คนดีแผ่นดินซ้อง
ตอนที่ ๒๕ ฮ่องเต้องค์ใหม่ “
เล่าเซี่ยงชุน “
ฝ่าย พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ได้ครองราชสมบัติต่อมาอีกเก้าปี พระชนม์ได้เจ็ดสิบพรรษาก็ทรงพระดำริว่า พระองค์ทรงพระชราแล้วควรจะแต่งตั้งให้ เตียวชิดไทจือ ขึ้นครองราชสมบัติแทนพระองค์ต่อไป เมื่อได้ทรงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงแล้วเห็นชอบด้วยพระดำริ ครั้นถึงวันฤกษ์ดีจึงทรงตั้งไทจือขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่า พระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้
ฮ่องเต้จึงทรงตั้งพระราชบิดาเป็น ไท้เซียงฮ่องเต้ เชาฮองเฮาพระราชมารดาเป็น ฮองไทเฮา นางลีกุยฮุยเป็น ลีไทฮุย นางเตียวเง็กเองกงจู๊เป็น อ้วงโกว โลฮวยอ๋องเป็น เล่าอ๋อง ชุยสินเป็น ไต้เซ่งเสี่ยง ส่วนขุนนางอื่น ๆ ก็ทรงโปรดให้เลื่อนขั้นตามลำดับไป แล้วโปรดให้ปล่อยนักโทษและงดส่วยสาอากรมีกำหนดสามปี แล้วโปรดให้ข้าหลวงไปตาม เปาบุ้นจิ้น หรือ เปาเล่งถู กลับมารับราชการในเมืองหลวง
วันหนึ่งพระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางทั้งปวงจึงกราบทูลว่า ตั้งแต่พระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติ ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้รับความร่มเย็นทั่วหน้ากัน ยังขาดอยู่ที่พระองค์ยังหามีฮองเฮาไม่ เปรียบดังแผ่นดินมีแต่พระอาทิตย์ หามีพระจันทร์เป็นของคู่กันไม่ เวลานี้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งหลาย ต่างหวังจะให้พระองค์แสวงหาฮองเฮา เพื่อมีพระราชโอรสสืบราชสมบัติ เป็นที่ร่มเย็นแก่ลูกหลานของประชาชนทั้งปวงทั่วไป
ฮ่องเต้จึงตรัสว่า เมื่อท่านทั้งปวงเห็นดังนั้นเราก็ไม่ขัด แต่ว่าใครเล่าที่จะเป็นผู้ควรรับตำแหน่งฮองเฮา ท่านทั้งหลายเห็นมีอยู่หรือ
ฮั่นฮูก๊ก ก็กราบทูลว่าในค่ำวันนี้ ตนจะตรวจดูดาวประจำฮองเฮาว่าอยู่ทางทิศไหน จะได้แต่งข้าหลวงไปเชิญเสด็จมา
ครั้นเช้าวันรุ่งขึ้นฮั่นฮูก๊กก็เข้าเฝ้ากราบทูลว่า ตนได้ดูดาวและตรวจทางในตลอดแล้ว ได้ความว่าผู้มีบุญวาสนาที่เทพยดาฟ้าดิน ตกแต่งให้มาเกิดเป็นฮองเฮาของพระองค์นั้น เวลานี้กำลังตกยากอาศัยอยู่กับ บูหลิม คนขายฟืนที่เมือง
งจิว ขอให้พระองค์ได้โปรดให้ข้าหลวงไปรับมาเถิด
ฮ่องเต้ทรงยินดียิ่งนักจึงมีรับสั่งให้ ลิมฮอง เป็นข้าหลวงคุมทหารรักษาพระองค์ห้าร้อย ขันทีสิบคน และนางกำนัลสองร้อยคน นำรถพระที่นั่งไปยังเมือง
งจิว แล้วก็เสด็จขึ้น
ลิมฮองก็คุมขบวนเดินทางไปเมือง
งจิว ผู้รักษาเมืองออกมาคำนับรับรอง เชิญเข้าไปพักในเมือง และถามว่ามาธุระสิ่งใด ลิมฮองก็บอกให้ทราบทุกประการ ผู้รักษาเมืองจึงหาผู้รู้จักนำทางไปถึงบ้านของบูหลิมคนขายฟืน แจ้งว่าจะมารับนางเง็กกีบุตรสาวไปเฝ้าฮ่องเต้
บูหลิมมีความยินดียิ่งนัก จึงพานางเง็กกีมามอบให้ เจ้าพนักงานก็เชิญนางขึ้นรถพระที่นั่งเดินทางกลับมาเมืองหลวง ฮ่องเต้ก็เสด็จออกมารับถึงนอกเมือง และทรงโสมนัสยิ่งนักเพราะนางเง็กกีต้องด้วยลักษณะสมควรเป็นฮองเฮาทุกอย่าง
ครั้นถึงวันฤกษ์ดีก็ทรงตั้งให้นางเง็กกีเป็นฮองเฮา ประทานกระบี่อาญาสิทธิ์กับตราหยกประจำตำแหน่ง แล้วให้ไปอยู่ที่ตำหนักเจียวเอี้ยงเกง ตามตำแหน่ง
วันหนึ่งฮ่องเต้เสด็จมาที่ตำหนักของฮองเฮา สังเกตเห็นนางเศร้าหมองนักจึงรับสั่งถาม นางก็ทูลว่ามีความระลึกถึงครอบครัว ฮ่องเต้ก็ตรัสปลอบโยนต่าง ๆ แล้วให้พนักงานไปรับบูหลิมกับภรรยาเข้ามา ทรงแต่งตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แล้วรับสั่งให้เข้าไปเฝ้าฮองเฮาข้างใน ฮองเฮาก็มีความยินดีประทานสิ่งของเงินทองให้เป็นอันมาก
ต่อมา ฮ่องเต้สังเกตเห็นว่า ฮองเฮายังยังเศร้าโศกอยู่ตามเดิม จึงรับสั่งว่า
“…….เจ้าคิดถึงครอบครัว เราก็ได้รับมาแต่งตั้งให้เป็นขุนนางมีความสุขแล้ว เหตุใดจึงเศร้าโศกอยู่อีกเล่า หรือเจ้ามีทุกข์ร้อนอย่างไร จงบอกให้เราทราบด้วยเถิด……..”
