Guildmystic มนตราพันธนาการ II (เมืองมายา มนตราอลเวง 2 ) บทที่ 5

กระทู้สนทนา
ตัวตนของเขาช่างเลือนราง หัวใจไร้ซึ่งแสงแห่งความหวังใด
มีเพียงนางยึดมั่นในดวงใจ ฤๅจะพ่ายพันธนาการแห่งมนตรา

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

    บทที่ 5

              การทำเรื่องให้เรมิเรสได้ออกจากกิลด์มิสทิคกลายเป็นเรื่องง่ายดาย เมื่อผู้ตรวจการณ์แห่งองค์กรเวทมนตร์ออกหน้าดำเนินการ ไม่มีใครคัดค้านด้วยเหตุผลที่มีเพียงพอจะมางัดคานกับเขาได้ แม้จะได้รับคำสั่งจากเงามืดผู้มีอำนาจให้ปฏิบัติการขัดขวางอย่างเคร่งครัดก็ตาม

              “เวลาของเจ้ามีจำกัด อย่ากลับมาช้าล่ะ”

              ผู้เป็นอาจารย์กำชับศิษย์อย่างเคร่งขรึม ก่อนที่พ่อมดผมขาวจะพยักหน้าแล้วก้าวขึ้นห้องรถโดยสารตามสการ์เล็ตไป

              ความรู้สึกบางอย่างบอกให้หญิงสาวรีบพาเรมิเรสออกไปจากองค์กรแห่งเวทมนตร์โดยเร็ว นางจึงไม่คิดหยุดรอแนะนำเขากับผู้ติดตามทั้งห้าให้ได้ทำความรู้จักกัน ไว้หลังจากนี้ก็ยังไม่เสียหาย

              ระหว่างทางผ่านป่า สการ์เล็ตลอบมองใบหน้าที่เบือนสายตาออกไปนอกรถอยู่บ่อยครั้ง อยากเอ่ยถามความติดค้างในใจซึ่งมีอยู่มากมาย แต่เห็นพ่อมดหนุ่มไม่พูดอะไรสักคำ นางก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรเหมือนกัน สุดท้ายความอัดอั้นอึดอัดก็ทำให้เลือกถามในสิ่งที่กังวลมากกว่าอื่นใด

              “เจ้าถูกลงโทษเพราะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้าใช่ไหม”

              นอกจากความคิดถึงห่วงใย มันเป็นเหตุผลใหญ่อีกข้อหนึ่งซึ่งทำให้นางตัดสินใจดั้นด้นมาที่นี่

              เรมิเรสซึ่งนั่งอยู่บนเบาะฝั่งตรงข้ามเบือนหน้าจากนอกหน้าต่างมาสบตา

              “ผลจากการกระทำของข้าล้วนเกิดจากความตั้งใจของตนเองเท่านั้นครับ”

              แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเสียทีเดียว แปลว่าเกี่ยวสินะ

              เงียบกันไปอีกครู่หนึ่ง สการ์เล็ตจึงชวนคุยเกี่ยวกับรายละเอียดของงานที่ต้องการให้จอมเวทอย่างเขาทำ นางลอบพิจารณาใบหน้าพ่อมดหนุ่มบ่อยครั้ง มันยังคงระบายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเสมอมา

              รอยยิ้มบนใบหน้าที่เหมือนเกราะกำบังจิตใจ... ซึ่งเขามีมันตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว

          

              วัยเด็กของเรมิเรสไม่สวยงาม เขาอดอยาก ยากแค้น ไม่มีแม้แต่ครอบครัวที่จะปกป้องให้ความรักหรือบ้านอันอบอุ่น ทั้งอย่างนั้นก็ยังคงยิ้มอยู่เสมอมา ตัวนางในวัยเยาว์เข้าใจเพียงว่าเขาเป็นเด็กดีที่อ่อนโยน ยังไม่อาจมองเห็นอะไรได้ลึกซึ้งกว่านั้น

              วันเวลาผันผ่านไป เด็กชายกลายเป็นบุรุษที่เติบใหญ่ เขากลายเป็นจอมเวทแห่งกิลด์มิสทิค มีบ้านอบอุ่นให้อาศัยและอาจารย์ที่ดี เขาน่าจะมีความสุขและอนาคตรุ่งโรจน์ต่อไปนับจากนี้

