ก็แค่...เรื่องเล่า

เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่ผมไปเที่ยวบ้านเพื่อนซึ่งก็อยู่ในพิษณุโลกนี่ล่ะครับ แต่เป็นต่างอำเภอ ชีวิตความเป็นอยู่แถวนั้นยังไม่วัตถุมากเท่าไหร่ บ้านยังเป็นบ้านสวนที่ใครๆต่างก็จะปลูกนั่นปลูกนี่ไว้แจกจ่าย ไว้แลกกันกิน ไม่ได้เน้นขายเป็นหลัก ผู้คนแถวนั้นยังคงใช้อาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพหลักในหารเลี้ยงชีพ วิถีชีวิตแบบบ้านๆ สบายๆ แบบที่เคยนเป็นมารุ่นสู่รุ่น
  ผมออกจากตัวเมืองเวลาปรระมาณเที่ยง เพราะจะไปแวะกินไก่ถังกัน ไม่ได้กินนาน ไปถึงบ้านเพื่อนก็บ่ายๆแล้วครับ ผมเดินทางไปกับเพื่อนอีกคนนึง เอารถกระบะของมันไป พอไปถึงบ้าน ทางเข้าก็เปลี่ยวหน่อยครับ แต่ละบ้านห่างกันพอสมควร เพราะต่างคนต่างทำสวน แต่ที่เห็นแล้วอุ่นใจคือ ไม่มีบ้านใครมีรั้วเลยครับ ส่วนตัวผมคิดว่ามันแสดงถึงความไว้วางใจ ว่าไม่ทำร้ายไม่ขโมยกันแน่ๆ
  บ้านเพื่อนผมเป็นบ้านแบบคนสมัยก่อนครับ ข้างล่างเป็นใต้ถุนโล่งสูง มีแคร่ มีเปล แล้วก็ตากอะไรไว้เต็ม พวกเนื้อแดดเดียว ปลาเกลือ กระเทียม บรรยากาศแบบบ้านๆมาก มีบันไดสูงยาวขึ้นไปข้างบนตัวบ้าน แต่บ้านมันมีตังค์ครับ เป็นไม้อย่างดีเลย คล้ายๆเรือนไทยเลย ขึ้นไปเป็นประตูบ้านไม้แบบผลักสองบาน ผ่านประตูบ้านไปจะเป็นชานบ้าน โล่งๆ มีโตีธกินข้าวที่นั่งกับพื้น มีทีวี แล้วก็เป็นทางเดินไปตามห้องต่างๆ ใหญ่พอควรนะครับ ไม้ก็ลื่นๆมันๆเลย
  หลังจากมาถึงก็เอาของไปเก็บทักทายญาติๆมันทุกคน พ่อเพื่อนเจ้าของบ้านเสนอว่า ไปที่ท่าน้ำท้ายสวนไหม วิวมันดี ช่วงนั้นใกล้หน้าหนาวแล้ว อากาศดีมากครับ ถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีจริงๆ แทบไม่อยากเชื่อว่า นี่คือจังหวัดเดียวกับที่ผมอาศัยอยู่ เพราะมันต่างกันเหลือเกินกับชีวิตในเมือง ที่มีแต่ความวุ่นวาย กับป่าปูน และดาวนีออนซ์
  ท้ายสวนของมันก็ไกลพอควรครับ พ่อแม่เพื่อนผมก็ขนของสดพวกปลา หมู ไก่ ใส่มาให้ เพราะกะว่าจะไปทำอาหารกินกันริมน้ำเลยไหนๆมาแล้ว นั่งรถอีแต๋นไปครับ ได้บรรยากาศมาก 55 พอไปถึงตรงนั้น ผมยิ้มไม่หุบเลยครับ เพราะเป็นอะไรที่ใฝ่ฝันมาก เป็นแม่น้ำสายเล็กๆ ผ่าน ที่ริมท่ามีศาลาใหญ่ที่บ้านมันมาสร้างไว้ มีบันไดลงไปจนถึงน้ำเลย สามารถเอาเท้าแกว่งเล่นได้สบาย มีเรือให้พาย อย่างกับย้อนไปอยู่ในยุคขวัญเรียมอะไรประมาณนั้น น้ำก็ใสสวยครับ ไม่ได้ใสปิ๊งเลย แต่ก็สะอาดมากแบบธรรมชาติ