ฮองเฮาจึงกราบทูลว่า
“……..ซึ่งทรงพระกรุณาแต่งตั้งบูหลิมและภรรยา ให้มียศศักดิ์นั้นเป็นพระคุณที่สุด แต่ท่านทั้งสองนั้นหาใช่บิดามารดาบังเกิดเกล้าของข้าพเจ้าไม่…….”
แล้วนางก็กราบทูลเรื่องราวแต่หนหลังให้ทรงทราบ โดยละเอียดมีความว่า เมื่อเกือบสิบปีก่อน มารดาได้พาตนกับพี่ชายมาตามหาบิดาที่เมืองหลวง ก็ถูกบิดาขับไล่มารดาและลูกสองคนออกจากเมืองหลวง ทั้งได้ให้คนตามไปฆ่าในระหว่างทาง แต่ตนกับพี่ชายขอร้องที่จะตายแทนมารดา ผู้นั้นมีความสงสารจึงปล่อยตัวไป
มารดาจึงพาตนกับพี่ชาย ไปอาศัยพักอยู่ที่ศาลเจ้าร้างแห่งหนึ่ง พอรุ่งเช้าตนกับพี่ชายตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นมารดา ก็ตกใจร้องไห้เรียกหา พี่ชายออกไปดูข้างนอกศาลก็เจอเสือไล่หนีไป ตนเหลือตัวคนเดียวตกใจกลัวเสือ จึงแอบอยู่ในศาลเจ้านั้น จนบูหลิมคนตัดฟืนมาพบเข้า จึงได้เอาไปเลี้ยงไว้จนเติบโตเป็นสาว โดยไม่ได้ข่าวของพี่ชายและมารดาเลย ว่าจะเป็นตายร้ายดีประการใด
ฮ่องเต้ได้ทรงทราบว่าบิดาของฮองเฮาก็คือ ชินซี้มุ้ยฮู่ม้าสามีของนางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊นั่นเอง และทรงดำริว่าชินซี้มุ้ยนี้เป็นคนคดโกงยิ่งนัก กล้ากล่าวเท็จต่อพระราชบิดาจนหลงเชื่อ ยกพี่สาวของพระองค์ให้
ครั้นพระองค์จะกล่าวปรึกษาโทษขึ้น ก็คงจะทำให้พี่สาวได้อาย และบัดนี้ยังมาเป็นบิดาของฮองเฮาอีกด้วย จึงรับสั่งว่า
“………เจ้าอย่าทุกข์ร้อนไปเลย เราจะให้คนสืบหามารดากับพี่ชายของเจ้าให้พบ ส่วนบิดาของเจ้านั้น เวลานี้ก็อยู่ในเมืองหลวงนี้แล้ว พระราชบิดาของเราได้ทรงตั้งให้เป็นฮู่ม้า……”
แล้วก็ทรงเล่าเรื่องราวของชินซี้มุ้ยให้ฮองเฮาฟังโดยตลอด ฮองเฮาก็ตกใจจึงถวายคำนับกราบทูลว่าอันโทษของบิดานี้หนักนัก ขอพระองค์ได้ทรงโปรดยกให้เสียเถิด ฮ่องเต้ก็โปรดประทานให้
ต่อมามีประกาศให้สอบไล่ คัดเลือกผู้มีความรู้เข้ารับราชการอีก ครั้นสอบเสร็จได้ตัวผู้เป็นจอหงวน และตำแหน่งรองลงไปแล้ว เจ้าพนักงานก็นำเข้าเฝ้าฮ่องเต้ และโปรดใหมีการแห่แหนตามประเพณี
ในวันนั้นฮองเฮาได้เสด็จไปทอดพระเนตรบนตำหนักอิ้วซุนเกง พอทอดพระเนตรเห็นจอหงวน ก็จำได้คลับคล้ายคลับคลา ว่าเป็นชินชุนคี้พี่ชาย ครั้นเพ่งพินิจดูก็จำได้แม่นยำ วันนั้นฮองเฮาก็มีพระทัยเบิกบาน ผิวพรรณผุดผ่องกว่าปกติ ฮ่องเต้เสด็จมาทอดพระเนตรเห็นกิริยาฮองเฮาสดใสขึ้นกว่าทุกวัน จึงมีรับสั่งถามว่าเจ้ามีความยินดีสิ่งใดหรือ นางจึงกราบทูลว่า
“…….วันนี้ข้าพระเจ้าไปดูกระบวนแห่จอหงวนที่ตำหนักอิ้วซุนเกง ข้าพเจ้าจำได้ว่าจอหงวนนั้นคือพี่ชายของข้าพเจ้าที่พลัดกันไป ข้าพเจ้าจึงมีความยินดี…..”
