>>> วันที่ 25 ธันวาคมนี้เข้าฉายแล้วนะครับ ไม่รู้ว่าจะได้ดูเรื่องต่อไปอีกเมื่อไหร่ แฟนๆค่ายนี้ห้ามพลาดนะครับ
ภาพยนตร์แอนิเมชั่น ลายเส้นสบายตาเรื่องนี้ ได้ อิซาโอะ ทาคาฮาตะ (Grave of the Fireflies, Pom Poko) มากำกับครับ
>>> ตัวอย่างซับไทยอยู่ด้านล่าง<<<
เนื้อเรื่องคาดว่าจะประมาณนี้
วันหนึ่งขณะที่เดินอยู่กลางป่า ชายแก่ผู้มีอาชีพตัดไผ่ชื่อตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ มองเห็นปล้องไผ่ที่ส่องแสงเรืองรองเข้า ด้วยความสงสัยก็ไปตัดปล้องไผ่ดู ก็พบว่าภายในมีเด็กทารกผู้หญิงขนาดเท่าหัวแม่มือนอนอยู่ ตะเกะโตริ โนะ โอะกินะผู้มีความดีใจที่ได้พบเด็กน้อยน่ารักก็นำทารกกลับไปบ้านไปให้ภรรยาเลี้ยงอย่างลูก และตั้งชื่อให้ว่าคะงุยะ-ฮิเมะ หรือ "เจ้าหญิงแห่งราตรีอันเรืองรอง"
ตั้งแต่นั้นมาตะเกะโตริ โนะ โอะกินะก็พบว่าเมื่อใดที่ตนตัดปล้องไผ่ ก็จะพบก้อนทองก้อนเล็กๆ อยู่ภายในปล้องไผ่ที่ตัด ไม่นานนักตะเกะโตริ โนะ โอะกินะก็มีฐานะร่ำรวยขึ้นมา คะงุยะ-ฮิเมะเองก็เติบโตขึ้นมาเป็นสตรีที่มีขนาดปกติและมีความสวยงามเป็นอันมาก ในระยะแรกตะเกะโตริ โนะ โอะกินะก็พยายามกันไม่ให้ลูกสาวได้พบกับคนแปลกหน้า แต่ไม่นานนักความสวยงามของคะงุยะก็เป็นที่เลื่องลือจนเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป จนกระทั่งมีเจ้าชายห้าพระองค์เสด็จมาขอตัวคะงุยะ-ฮิเมะต่อตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ และทรงพยายามหว่านล้อมให้ตะเกะโตริ โนะ โอะกินะไปบอกให้คะงุยะ-ฮิเมะเลือกเจ้าชายองค์ใดองค์หนึ่งจนกระทั่งสำเร็จ เมื่อทราบว่ามีผู้มาหมายปองคะงุยะ-ฮิเมะจึงวางแผนกันตนเอง โดยตั้งข้อทดสอบต่างๆ ที่ยากเกินกว่าที่จะทำให้สำเร็จได้ให้เจ้าชายแต่ละองค์ไปทำ คะงุยะ-ฮิเมะประกาศว่าจะยอมแต่งงานกับเจ้าชายองค์ใดที่สามารถนำสิ่งที่ตนขอมากลับมาได้
คืนนั้นตะเกะโตริ โนะ โอะกินะก็ทูลเจ้าชายแต่ละพระองค์ถึงสิ่งต่างๆ ที่คะงุยะ-ฮิเมะขอให้แต่ละองค์ต้องทรงนำกลับมา เจ้าชายองค์แรกต้องไปทรงนำบาตรหินของพระโคตมพุทธเจ้ามาจากอินเดียกลับมาให้ องค์ที่สองต้องทรงนำกิ่งไม้ประดับอัญมณีจากเกาะเพ็งกลาอิในประเทศจีน องค์ที่สามต้องทรงไปนำเสื้อคลุมของหนูไฟจากเมืองจีนกลับมาให้ องค์ที่สี่ต้องทรงไปถอดอัญมณีจากคอมังกรมาให้ และองค์ที่ห้าต้องทรงไปหาหอยมีค่าของนกนกนางแอ่นกลับมา
