ใต้เงารัก
โดย ปณัชญา
๑
ไม่ใช่หน้าฝนก็จริง แต่สายฝนที่กระหน่ำลงอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้นก็ทำให้พริมาเกิดอาการหนาวสั่นได้ง่ายๆ ดวงตาสีน้ำตาลใสกลอกไปมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ร่มที่มีอยู่เพียงคันเดียวในห้องก็ดันลืมเอามา ไอ้จะไปหาซื้อที่ร้านสะดวกซื้อแถวนี้ก็ต้องเดินฝ่าฝนไปอีก ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นร่มที่ได้มาก็คงไร้ประโยชน์แล้ว
หญิงสาวนั่งกอดประมวลกฎหมาย ไว้แนบอก ที่รอรถของมหาวิทยาลัยไม่ได้ช่วยกันอะไรได้สัก เท่าไหร่ ตอนนี้เม็ดฝนกำลังสาดไล่เข้ามาอย่างรวดเร็วจนที่ว่างแห้งๆ เหลืออยู่นิดเดียวเท่านั้น ลมที่พัดแรงขึ้นทำให้ร่างโปร่งบางสั่นเล็กน้อย แขนเรียวกระชับหนังสือเล่มหนาแน่นขึ้น จริงอยู่ว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้อุ่นขึ้นมาสักเท่าไหร่ แต่ที่ต้องกอดไว้แนบอกเช่นนี้ ก็เพราะต้องการถนอมตำราเรียนแสนแพงเล่มนี้ต่างหาก ยิ่งประมวลฯ เล่มใหญ่ ปกแข็ง และมีว่างที่ให้จดชอร์ตโน้ตเยอะๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว...
ตัวเปียกไม่ว่า ขอให้หนังสือรอดเป็นพอ!
แขนข้างหนึ่งยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาพลางบ่นขมุบขมิบ
“เยี่ยม”
เหลืออีกสิบห้านาทีก็จะถึงเวลาที่อาจารย์นัดให้ไปรวมตัวกันหน้าห้องชันสูตรแล้ว แต่ตอนนี้เธอกำลังติดฝนที่กำลังตกหนักหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา แถมยังไม่มีรถราง หรือรถประจำทางอื่นๆ ผ่านมาสักคัน ทั้งๆ ที่ปกติก็ขับเข้าออกในมหาวิทยาลัยกันให้วุ่น
...ทำไมคณะแพทย์ฯ ถึงอยู่ไกลอย่างนี้...แล้วทำไมไม่สร้างให้อยู่ในบริเวณเดียวกับมหา’ลัยเลยนะ เสียเวลานั่งรถไปอีก...เบื่อชะมัด!
เมื่อคิดถึงหน้าอาจารย์ผู้สอน หญิงสาวก็หนาวเยือกขึ้นมาทันที ยังจำได้ถึงวันที่อาจารย์พาไปดูงานที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และเธอก็กระหืดกระหอบมาขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย จึงโดนอาจารย์แขวะไปตลอดทาง กว่าจะถึงที่หมาย หญิงสาวก็หูชาไปเรียบร้อยแล้ว ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าคราวนี้สายอีกรอบ เธอจะโดนอะไรอีก
พออับจนหนทางเข้าจริงๆ พริมาก็ยกมือขึ้นประนม โดยที่ยังหนีบประมวลฯ แนบกับอกแน่น พลางตั้งจิตอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในมหาวิทยาลัยที่เคารพสืบทอดกันมา
“สาธุ...เจ้าพ่อเจ้าขา...บุญใดที่หนูเคยทำมา ขอให้รีบๆ มาสนองเสียตอนนี้เลยนะคะ ลูกขอราชรถมาเกยด่วนเลย ก่อนที่ลูกจะไปเรียนไม่ทันนะคะ...”
พริมาประนมมือจรดศีรษะพลางขยับปากขมุบขมิบ ก่อนจะสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นท่ามกลางเสียงฝนตรงหน้า เมื่อลืมตา เธอก็เห็นรถเก๋งสีขาวคันหนึ่ง ที่คนขับกำลังยื่นหน้ามองเธออย่างอยากรู้อยากเห็น
...เจ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์จริงแฮะ ขอปุ๊ปได้ปั๊บ...
