<<< ตอนก่อนหน้า :
http://ppantip.com/topic/32987942
บทที่ 8 (1/2)
ศศิธรหยุดรถเมื่อเหลือบไปเห็นสัญญาณไฟจราจรสีเหลืองซึ่งกำลังจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนจะหันมามองหน้าชายหนุ่มข้างกาย และเอ่ยยอมรับออกมาในที่สุดว่าเขาเป็นต้นเหตุของเสียงหัวเราะและใบหน้ายิ้มกว้างขวางของเธอตลอดทั้งเช้านี้ “ก็ทั้งหมด...ที่เป็นตัวท่าน”
ก็จะไม่ให้เธอขำเขาได้อย่างไร เพราะตั้งแต่ออกมาจากบ้านเขาก็ทำอะไรเปิ่นๆ ให้เธอได้ยิ้มแทบจะตลอดเวลาในความไม่เคยคุ้นกับสถานที่และสิ่งของต่างๆ รอบตัวของเขา
ล่าสุด...ก็ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าเก่าที่เธอจะต้องแวะกินแทบจะทุกครั้งที่เดินทางเข้ากรุงเทพ และครั้งนี้เธอก็ไม่ลืมที่ชวนชายหนุ่มผู้เดินทางข้ามเวลามาจากยุคไหนก็ไม่รู้ กินก๋วยเตี๋ยวเรือตอนสิบเอ็ดโมงเป็นอาหารมื้อสายควบเที่ยงด้วยกัน
เพราะเมื่อเช้า เธอกับเขากินแค่กาแฟกับขนมปังจิ้มสังขยารองท้องมาเท่านั้น ซึ่งจะรอให้เที่ยงแล้วค่อยหาข้าวกินก็เกรงว่าชายหนุ่มที่นั่งมาด้วยกันจะหิวจนทนไม่ไหว
แต่เธอคงจะลืมนึกไปว่าเขาไม่ใช่คนยุคเดียวกับเธอ
เมื่อก๋วยเตี๋ยวของเธอและเขาที่เธอเป็นคนสั่งให้ ถูกนำมาเสิร์ฟ เธอก็ตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่กำลังนั่งมองชามก๋วยเตี๋ยวของเขาสลับกับหน้าเธอนิ่งๆ โดยไม่ปริปากพูดเลยสักนิด
และด้วยสายตาคมที่จ้องมองจนเธอรู้สึกตัวนั่นเอง เธอถึงได้เงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยวของเธอ แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันพร้อมกับส่งสายตามีคำถามไปให้เขาว่า ‘ทำไมเขาไม่กิน แล้วเอาแต่จ้องหน้าเธอทำไม’
ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจในคำถามจากแววตาของเธอ เขาถึงได้ถามออกมาด้วยใบหน้าเครียดจัดว่า...‘แล้วมันกินอย่างไร’
ศศิธรจึงรับรู้ได้ทันทีว่าเขาใช้ตะเกียบไม่เป็น หญิงสาวจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามของตัวเองช้าๆ เพื่อเป็นการสอนเขาใช้ตะเกียบเป็นครั้งแรก
ชายหนุ่มลองทำตามอย่างที่หญิงสาวสอนช้าๆ แต่ให้ทำอย่างไร พยายามมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถคีบไอ้เส้นเล็กๆ ที่เรียกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากเขาได้สักที...ครั้งแล้วครั้งเล่า
และหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอาแต่นั่งหัวเราะทุกครั้งที่เห็นเส้นก๋วยเตี๋ยวลื่นหลุดจากตะเกียบในมือของเขาลงชามกระเด็นเลอะไปทั่วโต๊ะ
จนเมื่อเธอได้ยินเสียงกระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างแรง พร้อมกับการกอดอกแน่น ของผู้ชายที่มีใบหน้านิ่งสนิทเพราะหมดความอดทนนั่นแหละ ศศิธรถึงได้กลั้นขำ แล้วลงมือใช้ช้อนตัดเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามของเขาเป็นเส้นสั้น เพื่อที่เขาจะได้ใช้ช้อนตักขึ้นมากินได้สะดวก
“ฮึ” อินทุสะบัดหน้ากลับไปมองข้างทางตามเดิมพร้อมทั้งขับเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียวอย่างไม่สบอารมณ์ ที่หญิงสาวหัวเราะเขาจนตัวโยนแบบนี้ แล้วเมื่อกี้ยังจะเถียงว่าไม่ได้ดูถูกเขาอีก
ผู้หญิงคนนี้ เธอช่าง...
