สวัสดีครับทุกท่าน
แม่ผม ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด ต้องทนทรมานอยู่กับโรคร้ายนี้เป็นเวลาเกือบปี
และได้เสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ที่ผ่านมา
สาเหตุ เพราะบ้านผม อยู่ติดโรงงาน แม่ต้องทนสูดดมควันที่ปล่อยจากปล่องโรงงานติดต่อกันเป็นเวลานานหลายสิบปี แพทย์ที่ทำการรักษา ก็ไม่สามารถที่จะระบุชี้ชัดลงไปได้ว่า เกิดจากควันโรงงานโดยตรง
แต่ผม ครอบครัว และชาวบ้านในละแวกนั้น รู้กันอยู่ ว่าเกิดจากอะไร เพราะที่บ้าน ไม่มีใครสูบบุหรี่ ข้างบ้านทั้งสองข้าง ก็เป็นบ้านร้างมานานหลายสิบปี
โรงงานปล่อยควัน และกลิ่นออกมาตลอด แม่ผมเคยได้โทรไปให้ทางโรงงานมาดู ก็รับปากส่งๆ ว่าจะแก้ไขให้
แต่เหมือนไฟไหม้ฟาง เป็นอย่างนี้มาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา
แจ้งทางการ ทั้งคสช. กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
แต่สุดท้าย เรื่องก็ไปจบที่อุตสาหกรรมจังหวัด ซึ่งจน ณ บัดนี้ ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น
อ้างเหตุผลสารพัด เพื่อบ่ายเบี่ยงการเข้าตรวจสอบ และลงโทษอย่างจริงจัง
ทั้งที่เคยมีหนังสือแจ้งมายังผมว่า เคยได้เข้าไปตรวจ และพบว่าโรงงานดังกล่าว ผิดตามกล่าวจริง
แต่จนบัดนี้ โรงงานดังกล่าว ก็ยังคงปล่อยควัน ปล่อยกลิ่นอยู่เหมือนเดิม
แล้วจะเข้าไปตรวจเพื่ออะไร?
ตั้งแต่แม่ผมป่วยเมื่อเดือน มกราคม 57 แม่ไม่เคยได้เข้าไปที่บ้านอีกเลย จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
มีบ้านของตัวเองแท้ๆ แต่กลับอยู่ไม่ได้ เพราะขนาดคนปกติธรรมดา ยังทนแทบไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนป่วย
ผมต้องพาแม่แทบจะเรียกว่าเร่ร่อน หาพักอยู่ตามบ้านญาติบ้าง บ้านเช่าบ้าง เพื่อให้แม่ได้มีอากาศดีๆ ไว้หายใจ
ไหนจะเรื่องการเดินทางไปโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่รักษา ซึ่งไกลจากที่พักอาศัย กับสภาพผู้ป่วย ที่ทรุดโทรมลงในแต่ละวัน
ขณะที่เจ้าของโรงงาน ยังคงมีความสุข ไปเที่ยวเมืองนอก ไปเต้นลีลาศ นั่งกินเลี้ยง โพสรูปลงเฟสด้วยความภาคภูมิใจ และมีความสุขกับครอบครัว
ในขณะที่ครอบครัวผม แม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคที่เป็นอยู่ โรคที่ตัวเองไม่ได้ก่อ อย่างแสนสาหัส น้องต้องออกจากงานมาดูแลแม่ ผมเองก็ต้องกู้หนี้ยืมสิน หาเงินมารักษาแม่ ต้องหยุดงานแทบจะครึ่งปี ยังดีที่เจ้าของบริษัทแกเข้าใจ ให้ทั้งเงิน และโอกาสกับผมมาก
แต่สุดท้าย แม่ก็ได้จากพวกเราไป เหลือไว้แต่ความทรงจำอันเจ็บปวด
แม่ต้องมาตาย ก่อนวัยอันควร ตายด้วยโรคที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ
สิ่งที่ผมรู้สึกเสียใจ และเจ็บใจ คือ
* คนที่ฆ่าแม่ผม ยังคงมีความสุขกับชีวิต และไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่ตนกระทำ ในเรื่องการปล่อยควันพิษ ปล่อยน้ำเสีย เป็นเรื่องที่ผิด จวบจนทุกวันนี้
* กฏหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่สามารถลงโทษผู้กระทำผิดได้
* ชาวบ้านตาดำๆ ที่มีทั้งผู้สูงอายุ เด็ก และคนป่วย ต้องก้มหน้ารับกรรม สูดดมควัน และกลิ่นที่โรงงานปล่อยออกมาทุกวันกันต่อไป เพราะไม่รู้ว่าจะหนีไปอยู่ที่ไหน
*และจะต้องให้มีคนตายอีกสักกี่คน เรื่องนี้ถึงจะได้รับการเยียวยาแก้ไข ถึงจะมีน้ำหนักพอที่จะดำเนินการทางกฏหมายได้
ผมควรจะวางใจกับเรื่องนี้อย่างไรดีครับ
หรือผมควรจะยกโทษให้ กับคนที่ฆ่าแม่ผม ทำลายครอบครัวผม เพราะคิดว่าอาจเป็นกรรมเก่า ชาตินี้ใช้หนี้เค้าไป ไม่สร้างกรรมใหม่ อย่างนี้หรือเปล่า?
