ความเดิม ตอนที่ 4
http://ppantip.com/topic/33101416
กึง...กึง... กึง...กึง...
รถไฟหวานเย็นยังคงแล่นต่อไป โดยที่ บี หลับไปแล้วและกำลังเปลี่ยนสี
กลับเข้าสู่เวลากลางคืนอีกครั้งหนึ่ง ทิ้งให้เราอยู่กับ เด็กสาวแปลกหน้าที่เพิ่งขู่จะกินเรา
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว
ท่ามกล่างความเงียบ ยัยเด็กที่ชื่อมิ้นท์ก็อาวุธออกจากกระเป๋ามาเรียงบนเตียง เพื่อตรวจเช็ค โดยหลักๆก็มี
ปืนพก M92F 2 กระบอก มีดทหาร 1 ดาบคาตานะสั้น 2 และแม็กกาซีนบรรจุกระสุนอีกจำนวนหนึ่ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อาวุธพกพาของมิ้นท์
m92f x 2
มีดทหาร
คาตานะสั้น x 2
"นี่เธอจะขึ้นเหนือ หรือลง สามจังหวัดชายแดนกันแน่ ?"
"แค่นี้ยังน้อยนะ" มิ้นท์ตอบกลับทันควัน "จัดมาเฉพาะที่พกพาง่าย ถ้าเป็นชุดใหญ่ล่ะ ออกรบจริงๆได้เลย"
"แล้วนี่พกพาไปไหนมาไหนไม่ถูกตำรวจเรียกรึไง ?"
"ต่อให้ฉันแบก RGP-7 เดินกลางถนน คนอื่นก็เห็นเป็นแค่คุณยายขายไม้กวาดธรรมดาๆ..."
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
RPG-7
ฟังยัยคลังยุทโธปกรณ์เคลื่อนที่ได้นี่อธิบายก็นึกขำ ถ้ามีคนอย่างยัยพวกนี้เต็มไปหมดแล้วที่ผ่านมา
โลกของเราเป็นยังไงกัน มนุษย์เป็นแค่พวกโง่ ที่ไม่รู้เรื่อง เอาแต่ใช้ชีวิตเสพสุขจอมปลอม โดยไม่รู้
ว่าเบื้องหลังแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่า อาศัยร่วมในโลกใบเดียวกัน พวกนั้นคงนึกขำในความอ่อนแอ
ของพวกเรา และมองเป็นเพียงแค่เหยื่อไม่ก็ของเล่นสนุกตลอดเวลา
"นี่... แวมไพร์มีจริงไหม ?" เราถามต่อ
"เคยได้ยินว่ามีนะ..."
"แล้วมนุษย์หมาป่าล่ะ ?"
"ถ้าเจอล่ะจะตบให้คว่ำเลย ฉันเกลียดหมา"
"ฮะ ฮะ"
เราหัวเราะให้กับตัวเองอีกครั้งหนึ่ง นี่เราหลุดเข้ามาอยู่ในโลกแฟนตาซีตั้งแต่เมื่อไหร่
แล้วยัยนี่เป็นเสือหรือแมวกันแน่ ทำไมถึงไม่ถูกกับหมาด้วย
"ท่าทางบีคงเหนื่อยมาก... เธอหลับทันทีที่รู้ว่าฉันมา คงจะวางใจให้ฉันคุ้มครองสินะ"
ยัยเสือน้อยพูดก่อนจะยิ้มมุมปาก อวดความมีประโยชน์ของตัวเองอย่างเต็มที่
"บี เองก็คงเห็นเธอสำคัญมากสินะ ถึงไม่ยอมฆ่าเธอตอนนั้น... เอาเถอะ ใช้
เวลาที่ยังเหลือ ให้คุ้มค่าล่ะกัน"
"หมายความว่ายังไง ?" เราสะดุดใจกับคำว่า
เวลาที่ยังเหลือ
แม่เสือสาวเก็บดาบเข้าฝัก หลังจากทำความสะอาดมันเสร็จ ก่อนจะพูดขึ้นต่อ
"ก็เธอรู้ความลับของพวกเราแล้ว ถ้าไม่ฆ่า ก็ต้องลบความทรงจำ ไม่ก็จับไปขังไว้จนแก่ตาย แต่ฉันเดาว่าคงเป็นอย่างแรก
เพราะ บี น่ะใจดี และทางเหนือก็มีผู้มีฤทธิ์ในการลบความทรงจำอยู่ ที่เหลือก็ให้เหล่าสภาเทพ-อสูร เจรจากัน เธอก็จะได้
กลับไปใช้ชีวิตเดิมๆ และลืมว่าเคยมีพวกเราอยู่ แฮปปี้เอ็นดิ้ง..."