“ไหว้อะไรอยู่น่ะคุณ”
น้ำเสียงร่าเริงเอ่ยขึ้น ใบหน้าของเจ้าของรถยิ้มร่าขณะมองเธอด้วยสายตาขบขัน ก่อนเอ่ยต่อ “คุณกำลังรอรถอยู่เหรอ จะไปไหนล่ะ ผมไปส่งไหม”
พริมมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประเมินอย่างรวดเร็ว อืม...ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับเธอ มีเสื้อกาวน์ที่พวกนักศึกษาสายวิทยาศาสตร์สุขภาพใส่กันแขวนไว้ด้านหลัง มีรถซึ่งสำคัญมากในตอนนี้ ดูๆ แล้วเขาน่าจะไปทางเดียวกับเธอนี่แหละ
คิดได้อย่างนั้น หญิงสาวจึงตอบคำถาม
“ไปคณะแพทย์ฯแค่ะ ถ้าไปทางเดียวกันฉันขอติดรถไปด้วยนะคะ”
“ไม่มีปัญหา ขึ้นมาเลย”
เจ้าของรถใจกว้างเปิดประตูรถให้พร้อมกับก้าวลงจากรถโดยไม่ลืมที่จะหยิบร่มติดมือลงมาด้วย เธอจึงได้เห็นว่าเขาตัวสูงทีเดียว รูปร่างโปร่ง ผิวขาวจัด ตัดกับไรหนวดสั้นๆ สีเขียวและริมฝีปากสีแดงสดซึ่งทำให้น่าดูอย่างประหลาด หญิงสาวเผลอจ้องจนอีกฝ่ายเดินมาถึงตัวแล้วเรียกเสียงติดจะขบขัน
“ไปได้แล้วคุณ อยากจ้องก็ค่อยไปจ้องต่อในรถก็ได้”
ร่างโปร่งบางหน้าแดงก่ำกับคำทัก หญิงสาวเผลอตวัดสายตาค้อนอีกฝ่ายก่อนเชิดหน้าใส่อย่างหมั่นไส้ เรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายให้ดังขึ้น เมื่อขึ้นรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็จัดการออกรถทันทีทั้งๆ ที่ยังหัวเราะอยู่ ก่อนจะบอกหญิงสาว
“เอ้า...มองเลย ตอนนี้อยู่บนรถแล้ว”
พริมาหันมองคนขับอย่างเคืองๆ
“ขอบคุณ แต่ฉันไม่ได้อยากจะมองคุณขนาดนั้นหรอก”
“แหม...เมื่อกี้เห็นมองอยู่...อ๊ะๆ ไม่ล้อเล่นก็ได้” ชายหนุ่มเรียบเปลี่ยนเสียงเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเคร่งเครียด “แล้วคุณจะไปทำอะไรที่คณะผม ป่วยเหรอ?”
“คุณเรียนหมอเหรอคะ”
“อืม...ปีที่ห้าแล้ว คุณล่ะ” ชายหนุ่มเหลือบตามองหนังสือที่อยู่บนตักของเธอ “เรียนนิติฯ เหรอ”
“ค่ะ”
“อ๋อ...งั้นคงเป็นเด็กที่จะไปดูการผ่าศพวันนี้ใช่ไหมล่ะ”
ชายหนุ่มร่างสูงพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ ทั้งๆ ที่เธอยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ก็ถูกของเขา...พริมาคิดอย่างขำๆ
“ค่ะ...”