ฮ่องเต้ก็รับสั่งว่า
“…….จอหงวนนั้นแซ่โค้ต่างหาก หาใช่แซ่ชินไม่ ที่เจ้าว่าเป็นพี่ชายของเจ้านั้น เห็นจะผิดไปกระมัง แต่เมื่อเจ้าต้องการจะรู้ความจริง เราจะสืบถามให้……”
ครั้นรุ่งขึ้นเมื่อฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ จึงรับสั่งถามจอหงวนว่า เจ้าเป็นคนแซ่โค้มาแต่เดิม หรือพึ่งมาเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ชินชุนคี้จึงกราบทูลเรื่องราวแต่หนหลังให้ทรงทราบโดยตลอด มีความว่าตั้งแต่ตนได้พลัดกับมารดาและน้องสาว ต้องวิ่งร้องไห้หนีเสือเข้าไปในป่าแล้ว ก็ได้พบนายโจรคนหนึ่ง ได้ให้ลิ่วล้อมาอุ้มตนไว้ ตนก็ตกใจดิ้นร้องจนเสียงแห้ง นายโจรก็ปลอบโยนให้หายกลัว และพาไปเลี้ยงไว้เป็นบุตร นายโจรนั้นชื่อ โค้เพง ตนจึงได้ใช้แซ่ของบิดาเลี้ยง
และได้เล่าเรียนหนังสือ ตำรับตำราต่าง ๆ ตลอดจนเพลงอาวุธชำนิชำนาญ เมื่อมาเที่ยวในเมืองได้ทราบประกาศว่าจะมีการสอบไล่ในเมืองหลวง จึงนำความไปบอกแก่บิดาเลี้ยง ว่าจะขอลาไปสอบไล่กับเขาบ้าง โค้เพงก็อนุญาตให้เดินทางมาสอบ จนได้เป็นจอหงวน
ฮ่องเต้มีพระทัยยินดีนัก จึงตรัสเล่าความที่ไปรับนางชินเง็กกีน้องสาว มาแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮา แล้วทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าฮองเฮาได้ เมื่อฮองเฮาได้พบพี่ชายก็มีความยินดีเป็นอันมาก ต่อมาชินชุนคี้ก็กราบทูลขอโทษให้โค้เพง นายโจรที่ได้เลี้ยงตนมา และขอให้เรียกตัวเข้ามารับราชการ
ฮ่องเต้ทรงเห็นด้วย จึงให้ข้าหลวงไปตามโค้เพงกับพวกลิ่วล้อเข้ามารับราชการ และทรงตั้งให้โค้เพงเป็นไต้เจียงกุนนายทหารเอก และภรรยาเป็นฮูหยิน
ฝ่ายเตียเชยซึ่งหนีไปอยู่ที่เมืองปักฮวนนั้น ครั้นทราบว่าชินชุนคี้ได้เป็นจอหงวน และนางชินเง็กกีก็เป็นฮองเฮา จึงกลับมาเมืองเปียนเหลียง แล้วเข้าไปหาชินชุนคี้ไต่ถามทุกข์สุขกันแล้ว ชินชุนคี้ก็พาเข้าไปเฝ้ากราบทูลให้ทรงทราบ เรื่องที่เตียเชยได้ปล่อยตัวมารดาและตนกับน้องสาวไปในครั้งก่อน ฮ่องเต้ก็ทรงยินดีโปรดให้เป็นขุนนาง
อยู่มาวันหนึ่งฮั่นฮูก๊กก็พา นางตันเพ็กเอ็ง ไปหาเปาบุ้นจิ้น เล่าความเดิมที่ต้องพลัดพรากจากลูกทั้งสองคน มีความละเอียดว่า เมื่อนางพาบุตรชายหญิงไปพักที่ศาลเจ้าร้างนั้น นางนอนไม่หลับเลย มีความกลัดกลุ้มใจด้วยได้รับความลำบาก ทั้งแค้นใจสามียิ่งนัก คิดจะฆ่าตัวตายก็เป็นห่วงบุตรยังเล็ก จึงนอนร้องไห้สอึกสอื้นอยู่
ครั้นคามแค้นแน่นหนักขึ้น ก็ลุกออกมากราบไหว้เทพยดาขอฝากบุตรทั้งสอง แล้วแก้เอาแพรที่พันเอวมาผูกคอตาย เทพยดาก็มาช่วยเอายาวิเศษใส่ปากไว้มิให้ศพเปื่อยเน่า แล้วเอาศพไปเก็บไว้หลังศาลเจ้า และพาวิญญาณท่องเที่ยวไปในเมืองผี