เป็นความจริงที่น่าตกตะลึง แม้ว่าครึ่งหนึ่งเราจะดีใจที่ยังมีหนทางที่จะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม โดยไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปจนตาย
แต่การต้องลืมเรื่องทั้งหมดเกียวกับ บี ไปก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ส่วนยัยสมิงอะไรนี่ จะลืมก็ลืมไปเถอะ
"ถ้าฉันสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องของพวกเธอออกไปล่ะ ยังมีทางอื่นที่ไม่ต้องลบความทรงจำอีกไหม ?"
"นี่... แม่คุณ... คำสัญญาของมนุษย์ มันก็น่าเชื่อถือพอๆกับ สัญญายืมเงินปากเปล่า แล้วบอกว่าจะคืนให้แน่ๆนั่นแหละ
แล้วคิดเหรอว่า พวกเราจะยอมเอาความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์เราไปเสี่ยง ?"
"ความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์ ? อย่าบอกนะว่าพวกเธอกลัวพวกมนุษย์อย่างเรา ?"
"กลัวสิ..."
คำพูดของ มิ้นท์ ทำเอาเราถึงกับเงียบไป ที่ผ่านมาเรานึกว่า มนุษย์ทำได้ เมื่อเจออสูร คือเพียงแค่หวาดกลัวตัวสั่น
แต่ มิ้นท์ อธิบายว่า พวกอสูรชอบฆ่าฟันกันเอง ทำให้มีจำนวนน้อยมากกว่ามนุษย์ ถึงหมื่นต่อหนึ่ง และ อาวุธธรรมดาๆ
อย่างปืนก็สามารถฆ่าอสูรได้ หากยิงเข้าถูกจุดสำคัญ ดังนั้นถ้าพวกมนุษย์รู้ถึงการมีตัวตนของพวกเธอ เลวร้ายที่สุดคือ
เกิดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ขึ้น โดยไม่อาจคาดเดาได้ว่าฝ่ายใดจะชนะ แต่ที่แน่นอนคือความสูญเสีย จะต้องเกิดขึ้นมหาศาล
"รู้รึยังว่า บี ต้องแบกรับความเสี่ยงแค่ไหน ที่ไว้ชีวิตเธอ ?"
เราหันมองไปยังเด็กสาว ผู้หลับไหลอย่างไม่รู้เรื่อง จากความเหนื่อยล้าที่เฝ้าระวังภัยให้เราหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวันเต็มๆ
มาถึงตอนนี้ถึงได้เข้าใจคำพูดของ บี การมีชีวิตอยู่ของเราเสี่ยงต่อชีวิตของคนเป็นล้าน หากความลับถูกเปิดเผย
แต่ถึงอย่างนั้น... เราก็ยังไม่อยากลืม บี อยู่ดี...
"อ้าาาาาห์ !!!!!!"
เสียงคำรามบางอย่างดังแววมาแต่ไกล ซึ่งเบาเสียจนถ้าไม่สังเกตุจะไม่ได้ยิน แต่บีก็ลืมตาตื่นขึ้น
"พวกมันขู่จะทำให้รถไฟตกขบวน..." บีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนคนยังไม่ตื่นดี
"บริวารยักษ์เหรอ ?"
