ให้นั่งโดยสมควร พอมารดาบอกว่าน้ำชาเดือด จิวหงวนก็ลุกเข้าไปหาถ้วยไม่ได้มีแต่ชาม ก็รินน้ำชาใส่ชามออกมาให้กิน

ฮ่องเต้ไม่เคยลำบากจะเสวยสิ่งใดก็ล้วนแต่ของดีมีรส ครั้นจิวหงวนยกน้ำชามาตั้งจะไม่เสวยก็หิวนัก ประการหนึ่งจิวหงวนจะเสียใจ ก็แข็งพระทัยเสวยค่อยมีกำลังขึ้น จึงตรัสว่าเชิญมารดาท่านออกมาสนทนากับเราจะได้รู้จักกันไว้

จิวหงวนกลับเข้าไปแจ้งแก่มารดา นางก็ว่าจะออกไปอย่างไรได้ ด้วยเสื้อกางเกงขาดรุงรังไม่อายเขาหรือ เจ้าจงออกไปบอกว่ามารดาชราแล้ว ตาไม่ค่อยจะเห็นออกไปคำนับท่านไม่ได้ จะจัดแจงหาอาหารให้ท่านรับประทานกัน ตามประสาจน จิวหงวนก็ออกมาบอก ตามคำมารดาทุกประการ

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็หยิบเอาเงินตำลึงหนึ่งส่งให้แล้วตรัสว่า ท่านจงเอาไปให้มารดาซื้อหากับข้าวตามสมควร จิวหงวนก็ว่าเวลานี้พลบค่ำแล้วตลาดก็อยู่ไกลจะไปซื้อที่ไหนได้ท่านจงรับประทานตามมีสักมื้อหนึ่งเถิด

เมื่อจิวหงวนกลับไปบอกมารดา นางก็ว่า แขกที่มาเขาเป็นชาวเมืองหลวง เคยกินอาหารอย่างดี เราเป็นชาวป่ามีแต่ข้าวกับแตงฟักจะได้สิ่งใดให้เขากิน จิวหงวนก็ว่าเต้าหู้เหลืองที่เหลือมีอยู่ นางอึงสีว่าของกินค้างแล้ว จะเลี้ยงแขกอย่างไรได้ พอดีได้ยินเสียงไก่ตัวเมียที่ขังไว้ จิวหงวนจึงว่ามารดาเอาไก่นี้ ทำกับข้าวเลี้ยงแขกสักมื้อหนึ่ง

นางอึงสีตอบว่า ไก่นี้มารดาเลี้ยงไว้ตั้งใจจะให้เป็นเมียลูก จิวหงวนว่ามารดาพูดอย่างไรจะเอาไก่เป็นเมียได้หรือ นางอึงสีก็บอกว่า

"...ถ้าเลี้ยงไก่นี้ไว้ ออกไข่มาเอาไปขายได้เงินแล้วซื้อสุกรมาเลี้ยง ครั้นโตขายได้เงินซื้อลูกกระบือมาเลี้ยงให้โต ขายได้เงินมาจึงจะขอเมียให้เจ้า...."

จิวหงวนได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า

".....ซึ่งมารดาคิดนี้อายุเห็นจะไม่คอยท่า ด้วยข้าพเจ้าไม่ปรารถนา ลำบากนัก ถ้ายากจนอยู่อย่างนี้ข้าพเจ้าไม่มีภรรยาแล้ว มารดาอย่าวิตกเลย จงเอาไก่ทำกับข้าวเลี้ยงแขกเสียเถิด เราทำคุณท่านเมื่อหิวโหยและยามขัดสน ถึงน้อยก็มีคุณมาก เผื่อไปวันหน้าธุระทุกข์ร้อนสิ่งใดจะได้พึ่งเขา...."

นางอึงสีก็เห็นชอบด้วย จึงเอาไก่มาฆ่าทำกับข้าวเสร็จแล้ว จิวหงวนจะยกออกไป มารดาก็สั่งว่าถ้าแขกจะเรียกให้ลูกกินด้วย อย่ากินกับเขา เจ้าไม่รู้ขนบธรรมเนียมทำซุ่มซ่ามเขาจะรังเกียจ จงเข้ามากินกับมารดาข้างใน จิวหงวนรับคำแล้วยกกับข้าวเดินออกมา เนื้อไก่มีกลิ่นหอมก็อยากจนน้ำลายไหล จึงลักหยิบเอาชิ้นหนึ่งใส่ปาก พอจะกลืนก็บันดาลให้ติดคอกลืนลงไปไม่ได้ ครั้นจะคายก็ไม่ออก ร้องอึดอัดอยู่

ซึ่งเป็นเหตุทั้งนี้เพราะ พระเจ้าเจงเต็กฮ่องเต้เป็นพระมหากษัตริย์อันยิ่งใหญ่ ยังมิได้เสวย จิวหงวนชิงกินก่อนจึงเผอิญให้ติดคอ

ฮ่องเต้กับจิวหยงได้ยินเสียงจิวหงวนร้อง ฟังไม่ถนัดว่ามีเหตุสิ่งใด จึงเดินเข้าไปดู เห็น     จิวหงวนน้ำตาไหลพูดไม่ออกอึดอัดอยู่ ก็ทรงทราบว่าจิวหงวนกินของติดคอเป็นแท้ จึงตรัสอนุญาตว่าเรายกโทษให้แล้ว จงกลืนลงไปเถิด พอสิ้นคำจิวหงวนก็กลืนลงไปได้ จิวหงวนมีความยินดียกข้าวกับเนื้อไก่ไปตั้งข้างนอกแล้วเชิญแขกทั้งสองกิน