เมื่อเจ้าชายองค์แรกทรงทราบว่าสิ่งที่ต้องทรงนำกลับมาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก พระองค์ก็ทรงนำบาตรอันมีค่ามาให้ แต่เมื่อเห็นว่าบาตรมิได้ส่องแสงเรืองรองตามที่บาตรศักดิ์สิทธิ์ควรจะเป็น คะงุยะ-ฮิเมะก็ทราบพระองค์ทรงหลอกลวง เจ้าชายอีกสองพระองค์ก็ทรงพยายามหลอกลวงเช่นกันแต่ก็ไม่สำเร็จ เจ้าชายองค์ที่สี่ทรงเลิกพยายามเมื่อทรงประสบกับลมมรสุม ส่วนเจ้าชายองค์สุดท้ายสิ้นพระชนม์ขณะที่ทรงพยายามที่จะแสวงหาสิ่งที่คะงุยะ-ฮิเมะต้องการมาให้
หลังจากนั้นจักรพรรดิมิคาโดะจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นก็เสด็จมาทอดพระเนตรสตรีผู้มีข่าวร่ำลือกันกันนักหนาว่ามีความสวยงาม เมื่อทรงได้เห็นพระองค์ก็ทรงตกหลุมรักคะงุยะ-ฮิเมะและทรงขอแต่งงานด้วย แม้ว่าจะไม่ต้องทรงผ่านการทดสอบเช่นเดียวกับเจ้าชายห้าองค์ก่อนหน้านั้น แต่คะงุยะ-ฮิเมะก็ยังคงปฏิเสธ โดยทูลว่านางนั้นเป็นสตรีผู้มาจากแดนไกลที่ทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าไปในพระราชฐานของพระองค์ได้ แต่คะงุยะ-ฮิเมะก็ยังคงดำเนินการติดต่อกับมิคาโดะตลอดมา และก็ยังคงปฏิเสธคำขอของพระองค์ทุกครั้ง
ระหว่างฤดูร้อนปีนั้น เมื่อใดเห็นพระจันทร์เต็มดวงตาของคะงุยะ-ฮิเมะก็จะคลอไปด้วยน้ำตา ทั้งตะเกะโตริ โนะ โอะกินะและภรรยาก็พยายามถามถึงสาเหตุแต่คะงุยะ-ฮิเมะก็ไม่สามารถจะบอกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ พฤติกรรมของคะงุยะ-ฮิเมะยิ่งแปลกขึ้นจนกระทั่งจนในที่สุดก็ยอมเปิดเผยว่านางนั้นมิได้มาจากโลกนี้ และถึงเวลาแล้วจะต้องเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองที่อยู่บนจันทรประเทศ บางตำนานก็กล่าวว่าคะงุยะ-ฮิเมะถูกส่งมายังมนุษยโลกชั่วคราวเพื่อเป็นการลงโทษเพราะไปทำความผิดเข้า แต่บางตำนานก็ว่าถูกส่งตัวมาซ่อนไว้ในโลกเพื่อความปลอดภัยระหว่างสงครามที่เกิดขึ้นบนสรวงสวรรค์
เมื่อวันที่จะต้องกลับใกล้เข้ามา จักรพรรดิมิคาโดะก็ทรงส่งทหารมาล้อมบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวจันทรประเทศมาเอาตัวคะงุยะ-ฮิเมะไปได้ แต่เมื่อทูตจาก “สรวงสวรรค์” มาถึงประตูบ้านของตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ ทหารที่มารักษายามต่างก็ตาบอดกันไปตามๆ กันเพราะความแรงของแสงที่เรืองออกมา คะงุยะ-ฮิเมะประกาศว่าแม้ว่าตนเองจะมีความรักเพื่อนหลายคนบนมนุษยโลกแต่ก็จำต้องเดินทางกลับไปยังจันทรประเทศซึ่งเป็นบ้านเมืองที่แท้จริงของตนเอง จากนั้นคะงุยะ-ฮิเมะก็เขียนจดหมายร่ำลาขออภัยต่อตะเกะโตริ โนะ โอะกินะและภรรยา และ ต่อจักรพรรดิมิคาโดะ และมอบเสื้อคลุมให้บิดามารดาเลี้ยงไว้เป็นที่ระลึก