    ผมโดนเป็นคนทำกับข้าว เพราะเป็นคนเดียวที่ทำเป็น ก็ทำมันทุกอย่างครับ ปลาเผาไก่ย่าง หมูย่าง ลาบ ยำ ข้าวเหนียวหนึ่งกระติกที่พ่อมันประเคนมาให้ด้วย แล้วก็มีเครื่องดื่มสังสรรค์เล็กน้อย เพราะไม่ได้รวมตัวกันนานแล้ว พวกผมทำอาหารกินกัน คุยกันไปเรื่อยๆ โดดน้ำเล่นกันบ้าง ภายเรือไปเด็ดมะม่วงชาวบ้านมาทำลาบปลา อร่อยเลย 55
   เวลาผ่านไปจนค่ำๆแต่พวกผมก็ยังไม่มีความคิดจะกลับบ้านกันเพราะว่าแถวนั้นก็มีไฟฟ้า ไม่มืดมาก แล้วเพื่อนก็บอกว่ากลางคืนมีหิ่งห้อยเต็มเลย ก็เลยว่าจะรอดูกัน เป็นเวลาที่มีความสุขมากครับ ลืมความเหนื่อยล้า ลืมปัญหาวุ่นวายในเมืองไปหมด เรื่องแย่ๆที่เคยเจอเหมือนเป็นแค่ฝัน ผมคิดว่ามันคงเป็นวันหยุดที่ดีที่สุดอีกครั้งนึงในชีวิตผม แต่มันก็มีเรื่องเกิดขึ้นจนได้ครับ
   เพื่อนผมได้รับสายโทรศัพท์จากพ่อ ว่าให้รีบกลับมาบ้านหน่อย มาเตรียมของกัน เพราะว่าน้าสาวของมันใกล้จะคลอดแล้ว พวกผมก็ตกใจมากรีบเก็บข้าวของกลับบ้านเลย ตอนนั้นในใจผมตื่นเต้นครับ เพราะถามมันแล้ว แถวบ้านมันยังมีความเชื่อว่าคลอดกันเองได้ โดยมีหมอตำแยจัดการให้ ไม่ไป รพ. มันก็เกิดมาแบบนี้ แล้วหมอตำแยก็เก่งมากครับ ดูแค่อาการก็พอจะรู้ว่าจะคลอดแล้ว ผมไม่เคยเห็นไม่เคยรับรู้อะไรแบบนี้ เคยเห็นแต่ในละคร เลยตื่นเต้นครับ แต่ก็กลัวๆเพราะในใจก็ยังเชื่อว่า รพ. ดีที่สุด
   พอไปถึงที่บ้านก็เห็นพ่อแม่ของเพื่อนผมนั่งอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน พร้อมกับชาวบ้านแถวนั้นอีกเกือบ 10 คนตรงกลางมียายแก่ๆ กับคุณตาใส่ชุดขาวยืนอยู่ ตอนนั้นผมคิดว่านี่คงเป็นความอบอุ่นของเพื่อนบ้าน น้ำใจที่มีให้กันมาช่วยกัน แต่พอเข้าไปใกล้จึงสังเกตุเห็นสีหน้าของแต่ละคนว่ากำลังเคร่งเครียดกันเลย ผมก็เลย งงๆ
'พ่อ เป็นไงบ้าง' เพื่อนผมเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วถามพ่อ เพราะคงสงสัยกับสีหน้านั้นเหมือนกัน
'เดี๋ยวค่อยคุย พาเพื่อนเอ็งไปอาบน้ำอาบท่านอนไป' พ่อเพื่อนตอบมาอย่างตั้งใจว่าไม่ให้พวกผมยุ่งแน่ๆ