"ไม่รู้สิ..."
"เกลียดจริงๆเลยน๊า พวกนี้กระสุนเล็กๆ ยิงไม่เข้าซะด้วย"
มิ้นท์ เอ่ยพลางจับดาบคาตานะคู่ที่เพิ่งทำความสะอาดขึ้นเสียบเข้าที่เอวทั้งสองข้าง
"เดี๋ยวขอตัวไปเคลียร์เส้นทางแปป"
พูดจบแม่เสือสาวก็พุ่งออกนอกหน้าต่าง เหวี่ยงตัวเองขึ้นไปบนหลังคา ก่อนจะวิ่งไปทางหน้าขบวนเพื่อกำจัดสิ่งกีดขวาง
"ไม่ไปช่วยจะดีเหรอ ?"
เราถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ถึงเราจะไม่ชอบหน้ายัยเสือนั่น แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะชีวิตของยัยนั่นก็สำคัญ
ไม่น้อยไปกว่าชีวิตของเรา ถ้าจะต้องมีใครมาเจ็บตัว หรือตายแทนเธอ คงต้องฝันร้ายไปตลอดชีวิต
"เธอเป็นห่วงมิ้นท์เหรอ...?"
อีกด้านหนึ่ง เสือสมิงสาวพร้อมดาบคู่ก็ได้พุ่งกระโจนออกจากรถไฟ แล้ววิ่งนำไปเผชิญสิ่งที่ดักหน้าอยู่
สามกี่โลเมตรด้านหน้า ก่อนจะเจอ โอปปาติกะ ตนหนึ่ง ซึ่งมีอักขระตามตัวของกุมภัณฑ์ชั้นล่างที่มีพละกำลังมหาศาล
"โอ้ย ! ไอ้บ้า !"
มิ้นท์ตะโกนด่า หากเป็นบริวารของกุมภัณฑ์ชั้นกลาง หรือยักษ์ คงมีกำลังพอจะชนรถไฟให้ตกรางได้ แต่ถ้าเป็น โอปปาติกะ
ที่เลียนแบบพลังของกุมภัณฑ์ชั้นล่างมา คงพอจะวิ่งชนรถยนต์ที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วให้หยุดได้โดยตัวเองไม่เป็นอะไร
แต่กับรถไฟที่เฉพาะหัวลากขบวนก็หนักเกินสามสิบตัน มันเป็นคนล่ะเรื่อง
"อยากยืนให้รถไฟชนก็ตามใจ ฉันกลับล่ะ"
แต่แล้ว ขณะที่มิ้นท์กำลังจะหันหลังกลับ เธอก็ได้เห็น โอปปาติกะ อีกตน เป็นชายรูปร่างผอม ถือมีดสวมชุดดำกลืนกับความมืด
ก่อนที่มันจะแบ่งร่างออก จากหนึ้งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด ไม่นาน มิ้นก็ถูกชายร่างผอมถือมีดหลายสิบคนล้อมเอาไว้
และยังมีเจ้าร่างยักษ์ ซึ่งดูเหมือนคนอัดสเตรียรอยเกินขนาดอยู่อีกคน
ตึง !
บางสิ่งกระแทกเข้ากับหน้าต่างตู้นอนของบี กับ ปาล์ม มันคือใบหน้าของ มิ้นท์ ที่ชุ่มแดงฉานไปด้วยเลือด
ห้อยกลับหัวลงมา ปาล์ม ถึงกับตกใจเข่าออนทรุดลงกับพื้น น้ำตาคลอเบ้า เมื่อได้เห็นภาพน่าสยองตรงหน้า
ตึง ! ตึง ! ตึง !
