ความเดิม ตอนที่ 5
http://ppantip.com/topic/33105783
ในที่สุดหลังจากผ่านมา เกือบหนึ่งวัน เราก็เดินทางมาถึงเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพ
ทำให้พวกเราผ่อนคลายลงไปมาก บีเล่าว่า ที่นี่เป็นอาณาเขตของ มหารุขเทพแดนเหนือ
อสูรที่ไม่ได้รับอนุญาติต่างถิ่น จะไม่กล้าบุกรุกผ่านเข้ามา
โดยเมื่อลงจากรถไฟ มิ้นท์ ก็บิ้นขี้เกียจ ด้วยท่าทางคล้ายกับแมว ไม่มีผิด และพอเธอสังเกตุเห็น
ว่าเราแอบมองอยู่ ก็ส่งยิ้มตอบกลับมาให้ ช่างเป็นเด็กสาวที่สดใส จนเผลอคิดไปว่า
ถ้าเกิดมีวันหนึ่งที่ยัยนี่ซึมเศร้า โลกคนถึงคราวหม่นหมองแน่ๆ
เดี๋ยวก่อน...
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เรายังไม่ถูกกับยัยนี่อยู่เลยแท้ๆ ทำไม่เราถึงเอาแต่คิดถึงเรื่องของยัยนี่
เหมือนเป็นบ้าแบบนี้ล่ะ
ว่าแล้วเราก็หันไปหา บี หญิงสาวที่ช่วยชีวิตเราไว้ตั้งแต่ต้น เธอก็ยิ้มให้เราเหมือนกัน
เป็นรอยยิ้มบางๆที่มุมปาก ช่างดูงดงาม เยือกเย็น รับกับการมาเยือนแดนแม่ปิงแห่งนี้จริงๆ
"อ้าาาา" เราทรุดตัวลงนั่งกับพื้น นี่เราเป็นผู้หญิงไม่ดีขนาดนี้เลยเหรอ
"เป็นอะไรรึเปล่า ? ปาล์ม"
"เอา ลุกขึ้นมาสิยัยโก๊ะ"
สองสาวยื่นมือมาให้เรา พร้อมกับรอยยิ้ม... เราชะงักไปครู่หนึ่ง... ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง...
จากนั้น พวกเราก็นั่งแท็กซี่ ข้ามแม่ปิงมายัง โรงแรมแห่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ และชื่อออกแนวฟรั่งเศส
ข้างในดูหรูหรา ตั้งแต่ล็อบบี้ จนแม้ไม่เห็นห้องก็ยังรู้ว่า นี่มันโรงแรมระดับห้าดาวชัดๆ ทำไมพวกอสูร
ถึงใช้ชีวิตหรูหราขนาดนี้กันได้นะ
"ก็นะ... ก่อนหน้านี้เธอก็เป็นถึงผู้พิทักษ์ของ
เมืองลับแลนี่นะ... บี..."
"ใช่..."
"ฉันเองครั้งนึงก็เคยไปช่วยบี ไปขับไล่อสูรต่างถิ่นที่บุกรุกเข้ามา จนถึงตอนนี้ก็ยังใช้ของตอบแทนที่ได้รับตอนนั้นไม่หมดเลยล่ะ"
เรางงกับคำพูดของทั้งคู่ แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เราไม่เข้าใจคำพูดของทั้งคู่ เราเลยปล่อยผ่านโดยไม่ถามต่อ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เมืองลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์
ตำนานนี้เล่ากันสืบมาว่า ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่ง (น่าจะเป็นคนเมืองทุ่งยั้ง) เข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมา ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่างๆ แล้วก็เข้าไปในเมือง ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ตนซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบ เพราะชายหนุ่มแอบหยิบมา นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ..ขอติดตามนางไปด้วยเพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล หญิงสาวก็ยินยอม นางจึงพาชายหนุ่มเข้าไปยังเมืองซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางอธิบายว่าคนในหมู่บ้านล้วนมีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชายส่วนมากมักไม่รักษาวาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง ชายหนุ่มเกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวก็ยินยอม แต่ให้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน
วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มผู้พ่อเลี้ยงบุตรอยู่ บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า "แม่มาแล้วๆ" มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย แล้วนางก็...จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้สามี พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็พาสามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้ แล้วนางก้กลับไปเมืองลับแล ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำต้องเดินทางกลับบ้านตามที่ภรรยาชี้ทางให้ ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขามีความรู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้นเรื่อยๆ และหนทางก้ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ทิ้งเสียจนเกือบหมด ครั้นเดินทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิม บรรดาญาติมิตรต่างก็ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานาน ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียดรวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้แต่เขาทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้งแท่ง ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว และเมื่อขุดดุก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทอง แต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล แต่ก้หลงทางวกวนไปไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิม
ในที่สุดพวกเราก็ขึ้นลิฟท์มายังห้องพัก ที่ทั้งกว้างขวาง สวยงาม และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน
มิ้นท์ ขอตัวไปอาบน้ำ เพื่อล้างกลิ่นคาวเลือดที่ยังเหลือออก ทิ้งให้เราอยู่กับ บีสองคน
"พวกเธอรู้จักกันมานานแล้วเหรอ ?"