   เพื่อนก็นำทางผมกับเพื่อนอีกคนขึ้นบ้านไปบอกทางไปห้องน้ำให้ แล้วตัวมันก็ขอลงไปคุยกับพ่อกับญาติข้างล่างก่อน พวกผมอาบน้ำกันจนเสร็จก็ออกมาเจอเพื่อนนั่งรออยู่ที่ชานกลางบ้าน
'พวกมิ-งนอนเลยนะ เดี๋ยวก-รุจะไปช่วยข้างล่างหน่อย รีบนอนๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้มีเรื่องให้ทำด้วย'
    พวกผมก็ งงๆ แต่ตอนนั้นคือเพลียด้วยจากการเดินทางกับเที่ยวเล่นกันซะเพลินเลย ก็เลยยอมไปนอนแต่โดยดีครับ ทั้งคืนที่หลับก็ได้ยินเสียงคนข้างล่างใต้ถุนคุยกันทั้งคืนโวยวายด้วย เพราะเมา ผมคิดว่าคงฉลองกันเพราะจะมีเด็กเกิด แต่ก็มีเสียงที่ไม่เข้าพวกอยู่ครับ คือ เป็นเสียงเหลาไม้ผ่าไม้ ตลอดทั้งคืน
    เช้า เพื่อนผมมาปลุกแต่เช้าเลย พาไปตักบาตรแต่เช้า แล้วพ่อเพื่อนก็นิมนต์พระท่านมาในบ้าน เห็นคุยกันอยู่แปปนึง พระท่านก็เริ่มโยงสายสิญจ์ไปรอบๆบ้าน แล้วทำน้ำมนต์ ใช้กิ่งมะยมพรมไปทั่วๆบ้านเลย ตอนนั้นยังไม่เอะใจครับ เพราะคิดว่าเป้นมงคงรับขวัญเฉยๆ จนสายๆพวกผมอาบน้ำกินข้าวอะไรเสร็จแล้วก็มาถึงคิวสิ่งที่เพื่อนผมบอกไว้เมื่อคืน
'ไป พร้อมยัง' เพื่อนผมถาม
'พร้อมไรวะ ไปไหน' ผมกับเพื่อนอีกคนถามกลับ
'ไปตัดไม้ไผ่'
'เอามาทำไรวะ ' พวกผมก็ถามไปงั้นแต่ก็เต็มใจไปครับ คิดว่าน่าสนุกดี
'เอามากันกระสือสิวะ เด็กจะคลอด'
  เท่านั้นล่ะครับ ผมกับเพื่อนอีกคนนี่อึ้งไปเลย ไม่ได้เตรียมใจมาเจออะไรพวกนี้นะ มาเที่ยว มาพักผ่อน T T แต่ก็ต้องไปครับ ไม่งั้นโดนไล่กลับแน่ๆ บ้านมันถือคติว่า คนไม่ทำงานก็ไม่มีที่อยู่ไม่มีข้าวกินครับ
   ไผ่ที่ตัดมานั้นมีทั้งลำยาวๆ ตรงๆ แล้วก็แบบที่มีกิ่งเล็กกิ่งน้อยอยู่ด้วย บางต้นตัดมาทั้งต้น ไม่มีการริดกิ่งตัดใบ ใดๆทั้งสิ้น มีชาวบ้านมาช่วยหลายคนเลย ทุกคนดูชำนาญมาก เหมือนทำบ่อย = ='  แทนที่จะอุ่นใจ มันหวิวแปลกๆนะครับ 55
    ด้วยความสงสัยก็เลยไปถามเพื่อนว่าทำไปทำไม เป็นความเชื่อหรอ หรือว่ายังไง ผมก็ได้คำตอบมาว่า
   มันไม่ใช่แค่ความเชื่อ แต่แถวบ้านมันมีจริงๆ มีมาตั้งแต่รุ่นต้นตระกูล ไม่เคยหายไปไหน เป็นกระสือ ชอบออกมาหากิน แต่หลังๆไม่ค่อยมาให้เห็นแล้ว มีบางทีก็เป็นไก่ในเล้าชาวบ้านตาย หรืออะไรพวกนี้บ้าง แต่ที่จะมาทุกทีเลยคือ เวลามีเด็กคลอดนี่แหละ