“ข้าขอโทษ ต่อไปข้าจะไม่ขำ ไม่ล้อเลียนท่านอีกแล้ว” ศศิธรเอ่ยขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะหันไปสนใจท้องถนนเบื้องหน้าต่อ เมื่อสัญญาณไฟจราจรตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว
อินทุไม่อยากจะถือสาหญิงสาวที่หัวเราะขำเขาตลอดเวลาคนนี้นัก เพราะถึงแม้ว่าเธอจะทำให้เขาไม่สบอารมณ์กับเสียงหัวเราะของเธอ
แต่เธอก็ยังมีน้ำใจช่วยเหลือเขาจนสามารถกินไอ้เส้นก๋วยเตี๋ยวยาวๆ นั่นได้ แถมยังช่วยเช็ดคราบที่กระเด็นเลอะเทอะตามแขนและหน้าของเขาออกให้อย่างเบามืออีกด้วย เขาจึงเสเปลี่ยนเรื่อง เมื่อรู้สึกว่าพาหนะที่เขานั่งมา กำลังจะเลี้ยวเข้าไปจอดสนิทข้างหน้าตึกรูปทรงแปลกๆ ตึกหนึ่ง
“ไหนเจ้าบอกว่า วันนี้จะพาข้ามาหาหญ้าอาบจันทร์ แล้วทำไมเจ้าถึงพาข้ามาที่นี่”
“ก็พามาหาที่นี่ไง”
“ที่นี่!” อินทุเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ พร้อมกลับกลอกตามองไปทั่วบริเวณลานจอดรถ “ไม่เห็นมีภูเขาสักลูก แล้วเราจะไปขุดหญ้าที่ตรงไหน”
“ขุดหญ้า! ฮ่าๆๆๆ” ศศิธรหลุดขำออกมาอย่างหนักอีกครั้ง เมื่อได้ยินประโยคก่อนหน้าของชายหนุ่ม “โอ๊ยยย...ไม่ไหวแล้ว ฮ่าๆๆๆ”
ชายหนุ่มขยับปากจะต่อว่าหญิงสาวที่กำลังขำเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย จมูก แก้มแดงไปหมด แถมน้ำหูน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างหนักนั่น แต่ก็ถูกหญิงสาวขัดออกมาก่อนด้วยประโยคยาวๆ ที่ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะเธอกำลังกลั้นขำอย่างหนัก
“ท่านจะบ้ารึ...ข้าบอกว่าจะพาท่านมาหาข้อมูลหญ้าอาบจันทร์ ไม่ใช่มาขุดหญ้าอาบจันทร์ ข้ายังไม่รู้เลยว่าหญ้าอาบจันทร์อะไรนี่เป็นอย่างไร พบได้แถวไหน” ศศิธรไม่สามารถหยุดขำได้ง่ายๆ เมื่อเผลอคิดภาพอินทุกำลังแบกจอบ เสียม มาช่วยเธอขุดหญ้าอาบจันทร์ ที่หอสมุดแห่งนี้
“แล้วที่นี่มันจะมีได้อย่างไร” ชายหนุ่มอดจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่ได้
“ที่นี่เขาเรียกว่าหอสมุด เป็นแหล่งรวบรวมหนังสือตำราเรียนมากมาย เพื่อให้เราได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ค้นหาข้อมูลต่าง ซึ่งหนังสือที่เจ้าเห็นที่บ้านข้า ส่วนใหญ่ข้าก็ขอยืมมาจากที่นี่แหละ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ แล้วก็เปิดประตูก้าวลงจากรถเดินตามหญิงสาวที่วันนี้ดูจะมีใบหน้าร่าเริง ยิ้ม หัวเราะมากผิดปกติ เข้าไปยังแหล่งที่รวบรวมข้อมูลต่างๆ มากมายจากทั่วโลก เพื่อไปช่วยกันค้นหาข้อมูลบางอย่าง ที่กำลังรอให้เขากับเธอได้ค้นพบ
//////////////////////////////////////////////
ภายในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งเต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือมากมาย ที่ตั้งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ บวกกับความสงบเงียบอย่างมีมนต์ขลังของแหล่งศึกษาหาความรู้แห่งนี้ ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ชายหนุ่มที่ข้ามเวลามาจากเมืองกลาพิมพ์ยิ่งนัก
“หนังสือ เยอะมากจริงๆ” อินทุอดที่จะเอ่ยออกมาอย่างทึ่งจัดไม่ได้กับการพยายามรวบรวมความรู้ต่างๆ ไว้ในหนังสือของคนในยุคนี้
หญิงสาวที่กำลังลากบันไดเตี้ยๆ สำหรับปีนขึ้นไปหยิบหนังสือในชั้นที่มือเอื้อมไม่ถึง พยักหน้ารับเห็นด้วยกับความคิดของชายหนุ่ม “อือ”
“ข้าจะกลับไปบันทึกสิ่งต่างๆ ไว้เยอะๆ เพื่อที่ลูกหลานของกลาพิมพ์จะได้มีหนังสือไว้ค้นคว้าแบบนี้บ้าง” อินทุเอ่ยขึ้นขึ้นหลังจากที่หญิงสาว คนที่ชวนเขามาหาหญ้าอาบจันทร์เพื่อรักษาอาการป่วยของแม่เธอนั้น พาเขาเดินดูหนังสือตามชั้นต่างๆ มากมาย ก่อนจะพากันมาหยุดอยู่ที่ชั้นหนังสือชั้นหนึ่ง
เมื่อศศิธรหันไปให้ความสนใจกับชั้นหนังสือตรงหน้ามากกว่าจะพูดคุยกับเขา อินทุก็เลยเดินสำรวจหนังสือตามชั้นต่างๆ ด้วยตัวเอง แล้วจึงเดินวกกลับมาหาหญิงสาวที่กำลังต่อตัวขึ้นไปหยิบหนังสือสักเล่มบนชั้นสูงสุด แต่อาการเอื้อมจนสุดแขนแบบนั้น คาดว่าอีกไม่นานเธอคงตกลงมาจากบันไดพร้อมกับหนังสือเล่มใหญ่เป็นแน่
อินทุเห็นเช่นนั้น ก็รีบสาวเดินเข้าไปยืนซ้อนหลังหญิงสาว พร้อมกับก้มลงกระซิบถามอยู่เหนือศรีษะของเธอด้วยน้ำเสียงกึ่งดุกึ่งเอ็นดู “เจ้าจะหยิบเล่มไหน”
ศศิธรสะดุ้งตกใจเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงระยะห่างระหว่างเขากับเธอ จนตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะขยับหันไปไหน เพราะกลัวจะเกิดความใกล้ชิดแบบไม่ตั้งใจขึ้นมาอีก ลำพังแค่นี้เธอก็รับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของชายหนุ่มที่เป่ารดอยู่บริเวณศรีษะของเธอจนขนลุกซู่
“หือ” อินทุส่งเสียงถามออกมาเบาๆ เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากหญิงสาว ซึ่งเหมือนเธอจะนิ่งแข็งไปชั่วขณะ แถมยังไม่ยอมตอบคำถามของเขาอีกด้วย
เมื่อคนอยากช่วย ไม่มีทีท่าจะขยับถอยหนีไปไหน แถมยังโน้มเอียงใบหน้าเข้ามาใกล้กับหญิงสาวมากยิ่งขึ้นไปอีก เธอจึงค่อยๆ เอ่ยออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นปนประหม่า “เล่มปกดำๆ นั่น” พร้อมกับเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อจะจิ้มไปที่สันหนังสือเล่มที่เธอต้องการ ซึ่งมันอยู่สูงเกินกว่าเธอจะหยิบถึง
และการกระทำของศศิธรก็ทำให้ผมหอมๆ ของเธอสัมผัสกับปลายจมูกของอินทุเข้าเต็มๆ อินทุจึงไม่รีรอที่จะสูดเอาความหอมเหมือนดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิเข้าเต็มปอด ก่อนจะเอียงหน้าไปกระซิบข้างหูหญิงสาวเบาๆ พร้อมกับแตะฝ่ามือลงบนมือบางเบาๆ ด้วยอารมณ์หลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับความหอมหวานตรงหน้า “ข้าช่วย”