ฮ่องเต้ก็เรียกจิวหงวนให้กินด้วย จิวหงวนบอกว่าเชิญท่านทั้งสองกินให้สบายเถิด ตัวข้าพเจ้าจะต้องเข้าไปกินกับมารดา ฮ่องเต้ก็ตรัสถามว่ากับข้าวมารดาแบ่งไว้หรือเปล่า จิวหงวนว่าของยังมีมาก แล้วก็กลับเข้าไปข้างใน

พระเจ้าเจงเต็กฮ่องเต้ก็เสวย แล้วตรัสกับจิวหยงว่า

".....เราเห็นจิวหงวนเป็นคนมีกตัญญูต่อมารดา ประการหนึ่งก็ขัดสนยังอุตส่าห์รับรองเราตามประสาจนเพราะใจกว้าง เรามีจิตเมตตาจิวหงวนมากนัก คำโบราณท่านว่าไว้ ถ้าผู้ใดเป็นคนซื่อตรงมีสติปัญญาโดยสุจริต ก็ต้องประกอบในการกตัญญูเป็นที่ตั้ง และจิวหงวนนี้ท่วงทีกิริยาก็ฉลาด ไม่ควรจะตกยากอยู่ในป่า เราจะเอาจิวหงวนเป็นบุตรเลี้ยง ช่วยทำนุบำรุงให้มีความสุข ก็คงจะซื่อตรงต่อเรา....."

จิวหยงทูลว่า

".....จิวหงวนนี้เป็นคนมีวาสนา จึงเผอิญให้พระองค์หลงทางมาจนถึงบ้าน ประการหนึ่งพระองค์กับข้าพเจ้า ถ้าไม่ได้จิวหงวนแล้ว ป่านนี้ไม่ทราบว่าจะเที่ยวซัดเซไปที่แห่งใด ควรที่พระองค์จะทรงเมตตา ทำนุบำรุงจิวหงวนให้มาก เพราะได้ช่วยสงเคราะห์และปฏิบัติเมื่อเวลาขัดสน ตามประเพณีจัดเอาเป็นมีคุณมาก....."

ฮ่องเต้ก็เห็นชอบด้วย ครั้นเสวยเสร็จแล้วจิวหงวนก็จัดที่ให้บรรทม พอรุ่งเช้าฮ่องเต้ทรงถามจิวหงวนว่าอายุท่านได้เท่าไรมีภรรยาแล้วหรือยัง จิวหงวนได้ฟังก็ถอนใจใหญ่ แล้วบอกว่า

".....อายุข้าพเจ้าได้สิบแปดปี เป็นคนอนาถาหาเงินทองไม่ได้ ยากไร้ขัดสนนัก ต้องอุตส่าห์ไปตัดฟืนขายเลี้ยงชีวิต พอมื้อหนึ่งเท่านั้น ที่ไหนจะมีสติปัญญาหาภรรยาได้....."

ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

".....เราเห็นท่านมีความกตัญญู และประกอบด้วยความเพียร อุตส่าห์ปฏิบัติมารดา เรามีความเมตตามาก อยากจะได้ท่านเป็นบุตรเลี้ยง จะพาท่านกับมารดาไปอยู่บ้านเราที่เมืองหลวง ช่วยทำนุบำรุงให้มีความสุข แล้วจะหาภรรยาให้ ไม่ทราบว่าท่านกับมารดาจะเห็นประการใด....."

จิวหงวนได้ฟังก็มีความยินดีกลับเข้าไปข้างใน บอกกับมารดาทุกประการ นางอึงสีได้ฟังก็ยินดี จึงว่า

".....ซึ่งท่านทั้งสองมีความเมตตาแก่เจ้า เอาไปชุบเลี้ยงนั้น คุณหาที่สุดมิได้ เจ้าจงยอมตามคำ เอาท่านทั้งสองเป็นที่พึ่งต่อไป....."

จิวหงวนก็ออกมาข้างนอก แจ้งความซึ่งมารดาว่า ให้ฮ่องเต้ฟังทุกประการ แล้วเชิญฮ่องเต้ขึ้นนั่งบนที่สูง จิวหยงนั่งถัดลงมา จิวหงวนก็คุกเข่าลงคำนับฮ่องเต้เป็นบิดา เรียกจิวหยงว่าพี่

พระเจ้าเจงเต็กฮ่องเต้จึงเอากำไลสำหรับกษัตริย์ ซึ่งได้แกะเป็นอักษรสี่ตัวว่า บั้นโซยอ๋องเตียน แปลว่าของพระเจ้าหมื่นปี มีสายสร้อยทองคำห้อย ส่งให้จิวหงวนแล้วว่า อีกร้อยวันเจ้าจงไปหา เนียฉู ขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง เอากำไลนี้ให้ดู แล้วบอกว่าชายผู้หนึ่งแซ่จูให้เนียฉูพาไปให้พบ และกำไลนี้เจ้าจงรักษาไว้ให้ดี อย่าให้เป็นอันตราย แล้วหยิบทองคำแท่งหนึ่งกับเงินยี่สิบตำลึงส่งให้

จิวหงวนคำนับรับเอาแต่เงินแล้วว่า ทองนี้บิดาเอาไว้ใช้สอยเถิด ฮ่องเต้ก็ตรัสว่าที่ตัวเรายังมี เจ้าจงเอาไปให้กับมารดา จะด้ซื้อกินตามทางกว่าจะถึงเมืองหลวง จิวหงวนก็รับเงินทองนั้นไปให้มารดา นางอึงสีก็ออกมาคำนับขอบคุณตามธรรมเนียม

จิวหงวนชาวป่าผู้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ โอบอ้อมอารี และมีกตัญญู จึงได้ลาภอันมหาศาล ดังนี้.

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่