   ขยายความนะครับ ตามความเชื่อของคนไทย กระสือ คือ สิ่งไม่ดี เป็นวิญญาณชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสืบทอดกันมาเป็นสาย เป็นตระกูล หรือเกิดจากการที่มีการผิดครู ลบหลู่วิชา ที่เรียกว่าออกแดง หรือการที่เลี้ยงไว้ไม่ดูแล จนเข้าตัว คล้ายๆกับปอบ กระสือมักจะสิงอยู่กับ ผญ แก่บ้างสาวบ้าง แต่คนที่โดนสิงจะมีอาการแปลกๆ คือไม่สุงสิงกับใคร ไม่พูดจา ตาแข็ง กลางวันเก็บตัว กลางคืนชอบออกมาเดินไปเดินมา ถ้าเป็นหญิงสาวเวลากลางคืนจะสวยมากๆ สวยกว่าตอนกลางวัน ปากจะแดงเกือบตลอด กระสือมักจะออกหากินในเวลากลางคืน บ้างก็ว่าไปหาสัตว์หาอะไรสดๆดิบๆกิน บ้างก็ว่าไปหาสิ่งสกปรกกิน เช่นอุจาระ และอีกหนึ่งที่เล่าต่อกันมาอย่างชัดเจน คือมันจะไปบ้านที่มีเด็กเกิดใหม่ มันจะไปรอกินน้ำคร่ำ กินรกเด็ก ถ้าแม่รึเด็กร่างกายไม่แข็งแรงก็จะกินด้วย
   วันนั้นทั้งวันพวกผมไม่ได้ทำอะไรนอกจากเหลาไม้ไผ่ เป็นไม้ลวกที่สานเป็นตารางสี่เหลี่ยมๆ คล้ายตาข่าย แต่ขอบไม้ไผ่แต่ละอันนั้นจะเหลาไว้คมมาก คมชนิดที่มือเราถ้าจับไม่ดีก็ได้เลือดแน่ๆ ทำสูงยาว ปักตั้งไว้กับตอไม้รอบบ้านทำเป็นรั้ว ส่วนต้นไผ่ที่มีกิ่งเยอะๆ นึกออกไหมครับว่าไผ่มันจะแหลมๆ แข็งๆ คล้ายหนามเลย เอาใบออกหมด เหลือไว้แต่ตัวกิ่งเล็กๆแหลมๆ ต้องตัดมาสูงๆครับ ให้ความสูงเลยหน้าต่างบ้าน ตั้งไว้รอบๆบ้านเลย ชาวบ้านรอบๆก็มาช่วยกันอย่างดี ตามกิ่งไผ่บางอันมีเอาพริก เอากระเทียมแห้งไปห้อยไว้ตามกิ่งด้วย หลังจากเสร็จทุกอย่าง ก็ไปนิมนต์พระมาวนสายสิญจ์ตามไม้ไผ่อีกรอบ จากการสอบถามมาว่าทำไปทำไม ตามความเชื่อนั้น เชื่อว่า ไม้ไผ่แหลมๆคมๆ จะไปเกี่ยวไปบาดไส้พุงกระสือ มันจะไม่กล้าเข้ามายุ่งในบ้านหลังนั้น หลังจากเสร็จทุกอย่างทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านตนเอง ทุกบ้านปิดประตูหน้าต่างสนิทหมด เป็นเวลาหนึ่งคืน
   ทุกคนถูกไล่ขึ้นไปบนบ้าน แม้แต่หมากับแมวก็ต้องขึ้นไปด้วยครับ ตอนนั้นในบ้าน มีผม เพื่อน 2 คน พ่อ แม่ของเพื่อน น้า และสามีของน้า คุณยายหมอตำแยอีกคนนึง ผมตื่นเต้นมาก กลัวก็กลัวครับ คิดว่าจะได้เห็นได้ดูอะไรที่ไม่เคยเห็น แต่ปรากฏว่าผิดคาดครับ พวกผมสามคนโดนไล่เข้าห้องนอน ไม่ให้ออกมาดูเลย โดยหมอตำแยกับน้าสาวที่จะคลอด จะอยู่กลางบ้านเลย ทุกคนคงวุ่นวายกันมาก มีแค่พวกผมที่ทำได้แค่ นอนดูทีวีและเล่นคอมอยู่ในห้องนอน จนเวลาผ่านไปประมาณ 5 ทุ่ม ก็ได้ยินครับ
อุแว้ อุแว้...