“เอ่อ...ขอบคุณ” หญิงสาวสะดุ้งเมื่อฝ่ามือร้อนๆ สัมผัสโดนหลังมือของเธอ จนต้องรีบชักมือหนี ตามมาด้วยอาการขนลุกซู่อีกระลอกและหน้าก็เห่อแดงทันทีที่ลมร้อนๆ จากริมฝีปากของเขาสัมผัสโดนหูและลำคอของเธอ
“มีเล่มไหนอีกไหม” อินทุเอ่ยถามขึ้นยิ้มๆ หลังจากหยิบหนังสือเล่มใหญ่ปกดำมาถือไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว และสังเกตเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าแข็งเป็นหินไปเสียแล้ว
ศศิธรพยายามรวบรวมสติที่กระจัดกระจายกระเด็นกระดอนออกไปเมื่อสักครู่ให้กับมาอีกครั้ง ด้วยการก้มหน้าอ่านกระดาษเล็กๆ ในมือ ที่เธอจดรหัสหนังสือเล่มที่ต้องการเอาไว้ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นไปชี้หนังสือเล่มที่เธอต้องการอีกเล่มด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับไม่ให้สั่นเต็มที่ “ละ...เล่ม...เล่มนั้น”
===================
มีต่อนะคะ (2/2)
ลิขิตแห่งจันทร์ [บทที่ 8]
(โรมานแมนติค-แฟนตาซี)
พลอยลภัสร์ : เขียน
Fanpage : www.facebook.com/ploylapas
<<< ตอนก่อนหน้า : http://ppantip.com/topic/32987942
บทที่ 8 (1/2)
ศศิธรหยุดรถเมื่อเหลือบไปเห็นสัญญาณไฟจราจรสีเหลืองซึ่งกำลังจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนจะหันมามองหน้าชายหนุ่มข้างกาย และเอ่ยยอมรับออกมาในที่สุดว่าเขาเป็นต้นเหตุของเสียงหัวเราะและใบหน้ายิ้มกว้างขวางของเธอตลอดทั้งเช้านี้ “ก็ทั้งหมด...ที่เป็นตัวท่าน”
ก็จะไม่ให้เธอขำเขาได้อย่างไร เพราะตั้งแต่ออกมาจากบ้านเขาก็ทำอะไรเปิ่นๆ ให้เธอได้ยิ้มแทบจะตลอดเวลาในความไม่เคยคุ้นกับสถานที่และสิ่งของต่างๆ รอบตัวของเขา
ล่าสุด...ก็ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าเก่าที่เธอจะต้องแวะกินแทบจะทุกครั้งที่เดินทางเข้ากรุงเทพ และครั้งนี้เธอก็ไม่ลืมที่ชวนชายหนุ่มผู้เดินทางข้ามเวลามาจากยุคไหนก็ไม่รู้ กินก๋วยเตี๋ยวเรือตอนสิบเอ็ดโมงเป็นอาหารมื้อสายควบเที่ยงด้วยกัน
เพราะเมื่อเช้า เธอกับเขากินแค่กาแฟกับขนมปังจิ้มสังขยารองท้องมาเท่านั้น ซึ่งจะรอให้เที่ยงแล้วค่อยหาข้าวกินก็เกรงว่าชายหนุ่มที่นั่งมาด้วยกันจะหิวจนทนไม่ไหว
แต่เธอคงจะลืมนึกไปว่าเขาไม่ใช่คนยุคเดียวกับเธอ
เมื่อก๋วยเตี๋ยวของเธอและเขาที่เธอเป็นคนสั่งให้ ถูกนำมาเสิร์ฟ เธอก็ตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่กำลังนั่งมองชามก๋วยเตี๋ยวของเขาสลับกับหน้าเธอนิ่งๆ โดยไม่ปริปากพูดเลยสักนิด