“ไม่กลัวศพเหรอ”
“ก็...ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวนี่” หญิงสาวเชิดหน้า หมายความตามที่พูดทุกคำ
“ง้าน-น-น-น...เหรอ” ชายหนุ่มลากเสียงยาวพลางเหลียวมามองหน้าเธอแวบหนึ่งอย่างล้อเลียน “ผมเคยเห็นนายตำรวจหลายคน บางคนเป็นสารวัตรด้วยซ้ำ พอเห็นหมอกำลังกรีดมีดผ่าศพก็เป็นลมแล้ว คุณเตรียมยาดมมารึยัง”
“ก็บอกแล้วว่าไม่กลัว” คราวนี้เสียงหวานชักเริ่มขุ่น
“โอเคๆ ไม่กลัวก็ไม่กลัว” คนที่กำลังขับรถอยู่ยอมแพ้ หันไปตั้งใจขับรถต่อ ปล่อยให้หญิงสาวพินิจพิจารณาทั้งภายในรถและเจ้าของรถต่อไปตามสะดวก
จนกระทั่งมาถึงตึกเรียนคณะแพทย์ที่เป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย เมื่อรถจอดสนิท ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ฝนหยุดตกพอดี พริมาได้แต่บ่นในใจอย่างเคืองฟ้าเคืองฝน...
จ้ะ ดีจ้ะ แกล้งกันซะให้พอนะจ๊ะ!
“ไปเร็วคุณ จะไปห้องชันสูตรไม่ใช่เหรอ ตามผมมาเดี๋ยวจะพาไปส่ง” ชายหนุ่มที่ลงจากรถหันมามอง เห็นเธอทำปากขมุบขมิบเหมือนแอบบ่นอะไรอีกก็นึกขำ
หญิงสาวสะดุ้งเป็นครั้งที่สองเมื่อเขาพูดขัดจังหวะการบ่นเธออีกครั้ง ก่อนจะปรายสายตาขุ่นเคืองเล็กน้อยไปให้เจ้าของเสียงที่ตอนนี้กำลังเดินนำหน้าไปยังห้องชันสูตรเรียบร้อยแล้ว
ว่าแต่...หญิงสาวคิดกับตัวเองขำๆ...
ตอนอธิษฐาน...เธอยังไม่ทันบนกับเจ้าพ่อเลยว่าถ้ามีรถมาแล้วจะถวายอะไร เอาเป็นว่าเจ้าพ่อช่วยฟรีไปก่อนก็แล้วกันนะเจ้าคะ...
ใต้เงารัก : ปณัชญา บทนำ (secret love: ปฏิบัติการแอบรักฉบับรีไรท์ค่ะ)
โดย ปณัชญา
๑
ไม่ใช่หน้าฝนก็จริง แต่สายฝนที่กระหน่ำลงอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้นก็ทำให้พริมาเกิดอาการหนาวสั่นได้ง่ายๆ ดวงตาสีน้ำตาลใสกลอกไปมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ร่มที่มีอยู่เพียงคันเดียวในห้องก็ดันลืมเอามา ไอ้จะไปหาซื้อที่ร้านสะดวกซื้อแถวนี้ก็ต้องเดินฝ่าฝนไปอีก ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นร่มที่ได้มาก็คงไร้ประโยชน์แล้ว
หญิงสาวนั่งกอดประมวลกฎหมาย ไว้แนบอก ที่รอรถของมหาวิทยาลัยไม่ได้ช่วยกันอะไรได้สัก เท่าไหร่ ตอนนี้เม็ดฝนกำลังสาดไล่เข้ามาอย่างรวดเร็วจนที่ว่างแห้งๆ เหลืออยู่นิดเดียวเท่านั้น ลมที่พัดแรงขึ้นทำให้ร่างโปร่งบางสั่นเล็กน้อย แขนเรียวกระชับหนังสือเล่มหนาแน่นขึ้น จริงอยู่ว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้อุ่นขึ้นมาสักเท่าไหร่ แต่ที่ต้องกอดไว้แนบอกเช่นนี้ ก็เพราะต้องการถนอมตำราเรียนแสนแพงเล่มนี้ต่างหาก ยิ่งประมวลฯ เล่มใหญ่ ปกแข็ง และมีว่างที่ให้จดชอร์ตโน้ตเยอะๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว...
ตัวเปียกไม่ว่า ขอให้หนังสือรอดเป็นพอ!