เป็นเวลาถึงเก้าปีจึงกลับมาเข้าร่าง นางฟื้นขึ้นมาเห็นห่อผ้าของตนยังวางอยู่เป็นปกติ จึงแก้ออกดูเห็นมีเงินอยู่แปดตำลึง กับหนังสือฉบับหนึ่งความว่า เวลานี้บุตรชายกับบุตรสาวของเจ้าอยู่ในเมืองหลวง เจ้าจงรีบไปพบกับบุตรทั้งสอง แล้วกล่าวโทษสามีของเจ้าต่อเปาเล่งถูเถิด
นางเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเป็นหนังสือเทพยดาเขียนไว้ให้ จึงคุกเข่าลงคำนับเทพยดาฟ้าดิน แล้วออกจากศาลเจ้าเดินมายังเมืองเปียนเหลียง ครั้นเข้าไปหาชุยสินก็ตายเสียแล้ว บุตรของชุย สินจึงได้เชิญฮั่นฮูก๊กมาปรึกษา ฮั่นฮุยก๊กก็พานางมาหาเปาบุ้นจิ้นในวันนี้
เปาบุ้นจิ้นจึงเล่าความที่นางชินเง็กกีได้เป็นฮองเฮา และชินชุนคี้ได้เป็นจอหงวนให้นางฟังโดยตลอด และบอกว่าจงไปพบปะกับบุตร ให้สบายใจก่อนเถิด แล้ววันหลังจะพิจารณาให้ จะชำระความเมื่อใดจะบอกให้ทราบ
นางตันเพ็กเอ็งก็มีความยินดี คำนับลามายังบ้านชินชุนคี้ บุตรชายก็มีความยินดียิ่งนัก วันรุ่งขึ้นจึงพาไปเฝ้าฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงตั้งให้นางตันเพ็กเอ็งเป็นไท้กุ๋น และพระราชทานเงินทองตามสมควร แล้วอนุญาตให้ไปเฝ้าฮองเฮา
นางชินฮองเฮาได้ทราบว่ามารดามาก็ดีพระทัย รีบเสด็จออกมารับถึงหน้าตำหนัก ครั้นทอดพระเนตรเห็นมารดาก็คุกเข่าลงคำนับกันแสง นางตันไท้กุ๋นตกใจคุกเข่าลงพยุงฮองเฮาให้ลุกขึ้น เมื่อเข้าไปในตำหนักนางตันไท้กุ๋นก็ถวายคำนับฮองเฮาตามประเพณีแล้ว ต่างคนก็ร้องไห้เล่าความทุกข์ยากสู่กันฟัง
ครั้นค่อนสร่างโศกแล้วฮองเฮาจึงให้จัดโต๊ะมาเลี้ยงเป็นอันดี นางตันไท้กุ๋นเฝ้าอยู่พอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ถวายคำนับลากลับไปบ้านชินชุนคี้ ครั้นบูหลิมกับภรรยาได้ทราบข่าวก็พากันมาคำนับนางตันไท้กุ๋น
ชินชุนคี้ก็ปรึกษามารดาว่า
“……..เจ้าของโรงเตี๊ยมได้มีคุณต่อเราเป็นอันมาก ข้าพเจ้าคิดจะชักจูงให้เข้ารับราชการเป็นขุนนางเสีย……..”
นางตันไท้กุ๋นก็เห็นด้วย ชินชุนคี้จึงให้คนไปตาม ซีเท่งมุ้ย มาไต่ถามได้ความว่าเดิมเคยเป็นขุนนางอยู่ที่เมืองกังหนำ แต่พวกกังฉินได้คัดออกจากตำแหน่ง จึงต้องมาตั้งโรงเตี๊ยมอยู่ด้วยความยากจน ชินชุนคี้จึงเข้าเฝ้ากราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบความเก่า จึงทรงตั้งให้เป็นขุนนางกลับไปอยู่เมืองกังหนำตามเดิม
ส่วน ตันลิ้วลก น้าชายที่ตายไประหว่างเดินทางกับมารดามาเมืองหลวง ชินชุนคี้ก็ให้คนไปสร้างฮวงซุ้ยเสียใหม่ แล้วให้ไปรับ นางตันม้า ผู้เป็นยายมาจากเมืองเกงจิว และปฏิบัติเลี้ยงดูเป็นอันดี.