"จะ ปิดทำไมเล่า ! คนจะเข้ามาอยู่" มิ้นท์ทุบกระจกรถไฟ ร้องให้เปิดหน้าต่าง ที่เมื่อกี้เผลอปิดจากแรงสั่งของรถไฟ
เสือสมิงสาวปีนกลับเข้ามาในโบกี้ ก่อนจะถอดเสือจนเหลือแต่ชั้นในสีฟ้า และใช้น้ำราดตัวล้างคราบเลือดออกไป จนเผยให้เห็น
ร่างบางและผิวขาวเนียนน่าสัมผัสของสาวรุ่นซึ่งไร้รอยขีดข่วนใดๆ
ทันใดนั้นรถไฟก็แล่นผ่านจุดเกิดเหตุ พบกับซากร่างของชายชุดดำ กองเป็นภูเขา รวมถึงเศษชิ้นส่วนของชายตัวใหญ่ซึ่งขาดเป็นชิ้นๆ
และค่อยๆสลายไป
"เธอ... ไม่เป็นอะไรเลยเหรอ ?"
"ก็นะ..." มิ้นท์เอ่ยขณะที่ใช้ผ้าเช็ดตัวซับความเปียก "พวกมันพลาดไปสองอย่าง..."
"หนึ่งคือ สัตว์ตระกูลแมวทุกชนิด มองเห็นชัดเจนเวลากลางคืน"
"สองคือ คิดสู้กับผู้ฝึก อาทมาฏ มากว่าร้อยปีอย่างฉัน"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อาทมาฏ
เป็นชื่อเรียกวิชาดาบแขนงหนึ่งของไทย เชื่อกันว่าตกทอดมาครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตั้งแต่ยังมีพระอิสริยยศ เป็น พระอุปราชวังหน้ารั้งเมืองพิษณุโลก และตกทอดกันมาถึงผู้สืบทอดปัจจุบันจากในตัวเมืองพิษณุโลกนี่เอง
วิชาดาบแบบอาทมาฏ มีจุดเด่นอยู่ที่ความรวดเร็ว รุนแรง และเด็ดขาด สามารถสู้ได้เพียงคนเดียวต่อคู่ต่อสู้หลายคน มีท่ารุกเป็นท่าเดียวกับท่ารับ เมื่อคู่ต่อสู้ฟันมาจะรับและฟันกลับทันที ไม่มีอะไรตายตัว มีแม่ไม้ 3 ท่า คือคลุมไตรภพ ตลบสิงขร และย้อมฟองสมุทร
ลักษณะของดาบแบบอาทมาฏ จะเป็นดาบสองมือ (ดาบคู่) ที่สั้นและมีน้ำหนักเบา มีความคล่องแคล่ว มีด้ามที่ยาวกว่าดาบปกติ เพื่อป้องกันข้อแขนและเส้นเอ็นของผู้ใช้ อีกทั้งสามารถใช้ผลักหรือดันคู่ต่อสู้ให้เสียหลักได้ รวมถึงใช้กระแทกกระทุ้งด้วย
"เมื่อกี้ ปาล์ม บอกว่าเป็นห่วงเธอแนะ..."
บี สอดขึ้น ทำเอาแม่เสือสาว หันมามอง ปาล์ม ที่กำลังนั่งทรุดตัวสั่น น้ำตาคลอ เป็นท่าทางที่เธอไม่เคยเห็น แม้แต่ตอนที่เธอฆ่าเจ้าหนุ่ม
บิ๊คไบค์ แสดงว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากความกลัวที่เห็น อสูรฆ่ากัน เป็นเกิดจากความเป็นห่วงเธอจริงๆ ซึ่งส่วนตัวแล้ว ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมี
มนุษย์คนไหนเป็นห่วงเธอมาก่อน
"เป็นห่วงฉันเหรอ..." มิ้นท์ เอ่ยเสียงล้อพร้อมยิ้มอวดฟันเขี้ยวเล็กๆและยื่นหน้าเข้ามาใกล้
ก่อนจะเอานิ้วไปจิ้ม แกล้งคนที่นั่งอายหน้าแดง จากการเป็นห่วงเก้อ "อะ นี่แนะ นี่แนะ"
"ไม่รู้ด้วยแล้ว !!!"