แขนข้างหนึ่งยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาพลางบ่นขมุบขมิบ
“เยี่ยม”
เหลืออีกสิบห้านาทีก็จะถึงเวลาที่อาจารย์นัดให้ไปรวมตัวกันหน้าห้องชันสูตรแล้ว แต่ตอนนี้เธอกำลังติดฝนที่กำลังตกหนักหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา แถมยังไม่มีรถราง หรือรถประจำทางอื่นๆ ผ่านมาสักคัน ทั้งๆ ที่ปกติก็ขับเข้าออกในมหาวิทยาลัยกันให้วุ่น
...ทำไมคณะแพทย์ฯ ถึงอยู่ไกลอย่างนี้...แล้วทำไมไม่สร้างให้อยู่ในบริเวณเดียวกับมหา’ลัยเลยนะ เสียเวลานั่งรถไปอีก...เบื่อชะมัด!
เมื่อคิดถึงหน้าอาจารย์ผู้สอน หญิงสาวก็หนาวเยือกขึ้นมาทันที ยังจำได้ถึงวันที่อาจารย์พาไปดูงานที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และเธอก็กระหืดกระหอบมาขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย จึงโดนอาจารย์แขวะไปตลอดทาง กว่าจะถึงที่หมาย หญิงสาวก็หูชาไปเรียบร้อยแล้ว ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าคราวนี้สายอีกรอบ เธอจะโดนอะไรอีก
พออับจนหนทางเข้าจริงๆ พริมาก็ยกมือขึ้นประนม โดยที่ยังหนีบประมวลฯ แนบกับอกแน่น พลางตั้งจิตอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในมหาวิทยาลัยที่เคารพสืบทอดกันมา
“สาธุ...เจ้าพ่อเจ้าขา...บุญใดที่หนูเคยทำมา ขอให้รีบๆ มาสนองเสียตอนนี้เลยนะคะ ลูกขอราชรถมาเกยด่วนเลย ก่อนที่ลูกจะไปเรียนไม่ทันนะคะ...”
พริมาประนมมือจรดศีรษะพลางขยับปากขมุบขมิบ ก่อนจะสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นท่ามกลางเสียงฝนตรงหน้า เมื่อลืมตา เธอก็เห็นรถเก๋งสีขาวคันหนึ่ง ที่คนขับกำลังยื่นหน้ามองเธออย่างอยากรู้อยากเห็น
...เจ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์จริงแฮะ ขอปุ๊ปได้ปั๊บ...
“ไหว้อะไรอยู่น่ะคุณ”
น้ำเสียงร่าเริงเอ่ยขึ้น ใบหน้าของเจ้าของรถยิ้มร่าขณะมองเธอด้วยสายตาขบขัน ก่อนเอ่ยต่อ “คุณกำลังรอรถอยู่เหรอ จะไปไหนล่ะ ผมไปส่งไหม”
พริมมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประเมินอย่างรวดเร็ว อืม...ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับเธอ มีเสื้อกาวน์ที่พวกนักศึกษาสายวิทยาศาสตร์สุขภาพใส่กันแขวนไว้ด้านหลัง มีรถซึ่งสำคัญมากในตอนนี้ ดูๆ แล้วเขาน่าจะไปทางเดียวกับเธอนี่แหละ
คิดได้อย่างนั้น หญิงสาวจึงตอบคำถาม
“ไปคณะแพทย์ฯแค่ะ ถ้าไปทางเดียวกันฉันขอติดรถไปด้วยนะคะ”
“ไม่มีปัญหา ขึ้นมาเลย”
เจ้าของรถใจกว้างเปิดประตูรถให้พร้อมกับก้าวลงจากรถโดยไม่ลืมที่จะหยิบร่มติดมือลงมาด้วย เธอจึงได้เห็นว่าเขาตัวสูงทีเดียว รูปร่างโปร่ง ผิวขาวจัด ตัดกับไรหนวดสั้นๆ สีเขียวและริมฝีปากสีแดงสดซึ่งทำให้น่าดูอย่างประหลาด หญิงสาวเผลอจ้องจนอีกฝ่ายเดินมาถึงตัวแล้วเรียกเสียงติดจะขบขัน
“ไปได้แล้วคุณ อยากจ้องก็ค่อยไปจ้องต่อในรถก็ได้”
ร่างโปร่งบางหน้าแดงก่ำกับคำทัก หญิงสาวเผลอตวัดสายตาค้อนอีกฝ่ายก่อนเชิดหน้าใส่อย่างหมั่นไส้ เรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายให้ดังขึ้น เมื่อขึ้นรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็จัดการออกรถทันทีทั้งๆ ที่ยังหัวเราะอยู่ ก่อนจะบอกหญิงสาว
“เอ้า...มองเลย ตอนนี้อยู่บนรถแล้ว”
พริมาหันมองคนขับอย่างเคืองๆ
“ขอบคุณ แต่ฉันไม่ได้อยากจะมองคุณขนาดนั้นหรอก”
“แหม...เมื่อกี้เห็นมองอยู่...อ๊ะๆ ไม่ล้อเล่นก็ได้” ชายหนุ่มเรียบเปลี่ยนเสียงเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเคร่งเครียด “แล้วคุณจะไปทำอะไรที่คณะผม ป่วยเหรอ?”