              แล้วทำไมรอยยิ้มนั่นยังคงปรากฏอยู่ในแววตาหลังกรอบแว่นของเขา

              หญิงสาวปรารถนามาตลอดว่าอยากให้เรมิเรสได้มีชีวิตที่เป็นสุขตั้งแต่สมัยยังวัยเยาว์ จึงได้อดทนไม่ขอให้พ่อมดหนุ่มกลับมาอยู่เคียงข้างกาย ในสถานที่ซึ่งมีความทรงจำเลวร้ายของเขาวนเวียนอยู่ นางเฝ้ารอให้เขากลับมาด้วยเจตนาของตนเอง

              ทั้งที่ใจจริงไม่ได้อยากรอต่อไปแม้แค่วันเดียว

              สการ์เล็ตมุ่นหัวคิ้วแล้วเบือนสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ผ่อนลมหายใจเบาอย่างไม่ต้องการจะให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามรู้สึกตัว แต่ก็ดูจะไม่ได้ผล เมื่อดวงตาสีประหลาดหลังกรอบแว่นเลื่อนมาที่นางอย่างสังเกต

              “เลยเที่ยงแล้ว เราจะพักทานอาหารในเมืองก่อนแล้วค่อยออกเดินทางทันที” หญิงสาวยิ้มเปลี่ยนเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติก่อนจะพยักพเยิดออกไปนอกหน้าต่าง “จะได้แนะนำเจ้ากับพวกเขาด้วย”

              ผู้ติดตามเจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียในการเดินทางครั้งนี้ ประกอบด้วยทหารชายสามคนและหญิงสองคน สการ์เล็ตเริ่มแนะนำโดยผายมือไปยังทหารคนแรกซึ่งยืนหัวแถวเรียงหน้ากระดาน นางเป็นหญิงหุ่นเพรียวสูงชะลูด ผมตัดสั้นชื่อ เอวา คนถัดมาอวบอั๋นกว่าและไว้ผมหางม้าถูกเรียกว่า เพิล

              ทหารชายหน้าตาหล่อเหลาคมคายไว้ผมยาวระต้นคอแนะนำตัวเองว่า เจเรเมียฮ์ และเผื่อแผ่การแนะนำไปยังเพื่อนของเขาซึ่งมีร่างใหญ่บึกบึนกับผมสั้นเกรียนว่าชื่อ เจคอบ

              สการ์เล็ตผายมือค้างเมื่อถึงคนสุดท้ายปลายแถว นางอ้ำอึ้งมองหน้าเขาอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ยถาม

              “ขอโทษที เจ้าชื่อลาฟ...อะไรนะ”

              นายทหารชื่อลาฟ...อะไรสักอย่างนั่นทำหน้าห่อเหี่ยวทันที ขณะที่เพื่อนทหารทั้งสี่ลอบยิ้มเยาะหยัน แม้จะเคยคิดว่าช่วยไม่ได้เพราะเขาเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ไม่กี่วัน แต่นี่มันก็น่าจะนานพอให้จำชื่อกันได้แล้วนี่นา

              เรมิเรสพิจารณาใบหน้าหล่อเหลาใสกระจ่างกับเรือนผมแสกกลางสีทองซีดราวกับฟางตากแห้งค้างปีของนายทหารลาฟ...อะไรนี่ แล้วก็นึกตงิดใจ เกิดอาการอยากหยอกเย้าใครสักคนขึ้นมา ท่าทางการเดินคราวนี้คงไม่น่าเบื่อเท่าไรนัก

              หลังจากรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายในเมืองมักชา ก็ใช้เวลาครึ่งเดือนกว่าจะถึงจุดหมาย หมู่บ้านชนบทห่างไกลซึ่งยังคงหลงยึดมั่นในขนบธรรมเนียมความเชื่อเก่าก่อนหลายอย่างมากกว่าเหตุผลของความเป็นจริง

              กุศโลบายของเจ้าชายรัชทายาทซึ่งต้องการให้พ่อมดแห่งกิลด์มิสทิคกระทำคือพิธีกรรมปัดเป่าอาถรรพ์ร้าย อำนวยพรแก่ชีวิตและการงานของเหล่าชาวเมืองตามที่พวกเขาต้องการ สอดแทรกการชี้นำให้ประสานกับการทำงานของข้าราชการประจำท้องถิ่นและผู้มีความรู้ ค่อย ๆ สะสางปัญหาและสร้างความเข้าใจแก่การดำเนินชีวิตที่ถูกควร ลดความเชื่อเก่าก่อนที่หาหลักอ้างอิงจากความเป็นจริงไม่ได้ลงทีละน้อย เพื่อจะไม่สร้างความขัดแย้งข้องใจแก่คนทั้งปวง