และด้วยสายตาคมที่จ้องมองจนเธอรู้สึกตัวนั่นเอง เธอถึงได้เงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยวของเธอ แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันพร้อมกับส่งสายตามีคำถามไปให้เขาว่า ‘ทำไมเขาไม่กิน แล้วเอาแต่จ้องหน้าเธอทำไม’
ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจในคำถามจากแววตาของเธอ เขาถึงได้ถามออกมาด้วยใบหน้าเครียดจัดว่า...‘แล้วมันกินอย่างไร’
ศศิธรจึงรับรู้ได้ทันทีว่าเขาใช้ตะเกียบไม่เป็น หญิงสาวจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามของตัวเองช้าๆ เพื่อเป็นการสอนเขาใช้ตะเกียบเป็นครั้งแรก
ชายหนุ่มลองทำตามอย่างที่หญิงสาวสอนช้าๆ แต่ให้ทำอย่างไร พยายามมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถคีบไอ้เส้นเล็กๆ ที่เรียกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากเขาได้สักที...ครั้งแล้วครั้งเล่า
และหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอาแต่นั่งหัวเราะทุกครั้งที่เห็นเส้นก๋วยเตี๋ยวลื่นหลุดจากตะเกียบในมือของเขาลงชามกระเด็นเลอะไปทั่วโต๊ะ
จนเมื่อเธอได้ยินเสียงกระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างแรง พร้อมกับการกอดอกแน่น ของผู้ชายที่มีใบหน้านิ่งสนิทเพราะหมดความอดทนนั่นแหละ ศศิธรถึงได้กลั้นขำ แล้วลงมือใช้ช้อนตัดเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามของเขาเป็นเส้นสั้น เพื่อที่เขาจะได้ใช้ช้อนตักขึ้นมากินได้สะดวก
“ฮึ” อินทุสะบัดหน้ากลับไปมองข้างทางตามเดิมพร้อมทั้งขับเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียวอย่างไม่สบอารมณ์ ที่หญิงสาวหัวเราะเขาจนตัวโยนแบบนี้ แล้วเมื่อกี้ยังจะเถียงว่าไม่ได้ดูถูกเขาอีก
ผู้หญิงคนนี้ เธอช่าง...
“ข้าขอโทษ ต่อไปข้าจะไม่ขำ ไม่ล้อเลียนท่านอีกแล้ว” ศศิธรเอ่ยขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะหันไปสนใจท้องถนนเบื้องหน้าต่อ เมื่อสัญญาณไฟจราจรตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว
อินทุไม่อยากจะถือสาหญิงสาวที่หัวเราะขำเขาตลอดเวลาคนนี้นัก เพราะถึงแม้ว่าเธอจะทำให้เขาไม่สบอารมณ์กับเสียงหัวเราะของเธอ
แต่เธอก็ยังมีน้ำใจช่วยเหลือเขาจนสามารถกินไอ้เส้นก๋วยเตี๋ยวยาวๆ นั่นได้ แถมยังช่วยเช็ดคราบที่กระเด็นเลอะเทอะตามแขนและหน้าของเขาออกให้อย่างเบามืออีกด้วย เขาจึงเสเปลี่ยนเรื่อง เมื่อรู้สึกว่าพาหนะที่เขานั่งมา กำลังจะเลี้ยวเข้าไปจอดสนิทข้างหน้าตึกรูปทรงแปลกๆ ตึกหนึ่ง
“ไหนเจ้าบอกว่า วันนี้จะพาข้ามาหาหญ้าอาบจันทร์ แล้วทำไมเจ้าถึงพาข้ามาที่นี่”
“ก็พามาหาที่นี่ไง”
“ที่นี่!” อินทุเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ พร้อมกลับกลอกตามองไปทั่วบริเวณลานจอดรถ “ไม่เห็นมีภูเขาสักลูก แล้วเราจะไปขุดหญ้าที่ตรงไหน”