############
นิตยสารโล่เงิน
มีนาคม ๒๕๔๘
ฮ่องเต้องค์ใหม่ ๑๑ ต.ค.๕๘
ตอนที่ ๒๕ ฮ่องเต้องค์ใหม่ “
เล่าเซี่ยงชุน “
ฝ่าย พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ได้ครองราชสมบัติต่อมาอีกเก้าปี พระชนม์ได้เจ็ดสิบพรรษาก็ทรงพระดำริว่า พระองค์ทรงพระชราแล้วควรจะแต่งตั้งให้ เตียวชิดไทจือ ขึ้นครองราชสมบัติแทนพระองค์ต่อไป เมื่อได้ทรงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงแล้วเห็นชอบด้วยพระดำริ ครั้นถึงวันฤกษ์ดีจึงทรงตั้งไทจือขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่า พระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้
ฮ่องเต้จึงทรงตั้งพระราชบิดาเป็น ไท้เซียงฮ่องเต้ เชาฮองเฮาพระราชมารดาเป็น ฮองไทเฮา นางลีกุยฮุยเป็น ลีไทฮุย นางเตียวเง็กเองกงจู๊เป็น อ้วงโกว โลฮวยอ๋องเป็น เล่าอ๋อง ชุยสินเป็น ไต้เซ่งเสี่ยง ส่วนขุนนางอื่น ๆ ก็ทรงโปรดให้เลื่อนขั้นตามลำดับไป แล้วโปรดให้ปล่อยนักโทษและงดส่วยสาอากรมีกำหนดสามปี แล้วโปรดให้ข้าหลวงไปตาม เปาบุ้นจิ้น หรือ เปาเล่งถู กลับมารับราชการในเมืองหลวง
วันหนึ่งพระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางทั้งปวงจึงกราบทูลว่า ตั้งแต่พระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติ ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้รับความร่มเย็นทั่วหน้ากัน ยังขาดอยู่ที่พระองค์ยังหามีฮองเฮาไม่ เปรียบดังแผ่นดินมีแต่พระอาทิตย์ หามีพระจันทร์เป็นของคู่กันไม่ เวลานี้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งหลาย ต่างหวังจะให้พระองค์แสวงหาฮองเฮา เพื่อมีพระราชโอรสสืบราชสมบัติ เป็นที่ร่มเย็นแก่ลูกหลานของประชาชนทั้งปวงทั่วไป
ฮ่องเต้จึงตรัสว่า เมื่อท่านทั้งปวงเห็นดังนั้นเราก็ไม่ขัด แต่ว่าใครเล่าที่จะเป็นผู้ควรรับตำแหน่งฮองเฮา ท่านทั้งหลายเห็นมีอยู่หรือ
ฮั่นฮูก๊ก ก็กราบทูลว่าในค่ำวันนี้ ตนจะตรวจดูดาวประจำฮองเฮาว่าอยู่ทางทิศไหน จะได้แต่งข้าหลวงไปเชิญเสด็จมา
ครั้นเช้าวันรุ่งขึ้นฮั่นฮูก๊กก็เข้าเฝ้ากราบทูลว่า ตนได้ดูดาวและตรวจทางในตลอดแล้ว ได้ความว่าผู้มีบุญวาสนาที่เทพยดาฟ้าดิน ตกแต่งให้มาเกิดเป็นฮองเฮาของพระองค์นั้น เวลานี้กำลังตกยากอาศัยอยู่กับ บูหลิม คนขายฟืนที่เมือง งจิว ขอให้พระองค์ได้โปรดให้ข้าหลวงไปรับมาเถิด
ฮ่องเต้ทรงยินดียิ่งนักจึงมีรับสั่งให้ ลิมฮอง เป็นข้าหลวงคุมทหารรักษาพระองค์ห้าร้อย ขันทีสิบคน และนางกำนัลสองร้อยคน นำรถพระที่นั่งไปยังเมือง งจิว แล้วก็เสด็จขึ้น
ลิมฮองก็คุมขบวนเดินทางไปเมือง งจิว ผู้รักษาเมืองออกมาคำนับรับรอง เชิญเข้าไปพักในเมือง และถามว่ามาธุระสิ่งใด ลิมฮองก็บอกให้ทราบทุกประการ ผู้รักษาเมืองจึงหาผู้รู้จักนำทางไปถึงบ้านของบูหลิมคนขายฟืน แจ้งว่าจะมารับนางเง็กกีบุตรสาวไปเฝ้าฮ่องเต้
บูหลิมมีความยินดียิ่งนัก จึงพานางเง็กกีมามอบให้ เจ้าพนักงานก็เชิญนางขึ้นรถพระที่นั่งเดินทางกลับมาเมืองหลวง ฮ่องเต้ก็เสด็จออกมารับถึงนอกเมือง และทรงโสมนัสยิ่งนักเพราะนางเง็กกีต้องด้วยลักษณะสมควรเป็นฮองเฮาทุกอย่าง
ครั้นถึงวันฤกษ์ดีก็ทรงตั้งให้นางเง็กกีเป็นฮองเฮา ประทานกระบี่อาญาสิทธิ์กับตราหยกประจำตำแหน่ง แล้วให้ไปอยู่ที่ตำหนักเจียวเอี้ยงเกง ตามตำแหน่ง
วันหนึ่งฮ่องเต้เสด็จมาที่ตำหนักของฮองเฮา สังเกตเห็นนางเศร้าหมองนักจึงรับสั่งถาม นางก็ทูลว่ามีความระลึกถึงครอบครัว ฮ่องเต้ก็ตรัสปลอบโยนต่าง ๆ แล้วให้พนักงานไปรับบูหลิมกับภรรยาเข้ามา ทรงแต่งตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แล้วรับสั่งให้เข้าไปเฝ้าฮองเฮาข้างใน ฮองเฮาก็มีความยินดีประทานสิ่งของเงินทองให้เป็นอันมาก
ต่อมา ฮ่องเต้สังเกตเห็นว่า ฮองเฮายังยังเศร้าโศกอยู่ตามเดิม จึงรับสั่งว่า
“…….เจ้าคิดถึงครอบครัว เราก็ได้รับมาแต่งตั้งให้เป็นขุนนางมีความสุขแล้ว เหตุใดจึงเศร้าโศกอยู่อีกเล่า หรือเจ้ามีทุกข์ร้อนอย่างไร จงบอกให้เราทราบด้วยเถิด……..”