ปาล์มร้องขึ้นก่อนจะปีนขึ้นไปนอนคลุมโปงบนเตียงชั้นสอง ด้วยความอาย ก่อนจะมีเสียงหัวเราะสดใส ของมิ้นท์ดังตามมา
หนึ่งคนสวยสง่าเย็นชา ราวกับ ความงามของหน้าหนาว...
อีกคนสดใสน่ารัก เหมือนกับ ความร่าเริงของฤดูร้อน...
http://static.tumblr.com/50686f078f4e5f5282c93c3bb160f7a0/ix8wlob/YyJnff5dz/tumblr_static_cbpazx9lw5s8wwcwgkcscgsoc.gif
อจินไตย ตอนที่ 5
กึง...กึง... กึง...กึง...
รถไฟหวานเย็นยังคงแล่นต่อไป โดยที่ บี หลับไปแล้วและกำลังเปลี่ยนสี
กลับเข้าสู่เวลากลางคืนอีกครั้งหนึ่ง ทิ้งให้เราอยู่กับ เด็กสาวแปลกหน้าที่เพิ่งขู่จะกินเรา
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว
ท่ามกล่างความเงียบ ยัยเด็กที่ชื่อมิ้นท์ก็อาวุธออกจากกระเป๋ามาเรียงบนเตียง เพื่อตรวจเช็ค โดยหลักๆก็มี
ปืนพก M92F 2 กระบอก มีดทหาร 1 ดาบคาตานะสั้น 2 และแม็กกาซีนบรรจุกระสุนอีกจำนวนหนึ่ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"นี่เธอจะขึ้นเหนือ หรือลง สามจังหวัดชายแดนกันแน่ ?"
"แค่นี้ยังน้อยนะ" มิ้นท์ตอบกลับทันควัน "จัดมาเฉพาะที่พกพาง่าย ถ้าเป็นชุดใหญ่ล่ะ ออกรบจริงๆได้เลย"
"แล้วนี่พกพาไปไหนมาไหนไม่ถูกตำรวจเรียกรึไง ?"
"ต่อให้ฉันแบก RGP-7 เดินกลางถนน คนอื่นก็เห็นเป็นแค่คุณยายขายไม้กวาดธรรมดาๆ..."
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฟังยัยคลังยุทโธปกรณ์เคลื่อนที่ได้นี่อธิบายก็นึกขำ ถ้ามีคนอย่างยัยพวกนี้เต็มไปหมดแล้วที่ผ่านมา
โลกของเราเป็นยังไงกัน มนุษย์เป็นแค่พวกโง่ ที่ไม่รู้เรื่อง เอาแต่ใช้ชีวิตเสพสุขจอมปลอม โดยไม่รู้
ว่าเบื้องหลังแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่า อาศัยร่วมในโลกใบเดียวกัน พวกนั้นคงนึกขำในความอ่อนแอ
ของพวกเรา และมองเป็นเพียงแค่เหยื่อไม่ก็ของเล่นสนุกตลอดเวลา
"นี่... แวมไพร์มีจริงไหม ?" เราถามต่อ
"เคยได้ยินว่ามีนะ..."
"แล้วมนุษย์หมาป่าล่ะ ?"