"อืม...ร้อยปีแล้วเห็นจะได้"
บีเล่าให้ฟังว่า มหารุกเทพ แดนเหนือ มี เอกบริวาร 4 ตน ซึ่งเธอกับมิ้นท์ถือเป็นน้องเล็กสุด ในสี่บริวาร และ
อายุร้อยปีสำหรับอสูรแล้ว ถือเป็นเพียงแค่ ช่วงวัยรุ่นเท่านั้น
เราถึงกับอึ้งไป เมื่อรู้ว่า ทั้งสองคนแก่กว่า คุณย่าของเราซะอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแปลกใจ ว่าทำไม บี ดูไม่รู้เรื่อง
ของมนุษย์เอาซะเลย ขณะที่ มิ้นท์ ดู เจนจัดกว่าเยอะ
บีก็เลย เล่าให้ฟังต่อว่า ช่วงชีวิตที่ผ่านมา เธอเอาแต่ บำเพ็ญตบะ เพิ่มฤทธิ์ และพิทักษ์เมืองลับแล
จากการบุกรุกของคนภายนอก ให้หลงทาง ให้หาไม่เจอ ให้กลับไปทางเดิม โดยมี มิ้นท์ แวะ เข้ามาเล่นด้วย
เป็นครั้งเป็นคราว ขณะที่มิ้นท์นั้นตรงกันข้าม เธอออกแนวพวกหัวกบฏ ต่างจากอสูรตนอื่นๆ ชอบเรียนรู้
สรรพวิชาของมนุษย์มากกว่าของอสูร จนได้ชื่อว่า อ่อนแอ แต่ แข็งแกร่งที่สุด ใน สี่บริวาร
"อ่อนแอ แต่ แข็งแกร่งที่สุด ?" เราทวนคำด้วยความสงสัย
"ใช่..."
บีเล่าว่า มิ้นท์นั้น มีฤทธิ์ น้อยที่สุดใน สี่บริวาร ทำได้เพียงแค่ สะกดให้ผู้คนเห็นรูปลักษณ์ของเธอต่างไปจากที่เป็น
สามารถมองเห็นได้แม้ในที่มืดสนิท แต่พละกำลังและความเร็วก็ถือว่าด้อยที่สุดในสี่บริวาร คิดประมาณมากกว่า
มนุษย์ธรรมดาราวๆสิบเท่า เท่านั้นเอง
"แล้วทำไม ถึงว่าแข็งแกร่งที่สุดล่ะ ?"
"นั่นสิน้า..."
มิ้นท์ปรากฏตัวในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดบางสีขาวและผมที่ยงไม่แห้งสนิทดี ท่าทางดูเหมือนเธอจะได้ยินเรื่องที่เราคุยกันตลอดตั้งแต่ต้น
ระหว่างนั้นเอง บี ก็ลุกขึ้นและแสดงบางอย่างให้ดู เธอพยายาม ใช้แขนทั้งสองข้าง พลัก มิ้นให้ถอยหลัง ด้วยท่าทางไม่เหมือนกับการแกล้งทำเลย
แต่มิ้นท์ก็ยังยืนยิ้มอย่างทะเล้นอยู่โดยไม่เสียหลักเลยแม้แต่น้อย พอเราจะลองบ้าง ผลออกมาก็ไม่ต่างกัน ทั้งๆที่ขาของมิ้นท์ยืน
แทบจะชิดกัน แต่กลับมั่นคงดุจมีรากงอกหยั่งลงพื้น
"นี่เขาเรียกว่า ปราณ... บางที่ก็เรียกว่า จิต... ถ้ามีเวลาฝึก มวยจีนซักร้อยปี ฉันว่าใครก็ทำได้ล่ะนะ"
คำตอบของแม่เสือสาวยืนยันทุกอย่าง ศิลปะการต่อสู้ของเธอเข้าขั้นพิศดารไปแล้ว ว่ากันว่าเธอเห็นการเคลื่อนไหว
ของอีกฝ่ายล่วงหน้าหนึ่งก้าว นอกจากนี้ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธทุกชนิด แม้แต่ บี เองก็บอกว่า มิ้นท์ นั้นโด่งดัง
และเป็นที่หวาดกลัวแม้แต่ในหมู่อสูรด้วยกัน
"ยัยเปี๊ยกนี่น่ะนะ... โด่งดังและน่ากลัว" เราเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ขณะที่ บี ก็ขอตัวไปอาบน้ำบ้าง
"ก็ใช่นะสิ..." มิ้นท์อวดตัว "แม้แต่บริวารของยักษ์ เราก็เคยกำราบมาแล้ว"
"ด้วยศิลปะการต่อสู้ ?"