“ขุดหญ้า! ฮ่าๆๆๆ” ศศิธรหลุดขำออกมาอย่างหนักอีกครั้ง เมื่อได้ยินประโยคก่อนหน้าของชายหนุ่ม “โอ๊ยยย...ไม่ไหวแล้ว ฮ่าๆๆๆ”
ชายหนุ่มขยับปากจะต่อว่าหญิงสาวที่กำลังขำเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย จมูก แก้มแดงไปหมด แถมน้ำหูน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างหนักนั่น แต่ก็ถูกหญิงสาวขัดออกมาก่อนด้วยประโยคยาวๆ ที่ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะเธอกำลังกลั้นขำอย่างหนัก
“ท่านจะบ้ารึ...ข้าบอกว่าจะพาท่านมาหาข้อมูลหญ้าอาบจันทร์ ไม่ใช่มาขุดหญ้าอาบจันทร์ ข้ายังไม่รู้เลยว่าหญ้าอาบจันทร์อะไรนี่เป็นอย่างไร พบได้แถวไหน” ศศิธรไม่สามารถหยุดขำได้ง่ายๆ เมื่อเผลอคิดภาพอินทุกำลังแบกจอบ เสียม มาช่วยเธอขุดหญ้าอาบจันทร์ ที่หอสมุดแห่งนี้
“แล้วที่นี่มันจะมีได้อย่างไร” ชายหนุ่มอดจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่ได้
“ที่นี่เขาเรียกว่าหอสมุด เป็นแหล่งรวบรวมหนังสือตำราเรียนมากมาย เพื่อให้เราได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ค้นหาข้อมูลต่าง ซึ่งหนังสือที่เจ้าเห็นที่บ้านข้า ส่วนใหญ่ข้าก็ขอยืมมาจากที่นี่แหละ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ แล้วก็เปิดประตูก้าวลงจากรถเดินตามหญิงสาวที่วันนี้ดูจะมีใบหน้าร่าเริง ยิ้ม หัวเราะมากผิดปกติ เข้าไปยังแหล่งที่รวบรวมข้อมูลต่างๆ มากมายจากทั่วโลก เพื่อไปช่วยกันค้นหาข้อมูลบางอย่าง ที่กำลังรอให้เขากับเธอได้ค้นพบ
//////////////////////////////////////////////
ภายในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งเต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือมากมาย ที่ตั้งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ บวกกับความสงบเงียบอย่างมีมนต์ขลังของแหล่งศึกษาหาความรู้แห่งนี้ ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ชายหนุ่มที่ข้ามเวลามาจากเมืองกลาพิมพ์ยิ่งนัก
“หนังสือ เยอะมากจริงๆ” อินทุอดที่จะเอ่ยออกมาอย่างทึ่งจัดไม่ได้กับการพยายามรวบรวมความรู้ต่างๆ ไว้ในหนังสือของคนในยุคนี้
หญิงสาวที่กำลังลากบันไดเตี้ยๆ สำหรับปีนขึ้นไปหยิบหนังสือในชั้นที่มือเอื้อมไม่ถึง พยักหน้ารับเห็นด้วยกับความคิดของชายหนุ่ม “อือ”
“ข้าจะกลับไปบันทึกสิ่งต่างๆ ไว้เยอะๆ เพื่อที่ลูกหลานของกลาพิมพ์จะได้มีหนังสือไว้ค้นคว้าแบบนี้บ้าง” อินทุเอ่ยขึ้นขึ้นหลังจากที่หญิงสาว คนที่ชวนเขามาหาหญ้าอาบจันทร์เพื่อรักษาอาการป่วยของแม่เธอนั้น พาเขาเดินดูหนังสือตามชั้นต่างๆ มากมาย ก่อนจะพากันมาหยุดอยู่ที่ชั้นหนังสือชั้นหนึ่ง