"ถ้าเจอล่ะจะตบให้คว่ำเลย ฉันเกลียดหมา"
"ฮะ ฮะ"
เราหัวเราะให้กับตัวเองอีกครั้งหนึ่ง นี่เราหลุดเข้ามาอยู่ในโลกแฟนตาซีตั้งแต่เมื่อไหร่
แล้วยัยนี่เป็นเสือหรือแมวกันแน่ ทำไมถึงไม่ถูกกับหมาด้วย
"ท่าทางบีคงเหนื่อยมาก... เธอหลับทันทีที่รู้ว่าฉันมา คงจะวางใจให้ฉันคุ้มครองสินะ"
ยัยเสือน้อยพูดก่อนจะยิ้มมุมปาก อวดความมีประโยชน์ของตัวเองอย่างเต็มที่
"บี เองก็คงเห็นเธอสำคัญมากสินะ ถึงไม่ยอมฆ่าเธอตอนนั้น... เอาเถอะ ใช้ เวลาที่ยังเหลือ ให้คุ้มค่าล่ะกัน"
"หมายความว่ายังไง ?" เราสะดุดใจกับคำว่า เวลาที่ยังเหลือ
แม่เสือสาวเก็บดาบเข้าฝัก หลังจากทำความสะอาดมันเสร็จ ก่อนจะพูดขึ้นต่อ
"ก็เธอรู้ความลับของพวกเราแล้ว ถ้าไม่ฆ่า ก็ต้องลบความทรงจำ ไม่ก็จับไปขังไว้จนแก่ตาย แต่ฉันเดาว่าคงเป็นอย่างแรก
เพราะ บี น่ะใจดี และทางเหนือก็มีผู้มีฤทธิ์ในการลบความทรงจำอยู่ ที่เหลือก็ให้เหล่าสภาเทพ-อสูร เจรจากัน เธอก็จะได้
กลับไปใช้ชีวิตเดิมๆ และลืมว่าเคยมีพวกเราอยู่ แฮปปี้เอ็นดิ้ง..."
เป็นความจริงที่น่าตกตะลึง แม้ว่าครึ่งหนึ่งเราจะดีใจที่ยังมีหนทางที่จะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม โดยไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปจนตาย
แต่การต้องลืมเรื่องทั้งหมดเกียวกับ บี ไปก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ส่วนยัยสมิงอะไรนี่ จะลืมก็ลืมไปเถอะ
"ถ้าฉันสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องของพวกเธอออกไปล่ะ ยังมีทางอื่นที่ไม่ต้องลบความทรงจำอีกไหม ?"
"นี่... แม่คุณ... คำสัญญาของมนุษย์ มันก็น่าเชื่อถือพอๆกับ สัญญายืมเงินปากเปล่า แล้วบอกว่าจะคืนให้แน่ๆนั่นแหละ
แล้วคิดเหรอว่า พวกเราจะยอมเอาความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์เราไปเสี่ยง ?"
"ความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์ ? อย่าบอกนะว่าพวกเธอกลัวพวกมนุษย์อย่างเรา ?"
"กลัวสิ..."
คำพูดของ มิ้นท์ ทำเอาเราถึงกับเงียบไป ที่ผ่านมาเรานึกว่า มนุษย์ทำได้ เมื่อเจออสูร คือเพียงแค่หวาดกลัวตัวสั่น
แต่ มิ้นท์ อธิบายว่า พวกอสูรชอบฆ่าฟันกันเอง ทำให้มีจำนวนน้อยมากกว่ามนุษย์ ถึงหมื่นต่อหนึ่ง และ อาวุธธรรมดาๆ
อย่างปืนก็สามารถฆ่าอสูรได้ หากยิงเข้าถูกจุดสำคัญ ดังนั้นถ้าพวกมนุษย์รู้ถึงการมีตัวตนของพวกเธอ เลวร้ายที่สุดคือ
เกิดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ขึ้น โดยไม่อาจคาดเดาได้ว่าฝ่ายใดจะชนะ แต่ที่แน่นอนคือความสูญเสีย จะต้องเกิดขึ้นมหาศาล
"รู้รึยังว่า บี ต้องแบกรับความเสี่ยงแค่ไหน ที่ไว้ชีวิตเธอ ?"