"เปล่า ด้วย C4 น่ะ"
เราถึงกับกุมขมับ ยัยนี่มันขี้โกง แถมยังเป็นตัวร้าย ต่างจาก บี ลิบลับ เรียกว่าเพื่อชัยชนะ ทำได้ไม่เลือกวิธีการเลยสินะ
"รู้ไหม... ฉันรู้วิธีพลักให้เธอถอยหลังไปได้แล้วล่ะ โดยไม่ต้องใช้แม้แต่นิ้วเดียวเลยด้วย" เรานึกวิธีขี้โกงบางอย่างออก
"โฮ... ก็ลองดูสิ"
มิ้นท์ยืนอวดตัวอย่างมั่นใจอีกครั้ง ก่อนเราจะลุกขึ้นตามบาง ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้แรง กับคนที่แม้แต่ บี ยังพลักไม่เขยื้อน
เราจึงเข้าไปยืนประชิด ยัยคนที่มีความสูงแค่ระดับคอของเราก่อนจะโน้มตัวลง แล้วใช้ริมฝีปาก งับขบ เบาๆตรงใบหูของ
แม่เสือสาว ทำเอาเธอผงะ ก้าวถอยหลังไปทันที
"นี่ไง ฉันชนะแล้ว "
เราร้องขึ้นอย่างดีใจ ที่เอาชนะคำท้าได้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่รับมุกด้วย มิ้นท์ยังคงนิ้งค้างมองมายังเรา ทั้งยังหน้าเปลี่ยนเป็นสีจัดไปถึงใบหู
ทำเอาเราเองถึงกับหน้าแดงไปด้วย...
"ห้องน้ำว่างแล้วนะ ปาล์ม"
บีออกจากห้องน้ำมา และเห็นเรากับมิ้นท์ นั่งคนล่ะมุมห้อง ต่างฝ่ายต่างมองไปทางอื่น โดยมีเพียงความเงียบกั้นกลาง
อจินไตย ตอนที่ 6
ในที่สุดหลังจากผ่านมา เกือบหนึ่งวัน เราก็เดินทางมาถึงเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพ
ทำให้พวกเราผ่อนคลายลงไปมาก บีเล่าว่า ที่นี่เป็นอาณาเขตของ มหารุขเทพแดนเหนือ
อสูรที่ไม่ได้รับอนุญาติต่างถิ่น จะไม่กล้าบุกรุกผ่านเข้ามา
โดยเมื่อลงจากรถไฟ มิ้นท์ ก็บิ้นขี้เกียจ ด้วยท่าทางคล้ายกับแมว ไม่มีผิด และพอเธอสังเกตุเห็น
ว่าเราแอบมองอยู่ ก็ส่งยิ้มตอบกลับมาให้ ช่างเป็นเด็กสาวที่สดใส จนเผลอคิดไปว่า
ถ้าเกิดมีวันหนึ่งที่ยัยนี่ซึมเศร้า โลกคนถึงคราวหม่นหมองแน่ๆ
เดี๋ยวก่อน...