ฮองเฮาจึงกราบทูลว่า
“……..ซึ่งทรงพระกรุณาแต่งตั้งบูหลิมและภรรยา ให้มียศศักดิ์นั้นเป็นพระคุณที่สุด แต่ท่านทั้งสองนั้นหาใช่บิดามารดาบังเกิดเกล้าของข้าพเจ้าไม่…….”
แล้วนางก็กราบทูลเรื่องราวแต่หนหลังให้ทรงทราบ โดยละเอียดมีความว่า เมื่อเกือบสิบปีก่อน มารดาได้พาตนกับพี่ชายมาตามหาบิดาที่เมืองหลวง ก็ถูกบิดาขับไล่มารดาและลูกสองคนออกจากเมืองหลวง ทั้งได้ให้คนตามไปฆ่าในระหว่างทาง แต่ตนกับพี่ชายขอร้องที่จะตายแทนมารดา ผู้นั้นมีความสงสารจึงปล่อยตัวไป
มารดาจึงพาตนกับพี่ชาย ไปอาศัยพักอยู่ที่ศาลเจ้าร้างแห่งหนึ่ง พอรุ่งเช้าตนกับพี่ชายตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นมารดา ก็ตกใจร้องไห้เรียกหา พี่ชายออกไปดูข้างนอกศาลก็เจอเสือไล่หนีไป ตนเหลือตัวคนเดียวตกใจกลัวเสือ จึงแอบอยู่ในศาลเจ้านั้น จนบูหลิมคนตัดฟืนมาพบเข้า จึงได้เอาไปเลี้ยงไว้จนเติบโตเป็นสาว โดยไม่ได้ข่าวของพี่ชายและมารดาเลย ว่าจะเป็นตายร้ายดีประการใด
ฮ่องเต้ได้ทรงทราบว่าบิดาของฮองเฮาก็คือ ชินซี้มุ้ยฮู่ม้าสามีของนางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊นั่นเอง และทรงดำริว่าชินซี้มุ้ยนี้เป็นคนคดโกงยิ่งนัก กล้ากล่าวเท็จต่อพระราชบิดาจนหลงเชื่อ ยกพี่สาวของพระองค์ให้
ครั้นพระองค์จะกล่าวปรึกษาโทษขึ้น ก็คงจะทำให้พี่สาวได้อาย และบัดนี้ยังมาเป็นบิดาของฮองเฮาอีกด้วย จึงรับสั่งว่า
“………เจ้าอย่าทุกข์ร้อนไปเลย เราจะให้คนสืบหามารดากับพี่ชายของเจ้าให้พบ ส่วนบิดาของเจ้านั้น เวลานี้ก็อยู่ในเมืองหลวงนี้แล้ว พระราชบิดาของเราได้ทรงตั้งให้เป็นฮู่ม้า……”
แล้วก็ทรงเล่าเรื่องราวของชินซี้มุ้ยให้ฮองเฮาฟังโดยตลอด ฮองเฮาก็ตกใจจึงถวายคำนับกราบทูลว่าอันโทษของบิดานี้หนักนัก ขอพระองค์ได้ทรงโปรดยกให้เสียเถิด ฮ่องเต้ก็โปรดประทานให้
ต่อมามีประกาศให้สอบไล่ คัดเลือกผู้มีความรู้เข้ารับราชการอีก ครั้นสอบเสร็จได้ตัวผู้เป็นจอหงวน และตำแหน่งรองลงไปแล้ว เจ้าพนักงานก็นำเข้าเฝ้าฮ่องเต้ และโปรดใหมีการแห่แหนตามประเพณี
ในวันนั้นฮองเฮาได้เสด็จไปทอดพระเนตรบนตำหนักอิ้วซุนเกง พอทอดพระเนตรเห็นจอหงวน ก็จำได้คลับคล้ายคลับคลา ว่าเป็นชินชุนคี้พี่ชาย ครั้นเพ่งพินิจดูก็จำได้แม่นยำ วันนั้นฮองเฮาก็มีพระทัยเบิกบาน ผิวพรรณผุดผ่องกว่าปกติ ฮ่องเต้เสด็จมาทอดพระเนตรเห็นกิริยาฮองเฮาสดใสขึ้นกว่าทุกวัน จึงมีรับสั่งถามว่าเจ้ามีความยินดีสิ่งใดหรือ นางจึงกราบทูลว่า
“…….วันนี้ข้าพระเจ้าไปดูกระบวนแห่จอหงวนที่ตำหนักอิ้วซุนเกง ข้าพเจ้าจำได้ว่าจอหงวนนั้นคือพี่ชายของข้าพเจ้าที่พลัดกันไป ข้าพเจ้าจึงมีความยินดี…..”