เราหันมองไปยังเด็กสาว ผู้หลับไหลอย่างไม่รู้เรื่อง จากความเหนื่อยล้าที่เฝ้าระวังภัยให้เราหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวันเต็มๆ
มาถึงตอนนี้ถึงได้เข้าใจคำพูดของ บี การมีชีวิตอยู่ของเราเสี่ยงต่อชีวิตของคนเป็นล้าน หากความลับถูกเปิดเผย
แต่ถึงอย่างนั้น... เราก็ยังไม่อยากลืม บี อยู่ดี...
"อ้าาาาาห์ !!!!!!"
เสียงคำรามบางอย่างดังแววมาแต่ไกล ซึ่งเบาเสียจนถ้าไม่สังเกตุจะไม่ได้ยิน แต่บีก็ลืมตาตื่นขึ้น
"พวกมันขู่จะทำให้รถไฟตกขบวน..." บีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนคนยังไม่ตื่นดี
"บริวารยักษ์เหรอ ?"
"ไม่รู้สิ..."
"เกลียดจริงๆเลยน๊า พวกนี้กระสุนเล็กๆ ยิงไม่เข้าซะด้วย"
มิ้นท์ เอ่ยพลางจับดาบคาตานะคู่ที่เพิ่งทำความสะอาดขึ้นเสียบเข้าที่เอวทั้งสองข้าง
"เดี๋ยวขอตัวไปเคลียร์เส้นทางแปป"
พูดจบแม่เสือสาวก็พุ่งออกนอกหน้าต่าง เหวี่ยงตัวเองขึ้นไปบนหลังคา ก่อนจะวิ่งไปทางหน้าขบวนเพื่อกำจัดสิ่งกีดขวาง
"ไม่ไปช่วยจะดีเหรอ ?"
เราถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ถึงเราจะไม่ชอบหน้ายัยเสือนั่น แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะชีวิตของยัยนั่นก็สำคัญ
ไม่น้อยไปกว่าชีวิตของเรา ถ้าจะต้องมีใครมาเจ็บตัว หรือตายแทนเธอ คงต้องฝันร้ายไปตลอดชีวิต
"เธอเป็นห่วงมิ้นท์เหรอ...?"
อีกด้านหนึ่ง เสือสมิงสาวพร้อมดาบคู่ก็ได้พุ่งกระโจนออกจากรถไฟ แล้ววิ่งนำไปเผชิญสิ่งที่ดักหน้าอยู่
สามกี่โลเมตรด้านหน้า ก่อนจะเจอ โอปปาติกะ ตนหนึ่ง ซึ่งมีอักขระตามตัวของกุมภัณฑ์ชั้นล่างที่มีพละกำลังมหาศาล
"โอ้ย ! ไอ้บ้า !"
มิ้นท์ตะโกนด่า หากเป็นบริวารของกุมภัณฑ์ชั้นกลาง หรือยักษ์ คงมีกำลังพอจะชนรถไฟให้ตกรางได้ แต่ถ้าเป็น โอปปาติกะ
ที่เลียนแบบพลังของกุมภัณฑ์ชั้นล่างมา คงพอจะวิ่งชนรถยนต์ที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วให้หยุดได้โดยตัวเองไม่เป็นอะไร
แต่กับรถไฟที่เฉพาะหัวลากขบวนก็หนักเกินสามสิบตัน มันเป็นคนล่ะเรื่อง
"อยากยืนให้รถไฟชนก็ตามใจ ฉันกลับล่ะ"
แต่แล้ว ขณะที่มิ้นท์กำลังจะหันหลังกลับ เธอก็ได้เห็น โอปปาติกะ อีกตน เป็นชายรูปร่างผอม ถือมีดสวมชุดดำกลืนกับความมืด
ก่อนที่มันจะแบ่งร่างออก จากหนึ้งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด ไม่นาน มิ้นก็ถูกชายร่างผอมถือมีดหลายสิบคนล้อมเอาไว้
และยังมีเจ้าร่างยักษ์ ซึ่งดูเหมือนคนอัดสเตรียรอยเกินขนาดอยู่อีกคน
ตึง !