    เด็กเกิดแล้ว! พ่อเพื่อนผมก็เข้ามาเรียกให้ไปดูหน้าหลาน พวกผมก็ตามไปด้วย ได้เห็นตอนยายเอาน้ำอุ่นล้างหน้าอาบน้ำให้เด็กพอดี พึ่งเคยเห็นกับตานี่แหละครับ ส่วนคุณน้านั้นก็ยิ้มกอดกับสามี คล้ายว่าไม่มีความรู้สึกเจ็บอะไรเลย แล้วพวกผมก็เข้าห้องมานอน เพราะต้องการให้คุณน้ากับเด็กน้อยได้พักผ่อนในวันที่เหนื่อยและสำคัญที่สุดในชีวิตของทั้งคู่ ก่อนที่พวกผมจะนอน คุณยายหมอตำแยมาเคาะห้องแล้วพูดว่า
'อยู่ในนี้จนถึงเช้านะ ห้าม ออกไปไหนเด็ดขาดใครเคาะใครมาเรียกก็ห้ามเปิด เข้าใจไหมเด็กๆ' พูดยิ้มๆนะครับ แต่ฟังแล้วยิ้มตามยายแกไม่ออกเลย
    พวกผมหลับไปกันตอนไหนไม่รู้ แต่ตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยเสียงของหมาแมวที่เห่าอยู่บนบ้าน ดังมากๆ ทั้งเห่าทั้งคู่ เหมือนจะกัดใคร เห่าแบบเอาเป็นเอาตายมาก เสียงน้องที่เกิดใหม่ ก็ร้องดังมากๆ พวกผมเริ่มขยับเข้ามาชิดกัน มองหน้ากันแบบว่า คืนนี้ใครจะนอนลงวะ!
    พวกผมอยู่ในสภาพนั้นพักนึง แล้วอยู่ดีๆเสียงหมาแมวเห่าก็หยุดไป กลายเป็นเสียงหมาร้อง ด้วยความเจ็บปวดเหมือนโดนใครทำร้าย เอ๋ง เอ๋ง... พวกผมตกใจมาก กอดกันกลมเลยครับ แล้วก็ได้ยินเสียงหมามันมานอนร้อง หงิงๆ อยู่หน้าประตู แต่ไม่มีใครกล้าเปิดครับจังหวะนั้น เสียงหมายังไม่ทันจาง ก็มีเสียง กุกกักๆ มาจากใต้ถุนบ้าน เพราะเสียงมันดังมาจากพื้นบ้าน พวกผมก็ยิ่งกลัวไปเอง อะไรเป็นอะไรไม่รู้แล้วครับตอนนั้น กลัวไว้ก่อน ถ้าเป็นคนเดี๋ยวค่อยด่า ดังอยู่หลายทีเหมือนกันครับ
ปุ้ก... ปุ้ก... ปุ้ก....
   คราวนี้เป็นเสียงเหมือนคนปาอะไรใส่บ้านครับ ด้วยความที่เป็นบ้านไม้เสียงมันจะก้องมากๆ แต่มันแปลกตรงที่ มันไม่ได้ดังที่เดียวมันดังไปทั่วๆบ้าน ไล่ไปวนรอบๆบ้านเลย ไม่ได้ดังพร้อมกันนะครับ ค่อยๆ ย้ายที่ไปเรื่อยๆ สักพักเสียงก็เงียบไป
'เห้ย มันจะหมดยังวะ' เพื่อนผมที่พากันมาเจออะไรแบบนี้จากในเมืองเผลอหลุดปากพูดไป
   ผมกับไอ้เพื่อนเจ้าของบ้านนี่แทบจะบีบคอมัน ไอ้ตัวคนพูดนี่น้ำตาคลอไปละครับด้วยความกลัว
'มีคนอยู่ใช่ไหม เปิดบ้านให้หน่อยสิ มีของมาฝาก' เป็นเสียงยายแก่ๆครับ ดังลอยมากับลมจับทิศทางไม่ได้ ผมนึกว่าผมหูฝาด หูแว่ว คิดไปเอง หลอนไปเอง แต่ผมก็ได้คำตอบทันทีว่าผมไม่ได้คิดไปเอง เพราะไอ้เพื่อนผมอีกสองคนมันทำตาโต แบบตกใจมากๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหล สั่นกันแล้วครับตอนนั้นกลัวจริงๆ
   จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมไปทั่วบ้าน เหลือไว้แค่เสียงเด็กน้อยที่ร้องจนน่าสงสาร กลัวว่าคอเล็กๆนั้นจะแตกออก ร้องเหมือนจะมีใครมาทำร้ายมาฆ่า แต่ก็ไม่มีใครกล้าพอจะออกไปดู อีกอย่างคือที่เด็กนอนนั้นมีผู้ใหญ่ทุกคนเฝ้าอยู่แล้ว แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมามันคือ เสียงหมาน้อยที่นอนอยู๋หน้าห้อง บัดนี้มันหอนแล้ว หอนได้โหยหวนมาก หอนได้อารมณ์จริงๆ แค่นึกผมก็ขนลุกแล้ว แอบระแวงรอบๆห้องด้วย เพราะหลังหอติดทุ่งนา T T หอนอยู่พักหนึ่งยาวๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่