บ้างครั้งรู้สึกเหมือนน้ำตาตกใน อยากร้องไห้ แต่ร้องไม่ออก เจ็บใจคนที่กระทำ เพราะไม่อาจจะลงโทษอะไรเค้าได้ แม้ว่าจะพยายามให้ถูกต้องตามกฏหมายแล้วก็ตาม
ไม่มีแม้แต่คำขอโทษ ไม่มีสำนึก ไม่มีการยอมรับผิดใดๆ ไม่มีการดำเนินการเพื่อความยุติธรรมอย่างแท้จริง
หรือว่าเกิดเป็นคนจน ก็ต้องทนก้มหน้ารับกรรมเพียงอย่างเดียว
ผมทำได้แค่นั้นจริงๆ ใช่หรือเปล่าครับ?
รู้สึกเสียใจ เจ็บใจ แต่อยากปล่อยวาง
สวัสดีครับทุกท่าน
แม่ผม ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด ต้องทนทรมานอยู่กับโรคร้ายนี้เป็นเวลาเกือบปี
และได้เสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ที่ผ่านมา
สาเหตุ เพราะบ้านผม อยู่ติดโรงงาน แม่ต้องทนสูดดมควันที่ปล่อยจากปล่องโรงงานติดต่อกันเป็นเวลานานหลายสิบปี แพทย์ที่ทำการรักษา ก็ไม่สามารถที่จะระบุชี้ชัดลงไปได้ว่า เกิดจากควันโรงงานโดยตรง
แต่ผม ครอบครัว และชาวบ้านในละแวกนั้น รู้กันอยู่ ว่าเกิดจากอะไร เพราะที่บ้าน ไม่มีใครสูบบุหรี่ ข้างบ้านทั้งสองข้าง ก็เป็นบ้านร้างมานานหลายสิบปี
โรงงานปล่อยควัน และกลิ่นออกมาตลอด แม่ผมเคยได้โทรไปให้ทางโรงงานมาดู ก็รับปากส่งๆ ว่าจะแก้ไขให้
แต่เหมือนไฟไหม้ฟาง เป็นอย่างนี้มาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา
แจ้งทางการ ทั้งคสช. กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
แต่สุดท้าย เรื่องก็ไปจบที่อุตสาหกรรมจังหวัด ซึ่งจน ณ บัดนี้ ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น
อ้างเหตุผลสารพัด เพื่อบ่ายเบี่ยงการเข้าตรวจสอบ และลงโทษอย่างจริงจัง
ทั้งที่เคยมีหนังสือแจ้งมายังผมว่า เคยได้เข้าไปตรวจ และพบว่าโรงงานดังกล่าว ผิดตามกล่าวจริง
แต่จนบัดนี้ โรงงานดังกล่าว ก็ยังคงปล่อยควัน ปล่อยกลิ่นอยู่เหมือนเดิม
แล้วจะเข้าไปตรวจเพื่ออะไร?