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เรายังไม่ถูกกับยัยนี่อยู่เลยแท้ๆ ทำไม่เราถึงเอาแต่คิดถึงเรื่องของยัยนี่
เหมือนเป็นบ้าแบบนี้ล่ะ
ว่าแล้วเราก็หันไปหา บี หญิงสาวที่ช่วยชีวิตเราไว้ตั้งแต่ต้น เธอก็ยิ้มให้เราเหมือนกัน
เป็นรอยยิ้มบางๆที่มุมปาก ช่างดูงดงาม เยือกเย็น รับกับการมาเยือนแดนแม่ปิงแห่งนี้จริงๆ
"อ้าาาา" เราทรุดตัวลงนั่งกับพื้น นี่เราเป็นผู้หญิงไม่ดีขนาดนี้เลยเหรอ
"เป็นอะไรรึเปล่า ? ปาล์ม"
"เอา ลุกขึ้นมาสิยัยโก๊ะ"
สองสาวยื่นมือมาให้เรา พร้อมกับรอยยิ้ม... เราชะงักไปครู่หนึ่ง... ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง...
จากนั้น พวกเราก็นั่งแท็กซี่ ข้ามแม่ปิงมายัง โรงแรมแห่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ และชื่อออกแนวฟรั่งเศส
ข้างในดูหรูหรา ตั้งแต่ล็อบบี้ จนแม้ไม่เห็นห้องก็ยังรู้ว่า นี่มันโรงแรมระดับห้าดาวชัดๆ ทำไมพวกอสูร
ถึงใช้ชีวิตหรูหราขนาดนี้กันได้นะ
"ก็นะ... ก่อนหน้านี้เธอก็เป็นถึงผู้พิทักษ์ของเมืองลับแลนี่นะ... บี..."
"ใช่..."
"ฉันเองครั้งนึงก็เคยไปช่วยบี ไปขับไล่อสูรต่างถิ่นที่บุกรุกเข้ามา จนถึงตอนนี้ก็ยังใช้ของตอบแทนที่ได้รับตอนนั้นไม่หมดเลยล่ะ"
เรางงกับคำพูดของทั้งคู่ แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เราไม่เข้าใจคำพูดของทั้งคู่ เราเลยปล่อยผ่านโดยไม่ถามต่อ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในที่สุดพวกเราก็ขึ้นลิฟท์มายังห้องพัก ที่ทั้งกว้างขวาง สวยงาม และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน
มิ้นท์ ขอตัวไปอาบน้ำ เพื่อล้างกลิ่นคาวเลือดที่ยังเหลือออก ทิ้งให้เราอยู่กับ บีสองคน
"พวกเธอรู้จักกันมานานแล้วเหรอ ?"
"อืม...ร้อยปีแล้วเห็นจะได้"
บีเล่าให้ฟังว่า มหารุกเทพ แดนเหนือ มี เอกบริวาร 4 ตน ซึ่งเธอกับมิ้นท์ถือเป็นน้องเล็กสุด ในสี่บริวาร และ
อายุร้อยปีสำหรับอสูรแล้ว ถือเป็นเพียงแค่ ช่วงวัยรุ่นเท่านั้น
เราถึงกับอึ้งไป เมื่อรู้ว่า ทั้งสองคนแก่กว่า คุณย่าของเราซะอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแปลกใจ ว่าทำไม บี ดูไม่รู้เรื่อง
ของมนุษย์เอาซะเลย ขณะที่ มิ้นท์ ดู เจนจัดกว่าเยอะ
บีก็เลย เล่าให้ฟังต่อว่า ช่วงชีวิตที่ผ่านมา เธอเอาแต่ บำเพ็ญตบะ เพิ่มฤทธิ์ และพิทักษ์เมืองลับแล
จากการบุกรุกของคนภายนอก ให้หลงทาง ให้หาไม่เจอ ให้กลับไปทางเดิม โดยมี มิ้นท์ แวะ เข้ามาเล่นด้วย
เป็นครั้งเป็นคราว ขณะที่มิ้นท์นั้นตรงกันข้าม เธอออกแนวพวกหัวกบฏ ต่างจากอสูรตนอื่นๆ ชอบเรียนรู้
สรรพวิชาของมนุษย์มากกว่าของอสูร จนได้ชื่อว่า อ่อนแอ แต่ แข็งแกร่งที่สุด ใน สี่บริวาร
"อ่อนแอ แต่ แข็งแกร่งที่สุด ?" เราทวนคำด้วยความสงสัย
"ใช่..."
บีเล่าว่า มิ้นท์นั้น มีฤทธิ์ น้อยที่สุดใน สี่บริวาร ทำได้เพียงแค่ สะกดให้ผู้คนเห็นรูปลักษณ์ของเธอต่างไปจากที่เป็น
สามารถมองเห็นได้แม้ในที่มืดสนิท แต่พละกำลังและความเร็วก็ถือว่าด้อยที่สุดในสี่บริวาร คิดประมาณมากกว่า
มนุษย์ธรรมดาราวๆสิบเท่า เท่านั้นเอง
"แล้วทำไม ถึงว่าแข็งแกร่งที่สุดล่ะ ?"