ฮ่องเต้ก็รับสั่งว่า
“…….จอหงวนนั้นแซ่โค้ต่างหาก หาใช่แซ่ชินไม่ ที่เจ้าว่าเป็นพี่ชายของเจ้านั้น เห็นจะผิดไปกระมัง แต่เมื่อเจ้าต้องการจะรู้ความจริง เราจะสืบถามให้……”
ครั้นรุ่งขึ้นเมื่อฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ จึงรับสั่งถามจอหงวนว่า เจ้าเป็นคนแซ่โค้มาแต่เดิม หรือพึ่งมาเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ชินชุนคี้จึงกราบทูลเรื่องราวแต่หนหลังให้ทรงทราบโดยตลอด มีความว่าตั้งแต่ตนได้พลัดกับมารดาและน้องสาว ต้องวิ่งร้องไห้หนีเสือเข้าไปในป่าแล้ว ก็ได้พบนายโจรคนหนึ่ง ได้ให้ลิ่วล้อมาอุ้มตนไว้ ตนก็ตกใจดิ้นร้องจนเสียงแห้ง นายโจรก็ปลอบโยนให้หายกลัว และพาไปเลี้ยงไว้เป็นบุตร นายโจรนั้นชื่อ โค้เพง ตนจึงได้ใช้แซ่ของบิดาเลี้ยง
และได้เล่าเรียนหนังสือ ตำรับตำราต่าง ๆ ตลอดจนเพลงอาวุธชำนิชำนาญ เมื่อมาเที่ยวในเมืองได้ทราบประกาศว่าจะมีการสอบไล่ในเมืองหลวง จึงนำความไปบอกแก่บิดาเลี้ยง ว่าจะขอลาไปสอบไล่กับเขาบ้าง โค้เพงก็อนุญาตให้เดินทางมาสอบ จนได้เป็นจอหงวน
ฮ่องเต้มีพระทัยยินดีนัก จึงตรัสเล่าความที่ไปรับนางชินเง็กกีน้องสาว มาแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮา แล้วทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าฮองเฮาได้ เมื่อฮองเฮาได้พบพี่ชายก็มีความยินดีเป็นอันมาก ต่อมาชินชุนคี้ก็กราบทูลขอโทษให้โค้เพง นายโจรที่ได้เลี้ยงตนมา และขอให้เรียกตัวเข้ามารับราชการ
ฮ่องเต้ทรงเห็นด้วย จึงให้ข้าหลวงไปตามโค้เพงกับพวกลิ่วล้อเข้ามารับราชการ และทรงตั้งให้โค้เพงเป็นไต้เจียงกุนนายทหารเอก และภรรยาเป็นฮูหยิน
ฝ่ายเตียเชยซึ่งหนีไปอยู่ที่เมืองปักฮวนนั้น ครั้นทราบว่าชินชุนคี้ได้เป็นจอหงวน และนางชินเง็กกีก็เป็นฮองเฮา จึงกลับมาเมืองเปียนเหลียง แล้วเข้าไปหาชินชุนคี้ไต่ถามทุกข์สุขกันแล้ว ชินชุนคี้ก็พาเข้าไปเฝ้ากราบทูลให้ทรงทราบ เรื่องที่เตียเชยได้ปล่อยตัวมารดาและตนกับน้องสาวไปในครั้งก่อน ฮ่องเต้ก็ทรงยินดีโปรดให้เป็นขุนนาง
อยู่มาวันหนึ่งฮั่นฮูก๊กก็พา นางตันเพ็กเอ็ง ไปหาเปาบุ้นจิ้น เล่าความเดิมที่ต้องพลัดพรากจากลูกทั้งสองคน มีความละเอียดว่า เมื่อนางพาบุตรชายหญิงไปพักที่ศาลเจ้าร้างนั้น นางนอนไม่หลับเลย มีความกลัดกลุ้มใจด้วยได้รับความลำบาก ทั้งแค้นใจสามียิ่งนัก คิดจะฆ่าตัวตายก็เป็นห่วงบุตรยังเล็ก จึงนอนร้องไห้สอึกสอื้นอยู่
ครั้นคามแค้นแน่นหนักขึ้น ก็ลุกออกมากราบไหว้เทพยดาขอฝากบุตรทั้งสอง แล้วแก้เอาแพรที่พันเอวมาผูกคอตาย เทพยดาก็มาช่วยเอายาวิเศษใส่ปากไว้มิให้ศพเปื่อยเน่า แล้วเอาศพไปเก็บไว้หลังศาลเจ้า และพาวิญญาณท่องเที่ยวไปในเมืองผี