“คุณเรียนหมอเหรอคะ”
“อืม...ปีที่ห้าแล้ว คุณล่ะ” ชายหนุ่มเหลือบตามองหนังสือที่อยู่บนตักของเธอ “เรียนนิติฯ เหรอ”
“ค่ะ”
“อ๋อ...งั้นคงเป็นเด็กที่จะไปดูการผ่าศพวันนี้ใช่ไหมล่ะ”
ชายหนุ่มร่างสูงพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ ทั้งๆ ที่เธอยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ก็ถูกของเขา...พริมาคิดอย่างขำๆ
“ค่ะ...”
“ไม่กลัวศพเหรอ”
“ก็...ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวนี่” หญิงสาวเชิดหน้า หมายความตามที่พูดทุกคำ
“ง้าน-น-น-น...เหรอ” ชายหนุ่มลากเสียงยาวพลางเหลียวมามองหน้าเธอแวบหนึ่งอย่างล้อเลียน “ผมเคยเห็นนายตำรวจหลายคน บางคนเป็นสารวัตรด้วยซ้ำ พอเห็นหมอกำลังกรีดมีดผ่าศพก็เป็นลมแล้ว คุณเตรียมยาดมมารึยัง”
“ก็บอกแล้วว่าไม่กลัว” คราวนี้เสียงหวานชักเริ่มขุ่น
“โอเคๆ ไม่กลัวก็ไม่กลัว” คนที่กำลังขับรถอยู่ยอมแพ้ หันไปตั้งใจขับรถต่อ ปล่อยให้หญิงสาวพินิจพิจารณาทั้งภายในรถและเจ้าของรถต่อไปตามสะดวก
จนกระทั่งมาถึงตึกเรียนคณะแพทย์ที่เป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย เมื่อรถจอดสนิท ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ฝนหยุดตกพอดี พริมาได้แต่บ่นในใจอย่างเคืองฟ้าเคืองฝน...
จ้ะ ดีจ้ะ แกล้งกันซะให้พอนะจ๊ะ!
“ไปเร็วคุณ จะไปห้องชันสูตรไม่ใช่เหรอ ตามผมมาเดี๋ยวจะพาไปส่ง” ชายหนุ่มที่ลงจากรถหันมามอง เห็นเธอทำปากขมุบขมิบเหมือนแอบบ่นอะไรอีกก็นึกขำ
หญิงสาวสะดุ้งเป็นครั้งที่สองเมื่อเขาพูดขัดจังหวะการบ่นเธออีกครั้ง ก่อนจะปรายสายตาขุ่นเคืองเล็กน้อยไปให้เจ้าของเสียงที่ตอนนี้กำลังเดินนำหน้าไปยังห้องชันสูตรเรียบร้อยแล้ว
ว่าแต่...หญิงสาวคิดกับตัวเองขำๆ...ตอนอธิษฐาน...เธอยังไม่ทันบนกับเจ้าพ่อเลยว่าถ้ามีรถมาแล้วจะถวายอะไร เอาเป็นว่าเจ้าพ่อช่วยฟรีไปก่อนก็แล้วกันนะเจ้าคะ...