เมื่อศศิธรหันไปให้ความสนใจกับชั้นหนังสือตรงหน้ามากกว่าจะพูดคุยกับเขา อินทุก็เลยเดินสำรวจหนังสือตามชั้นต่างๆ ด้วยตัวเอง แล้วจึงเดินวกกลับมาหาหญิงสาวที่กำลังต่อตัวขึ้นไปหยิบหนังสือสักเล่มบนชั้นสูงสุด แต่อาการเอื้อมจนสุดแขนแบบนั้น คาดว่าอีกไม่นานเธอคงตกลงมาจากบันไดพร้อมกับหนังสือเล่มใหญ่เป็นแน่
อินทุเห็นเช่นนั้น ก็รีบสาวเดินเข้าไปยืนซ้อนหลังหญิงสาว พร้อมกับก้มลงกระซิบถามอยู่เหนือศรีษะของเธอด้วยน้ำเสียงกึ่งดุกึ่งเอ็นดู “เจ้าจะหยิบเล่มไหน”
ศศิธรสะดุ้งตกใจเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงระยะห่างระหว่างเขากับเธอ จนตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะขยับหันไปไหน เพราะกลัวจะเกิดความใกล้ชิดแบบไม่ตั้งใจขึ้นมาอีก ลำพังแค่นี้เธอก็รับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของชายหนุ่มที่เป่ารดอยู่บริเวณศรีษะของเธอจนขนลุกซู่
“หือ” อินทุส่งเสียงถามออกมาเบาๆ เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากหญิงสาว ซึ่งเหมือนเธอจะนิ่งแข็งไปชั่วขณะ แถมยังไม่ยอมตอบคำถามของเขาอีกด้วย
เมื่อคนอยากช่วย ไม่มีทีท่าจะขยับถอยหนีไปไหน แถมยังโน้มเอียงใบหน้าเข้ามาใกล้กับหญิงสาวมากยิ่งขึ้นไปอีก เธอจึงค่อยๆ เอ่ยออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นปนประหม่า “เล่มปกดำๆ นั่น” พร้อมกับเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อจะจิ้มไปที่สันหนังสือเล่มที่เธอต้องการ ซึ่งมันอยู่สูงเกินกว่าเธอจะหยิบถึง
และการกระทำของศศิธรก็ทำให้ผมหอมๆ ของเธอสัมผัสกับปลายจมูกของอินทุเข้าเต็มๆ อินทุจึงไม่รีรอที่จะสูดเอาความหอมเหมือนดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิเข้าเต็มปอด ก่อนจะเอียงหน้าไปกระซิบข้างหูหญิงสาวเบาๆ พร้อมกับแตะฝ่ามือลงบนมือบางเบาๆ ด้วยอารมณ์หลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับความหอมหวานตรงหน้า “ข้าช่วย”
“เอ่อ...ขอบคุณ” หญิงสาวสะดุ้งเมื่อฝ่ามือร้อนๆ สัมผัสโดนหลังมือของเธอ จนต้องรีบชักมือหนี ตามมาด้วยอาการขนลุกซู่อีกระลอกและหน้าก็เห่อแดงทันทีที่ลมร้อนๆ จากริมฝีปากของเขาสัมผัสโดนหูและลำคอของเธอ
“มีเล่มไหนอีกไหม” อินทุเอ่ยถามขึ้นยิ้มๆ หลังจากหยิบหนังสือเล่มใหญ่ปกดำมาถือไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว และสังเกตเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าแข็งเป็นหินไปเสียแล้ว
ศศิธรพยายามรวบรวมสติที่กระจัดกระจายกระเด็นกระดอนออกไปเมื่อสักครู่ให้กับมาอีกครั้ง ด้วยการก้มหน้าอ่านกระดาษเล็กๆ ในมือ ที่เธอจดรหัสหนังสือเล่มที่ต้องการเอาไว้ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นไปชี้หนังสือเล่มที่เธอต้องการอีกเล่มด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับไม่ให้สั่นเต็มที่ “ละ...เล่ม...เล่มนั้น”
===================
มีต่อนะคะ (2/2)