เป็นเวลาถึงเก้าปีจึงกลับมาเข้าร่าง นางฟื้นขึ้นมาเห็นห่อผ้าของตนยังวางอยู่เป็นปกติ จึงแก้ออกดูเห็นมีเงินอยู่แปดตำลึง กับหนังสือฉบับหนึ่งความว่า เวลานี้บุตรชายกับบุตรสาวของเจ้าอยู่ในเมืองหลวง เจ้าจงรีบไปพบกับบุตรทั้งสอง แล้วกล่าวโทษสามีของเจ้าต่อเปาเล่งถูเถิด
นางเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเป็นหนังสือเทพยดาเขียนไว้ให้ จึงคุกเข่าลงคำนับเทพยดาฟ้าดิน แล้วออกจากศาลเจ้าเดินมายังเมืองเปียนเหลียง ครั้นเข้าไปหาชุยสินก็ตายเสียแล้ว บุตรของชุย สินจึงได้เชิญฮั่นฮูก๊กมาปรึกษา ฮั่นฮุยก๊กก็พานางมาหาเปาบุ้นจิ้นในวันนี้
เปาบุ้นจิ้นจึงเล่าความที่นางชินเง็กกีได้เป็นฮองเฮา และชินชุนคี้ได้เป็นจอหงวนให้นางฟังโดยตลอด และบอกว่าจงไปพบปะกับบุตร ให้สบายใจก่อนเถิด แล้ววันหลังจะพิจารณาให้ จะชำระความเมื่อใดจะบอกให้ทราบ
นางตันเพ็กเอ็งก็มีความยินดี คำนับลามายังบ้านชินชุนคี้ บุตรชายก็มีความยินดียิ่งนัก วันรุ่งขึ้นจึงพาไปเฝ้าฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงตั้งให้นางตันเพ็กเอ็งเป็นไท้กุ๋น และพระราชทานเงินทองตามสมควร แล้วอนุญาตให้ไปเฝ้าฮองเฮา
นางชินฮองเฮาได้ทราบว่ามารดามาก็ดีพระทัย รีบเสด็จออกมารับถึงหน้าตำหนัก ครั้นทอดพระเนตรเห็นมารดาก็คุกเข่าลงคำนับกันแสง นางตันไท้กุ๋นตกใจคุกเข่าลงพยุงฮองเฮาให้ลุกขึ้น เมื่อเข้าไปในตำหนักนางตันไท้กุ๋นก็ถวายคำนับฮองเฮาตามประเพณีแล้ว ต่างคนก็ร้องไห้เล่าความทุกข์ยากสู่กันฟัง
ครั้นค่อนสร่างโศกแล้วฮองเฮาจึงให้จัดโต๊ะมาเลี้ยงเป็นอันดี นางตันไท้กุ๋นเฝ้าอยู่พอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ถวายคำนับลากลับไปบ้านชินชุนคี้ ครั้นบูหลิมกับภรรยาได้ทราบข่าวก็พากันมาคำนับนางตันไท้กุ๋น
ชินชุนคี้ก็ปรึกษามารดาว่า
“……..เจ้าของโรงเตี๊ยมได้มีคุณต่อเราเป็นอันมาก ข้าพเจ้าคิดจะชักจูงให้เข้ารับราชการเป็นขุนนางเสีย……..”
นางตันไท้กุ๋นก็เห็นด้วย ชินชุนคี้จึงให้คนไปตาม ซีเท่งมุ้ย มาไต่ถามได้ความว่าเดิมเคยเป็นขุนนางอยู่ที่เมืองกังหนำ แต่พวกกังฉินได้คัดออกจากตำแหน่ง จึงต้องมาตั้งโรงเตี๊ยมอยู่ด้วยความยากจน ชินชุนคี้จึงเข้าเฝ้ากราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบความเก่า จึงทรงตั้งให้เป็นขุนนางกลับไปอยู่เมืองกังหนำตามเดิม
ส่วน ตันลิ้วลก น้าชายที่ตายไประหว่างเดินทางกับมารดามาเมืองหลวง ชินชุนคี้ก็ให้คนไปสร้างฮวงซุ้ยเสียใหม่ แล้วให้ไปรับ นางตันม้า ผู้เป็นยายมาจากเมืองเกงจิว และปฏิบัติเลี้ยงดูเป็นอันดี.
############
นิตยสารโล่เงิน
มีนาคม ๒๕๔๘