              ความเชื่อเก่าแก่บางเรื่องควรค่าแก่การจดจำเพื่อดำรงไว้ซึ่งความงดงามของวัฒนธรรมและขวัญกำลังใจ

              ขณะเดียวกันความเชื่อที่สร้างได้แต่ความงมงาย ความกังวลและความหวาดกลัวโดยหาสาเหตุเป็นรูปธรรมไม่ได้ ก็ไม่สมควรจะเก็บมันไว้ให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิต

              อลัน เรสเทล เจ้าชายรัชทายาทแห่งเรสทอเรียได้กล่าวไว้

          

              สมแล้วที่มีสายเลือดเดียวกับสการ์เล็ต บุรุษผู้นี้ไม่เคยรังเกียจดวงตาสีประหลาดของเขาซึ่งถูกผู้คนประณามหยามเหยียดถึงความอัปมงคลของมันเสมอมา

              นั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ข้อที่เรมิเรสเห็นว่าเป็นความดีซึ่งมีอยู่ในตัวเจ้าชายแห่งเรสทอเรีย ในสมัยที่เขายังชมชอบการกลั่นแกล้งเด็กชายซึ่งอ่อนวัยกว่าน่ะนะ

              

              สการ์เล็ตพาเรมิเรสตระเวนสู่เมืองหรือหมู่บ้านต่าง ๆ ตามแผนผังที่เจ้าชายรัชทายาทบัญชา วันเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนกว่าก็เหลือเมืองที่ต้องไปเพียงไม่กี่แห่ง เมื่อชาวเมืองในแต่ละสถานที่ได้ข่าวว่าพ่อมดแห่งกิลด์มิสทิคจะมา ก็จัดเทศการงานรื่นเริงต้อนรับเสียยกใหญ่ ต่อให้พื้นที่แถบนั้นจะแร้นแค้นเพียงใดก็ตาม

              นามแห่งกิลด์มิสทิคยังคงได้รับความศรัทธาและชื่นชมเสมอ

              เนื่องจากงานที่ได้รับมอบหมายคราวนี้ไม่ใช่สิ่งที่เร่งด่วนอะไร เจ้าชายรัชทายาทต้องการหาเรื่องให้น้องสาวของตนออกมาผ่อนคลายเปลี่ยนบรรยากาศจากเมืองหลวงกับคนรักลับ ๆ ของนางตั้งแต่แรกแล้ว สการ์เล็ตจึงยอมรับโอกาสนี้เพื่อสร้างความทรงจำที่ดี มีความสุขกับเรมิเรสบ้าง ชดเชยวันเวลาที่ต้องไกลห่างกันมาเป็นปี

              ไม่มีใครสักคนในผู้ติดตามทั้งห้าของสการ์เล็ตที่จะนึกสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหญิงกับพ่อมด เนื่องจากเรมิเรสวางตัวเป็นเพียงผู้ร่วมงานคนหนึ่ง เพิลกับเอวาชมชอบเขาเพราะปากหวานและมีรอยยิ้มอ่อนโยนอบอุ่นประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา ส่วนเจเรเมียฮ์กับเจคอปก็ชื่นชมเขาซึ่งเป็นพ่อมดแห่งกิลด์มิสทิคที่ถ่อมตัวและช่างเยินยออย่างพอเหมาะสม ยกเว้นแต่นายทหารคนสุดท้ายซึ่งเป็นผู้บังคับรถโดยสารที่ชื่อลาฟ... อะไรสักอย่างนั่น เขาออกจะดูหวาดเกรงเรมิเรสอยู่ในที พยายามถอยห่างไม่เข้าใกล้ผู้ใช้อาคมสักเท่าไร และทั้งที่ชื่อของนายทหารนั่นก็ไม่น่าจะจำยาก แต่ทำไมถึงนึกไม่ออกสักที

              เจ้าหญิงมองนายทหารหนุ่มผู้น่าสงสารก่อนจะปรายตาไปยังพ่อมด

              “เจ้าไปแกล้งอะไรเขาหรือเปล่า เรมี่”

              “เปล่านี่ครับ” เรมิเรสยิ้มตอบหน้าซื่อ แต่มีหรือนางจะไม่รู้

              “อย่าให้มันมากเกินไปนักล่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าอย่างระอา แต่ก็ปรามอย่างไม่จริงจังเท่าไร เพราะรู้ว่าเรมิเรสไม่ได้มีเจตนาร้าย แค่เหมือนเขาจะมีนิสัยเสียบางประการ ชอบหยอกเย้ากลั่นแกล้งคนที่ตนถูกใจเพิ่มขึ้นมาจากแต่ก่อนเท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่