ตั้งแต่แม่ผมป่วยเมื่อเดือน มกราคม 57 แม่ไม่เคยได้เข้าไปที่บ้านอีกเลย จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
มีบ้านของตัวเองแท้ๆ แต่กลับอยู่ไม่ได้ เพราะขนาดคนปกติธรรมดา ยังทนแทบไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนป่วย
ผมต้องพาแม่แทบจะเรียกว่าเร่ร่อน หาพักอยู่ตามบ้านญาติบ้าง บ้านเช่าบ้าง เพื่อให้แม่ได้มีอากาศดีๆ ไว้หายใจ
ไหนจะเรื่องการเดินทางไปโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่รักษา ซึ่งไกลจากที่พักอาศัย กับสภาพผู้ป่วย ที่ทรุดโทรมลงในแต่ละวัน
ขณะที่เจ้าของโรงงาน ยังคงมีความสุข ไปเที่ยวเมืองนอก ไปเต้นลีลาศ นั่งกินเลี้ยง โพสรูปลงเฟสด้วยความภาคภูมิใจ และมีความสุขกับครอบครัว
ในขณะที่ครอบครัวผม แม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคที่เป็นอยู่ โรคที่ตัวเองไม่ได้ก่อ อย่างแสนสาหัส น้องต้องออกจากงานมาดูแลแม่ ผมเองก็ต้องกู้หนี้ยืมสิน หาเงินมารักษาแม่ ต้องหยุดงานแทบจะครึ่งปี ยังดีที่เจ้าของบริษัทแกเข้าใจ ให้ทั้งเงิน และโอกาสกับผมมาก
แต่สุดท้าย แม่ก็ได้จากพวกเราไป เหลือไว้แต่ความทรงจำอันเจ็บปวด
แม่ต้องมาตาย ก่อนวัยอันควร ตายด้วยโรคที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ
สิ่งที่ผมรู้สึกเสียใจ และเจ็บใจ คือ
* คนที่ฆ่าแม่ผม ยังคงมีความสุขกับชีวิต และไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่ตนกระทำ ในเรื่องการปล่อยควันพิษ ปล่อยน้ำเสีย เป็นเรื่องที่ผิด จวบจนทุกวันนี้
* กฏหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่สามารถลงโทษผู้กระทำผิดได้
* ชาวบ้านตาดำๆ ที่มีทั้งผู้สูงอายุ เด็ก และคนป่วย ต้องก้มหน้ารับกรรม สูดดมควัน และกลิ่นที่โรงงานปล่อยออกมาทุกวันกันต่อไป เพราะไม่รู้ว่าจะหนีไปอยู่ที่ไหน
*และจะต้องให้มีคนตายอีกสักกี่คน เรื่องนี้ถึงจะได้รับการเยียวยาแก้ไข ถึงจะมีน้ำหนักพอที่จะดำเนินการทางกฏหมายได้
ผมควรจะวางใจกับเรื่องนี้อย่างไรดีครับ
หรือผมควรจะยกโทษให้ กับคนที่ฆ่าแม่ผม ทำลายครอบครัวผม เพราะคิดว่าอาจเป็นกรรมเก่า ชาตินี้ใช้หนี้เค้าไป ไม่สร้างกรรมใหม่ อย่างนี้หรือเปล่า?
บ้างครั้งรู้สึกเหมือนน้ำตาตกใน อยากร้องไห้ แต่ร้องไม่ออก เจ็บใจคนที่กระทำ เพราะไม่อาจจะลงโทษอะไรเค้าได้ แม้ว่าจะพยายามให้ถูกต้องตามกฏหมายแล้วก็ตาม
ไม่มีแม้แต่คำขอโทษ ไม่มีสำนึก ไม่มีการยอมรับผิดใดๆ ไม่มีการดำเนินการเพื่อความยุติธรรมอย่างแท้จริง
หรือว่าเกิดเป็นคนจน ก็ต้องทนก้มหน้ารับกรรมเพียงอย่างเดียว
ผมทำได้แค่นั้นจริงๆ ใช่หรือเปล่าครับ?