"นั่นสิน้า..."
มิ้นท์ปรากฏตัวในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดบางสีขาวและผมที่ยงไม่แห้งสนิทดี ท่าทางดูเหมือนเธอจะได้ยินเรื่องที่เราคุยกันตลอดตั้งแต่ต้น
ระหว่างนั้นเอง บี ก็ลุกขึ้นและแสดงบางอย่างให้ดู เธอพยายาม ใช้แขนทั้งสองข้าง พลัก มิ้นให้ถอยหลัง ด้วยท่าทางไม่เหมือนกับการแกล้งทำเลย
แต่มิ้นท์ก็ยังยืนยิ้มอย่างทะเล้นอยู่โดยไม่เสียหลักเลยแม้แต่น้อย พอเราจะลองบ้าง ผลออกมาก็ไม่ต่างกัน ทั้งๆที่ขาของมิ้นท์ยืน
แทบจะชิดกัน แต่กลับมั่นคงดุจมีรากงอกหยั่งลงพื้น
"นี่เขาเรียกว่า ปราณ... บางที่ก็เรียกว่า จิต... ถ้ามีเวลาฝึก มวยจีนซักร้อยปี ฉันว่าใครก็ทำได้ล่ะนะ"
คำตอบของแม่เสือสาวยืนยันทุกอย่าง ศิลปะการต่อสู้ของเธอเข้าขั้นพิศดารไปแล้ว ว่ากันว่าเธอเห็นการเคลื่อนไหว
ของอีกฝ่ายล่วงหน้าหนึ่งก้าว นอกจากนี้ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธทุกชนิด แม้แต่ บี เองก็บอกว่า มิ้นท์ นั้นโด่งดัง
และเป็นที่หวาดกลัวแม้แต่ในหมู่อสูรด้วยกัน
"ยัยเปี๊ยกนี่น่ะนะ... โด่งดังและน่ากลัว" เราเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ขณะที่ บี ก็ขอตัวไปอาบน้ำบ้าง
"ก็ใช่นะสิ..." มิ้นท์อวดตัว "แม้แต่บริวารของยักษ์ เราก็เคยกำราบมาแล้ว"
"ด้วยศิลปะการต่อสู้ ?"
"เปล่า ด้วย C4 น่ะ"
เราถึงกับกุมขมับ ยัยนี่มันขี้โกง แถมยังเป็นตัวร้าย ต่างจาก บี ลิบลับ เรียกว่าเพื่อชัยชนะ ทำได้ไม่เลือกวิธีการเลยสินะ
"รู้ไหม... ฉันรู้วิธีพลักให้เธอถอยหลังไปได้แล้วล่ะ โดยไม่ต้องใช้แม้แต่นิ้วเดียวเลยด้วย" เรานึกวิธีขี้โกงบางอย่างออก
"โฮ... ก็ลองดูสิ"
มิ้นท์ยืนอวดตัวอย่างมั่นใจอีกครั้ง ก่อนเราจะลุกขึ้นตามบาง ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้แรง กับคนที่แม้แต่ บี ยังพลักไม่เขยื้อน
เราจึงเข้าไปยืนประชิด ยัยคนที่มีความสูงแค่ระดับคอของเราก่อนจะโน้มตัวลง แล้วใช้ริมฝีปาก งับขบ เบาๆตรงใบหูของ
แม่เสือสาว ทำเอาเธอผงะ ก้าวถอยหลังไปทันที
"นี่ไง ฉันชนะแล้ว "
เราร้องขึ้นอย่างดีใจ ที่เอาชนะคำท้าได้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่รับมุกด้วย มิ้นท์ยังคงนิ้งค้างมองมายังเรา ทั้งยังหน้าเปลี่ยนเป็นสีจัดไปถึงใบหู
ทำเอาเราเองถึงกับหน้าแดงไปด้วย...
"ห้องน้ำว่างแล้วนะ ปาล์ม"
บีออกจากห้องน้ำมา และเห็นเรากับมิ้นท์ นั่งคนล่ะมุมห้อง ต่างฝ่ายต่างมองไปทางอื่น โดยมีเพียงความเงียบกั้นกลาง