บางสิ่งกระแทกเข้ากับหน้าต่างตู้นอนของบี กับ ปาล์ม มันคือใบหน้าของ มิ้นท์ ที่ชุ่มแดงฉานไปด้วยเลือด
ห้อยกลับหัวลงมา ปาล์ม ถึงกับตกใจเข่าออนทรุดลงกับพื้น น้ำตาคลอเบ้า เมื่อได้เห็นภาพน่าสยองตรงหน้า
ตึง ! ตึง ! ตึง !
"จะ ปิดทำไมเล่า ! คนจะเข้ามาอยู่" มิ้นท์ทุบกระจกรถไฟ ร้องให้เปิดหน้าต่าง ที่เมื่อกี้เผลอปิดจากแรงสั่งของรถไฟ
เสือสมิงสาวปีนกลับเข้ามาในโบกี้ ก่อนจะถอดเสือจนเหลือแต่ชั้นในสีฟ้า และใช้น้ำราดตัวล้างคราบเลือดออกไป จนเผยให้เห็น
ร่างบางและผิวขาวเนียนน่าสัมผัสของสาวรุ่นซึ่งไร้รอยขีดข่วนใดๆ
ทันใดนั้นรถไฟก็แล่นผ่านจุดเกิดเหตุ พบกับซากร่างของชายชุดดำ กองเป็นภูเขา รวมถึงเศษชิ้นส่วนของชายตัวใหญ่ซึ่งขาดเป็นชิ้นๆ
และค่อยๆสลายไป
"เธอ... ไม่เป็นอะไรเลยเหรอ ?"
"ก็นะ..." มิ้นท์เอ่ยขณะที่ใช้ผ้าเช็ดตัวซับความเปียก "พวกมันพลาดไปสองอย่าง..."
"หนึ่งคือ สัตว์ตระกูลแมวทุกชนิด มองเห็นชัดเจนเวลากลางคืน"
"สองคือ คิดสู้กับผู้ฝึก อาทมาฏ มากว่าร้อยปีอย่างฉัน"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"เมื่อกี้ ปาล์ม บอกว่าเป็นห่วงเธอแนะ..."
บี สอดขึ้น ทำเอาแม่เสือสาว หันมามอง ปาล์ม ที่กำลังนั่งทรุดตัวสั่น น้ำตาคลอ เป็นท่าทางที่เธอไม่เคยเห็น แม้แต่ตอนที่เธอฆ่าเจ้าหนุ่ม
บิ๊คไบค์ แสดงว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากความกลัวที่เห็น อสูรฆ่ากัน เป็นเกิดจากความเป็นห่วงเธอจริงๆ ซึ่งส่วนตัวแล้ว ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมี
มนุษย์คนไหนเป็นห่วงเธอมาก่อน
"เป็นห่วงฉันเหรอ..." มิ้นท์ เอ่ยเสียงล้อพร้อมยิ้มอวดฟันเขี้ยวเล็กๆและยื่นหน้าเข้ามาใกล้
ก่อนจะเอานิ้วไปจิ้ม แกล้งคนที่นั่งอายหน้าแดง จากการเป็นห่วงเก้อ "อะ นี่แนะ นี่แนะ"
"ไม่รู้ด้วยแล้ว !!!"
ปาล์มร้องขึ้นก่อนจะปีนขึ้นไปนอนคลุมโปงบนเตียงชั้นสอง ด้วยความอาย ก่อนจะมีเสียงหัวเราะสดใส ของมิ้นท์ดังตามมา
หนึ่งคนสวยสง่าเย็นชา ราวกับ ความงามของหน้าหนาว...
อีกคนสดใสน่ารัก เหมือนกับ ความร่าเริงของฤดูร้อน...
http://static.tumblr.com/50686f078f4e5f5282c93c3bb160f7a0/ix8wlob/YyJnff5dz/tumblr_static_cbpazx9lw5s8wwcwgkcscgsoc.gif