จากนั้นก็เอาผอบยาอายุวัฒนะแนบไปกับจดหมายให้แก่ทหารยามไปถวายพระจักรพรรดิ เมื่อยื่นจดหมายให้แล้วและเอาเสื้อคลุมขนนกพาดไหล่เสร็จคะงุยะ-ฮิเมะก็ลืมความคิดถึงและทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษยโลกจนหมดสิ้น ขบวนชาวทูตสวรรค์ก็นำคะงุยะ-ฮิเมะกลับไปยังจันทรประเทศ ทิ้งตะเกะโตริ โนะ โอะกินะและภรรยาไว้กับความโศรกเศร้าจนในที่สุดก็ล้มเจ็บ
ฝ่ายทหารยามเมื่อได้รับสาส์นและยาอายุวัฒนะแล้ว ก็นำกลับไปถวายและทูลรายงานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อพระจักรพรรดิ เมื่อพระองค์ก็ทรงอ่านจดหมายแล้วก็ทรงเต็มตื้นไปด้วยความโทมนัส และตรัสถามข้าราชบริพารว่า “ภูเขาลูกใดที่สูงที่สุดที่ใกล้สรวงสวรรค์ที่สุด?” ซึ่งข้าราชบริพารก็ทูลว่าเป็นมหาภูเขาแห่งจังหวัดซุรุกะ พระองค์ก็มีพระบรมราชโองการให้นำจดหมายของคะงุยะ-ฮิเมะไปยังยอดเขาและเผา ด้วยความหวังว่าความคิดคำนึงถึงนางของพระองค์จะล่องลอยตามสายควันขึ้นไปถึงคะงุยะ-ฮิเมะได้ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีพระบรมราชโองการให้เผาผอบยาอายุวัฒนะที่ถ้าผู้ใดได้กินผู้นั้นก็จะเป็นอมตะตามไปด้วย เพราะไม่มีพระราชประสงค์ที่จะดำรงชีวิตไปตลอดกาลโดยปราศจากคะงุยะ-ฮิเมะ ตำนานกล่าวต่อไปว่าคำว่า “ฟูจิ” จึงกลายมาเป็นชื่อของภูเขา และคำในอักษรคันจิสำหรับภูเขาคือ “富士山” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “ภูเขาที่เต็มไปด้วยนักรบ” ที่มาจากเมื่อกองทัพของพระจักรพรรดิเดินขึ้นไปบนภูเขาเพื่อที่จะไปปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ และกล่าวกันว่าควันจากการเผาจดหมายและยาอายุวัฒนะยังคงลอยระล่องขึ้นไปบนสรวงสวรรค์มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ (ในอดีตภูเขาฟูจิเป็นภูเขาที่คุกรุ่นมากกว่าในปัจจุบัน)
>>>>>>>>>ตัวอย่างแบบซับไทย<<<<<<<<<
***เพลงประกอบเพราะมากๆด้วยครับ
***ข้อมูลจากWikipedia
***ซ้ำขออภัย
The Tale of Princess Kaguya แอนิเมชั่นจาก Studio Ghibli มาแล้วววว
>>> วันที่ 25 ธันวาคมนี้เข้าฉายแล้วนะครับ ไม่รู้ว่าจะได้ดูเรื่องต่อไปอีกเมื่อไหร่ แฟนๆค่ายนี้ห้ามพลาดนะครับ
ภาพยนตร์แอนิเมชั่น ลายเส้นสบายตาเรื่องนี้ ได้ อิซาโอะ ทาคาฮาตะ (Grave of the Fireflies, Pom Poko) มากำกับครับ
>>> ตัวอย่างซับไทยอยู่ด้านล่าง<<<
เนื้อเรื่องคาดว่าจะประมาณนี้
วันหนึ่งขณะที่เดินอยู่กลางป่า ชายแก่ผู้มีอาชีพตัดไผ่ชื่อตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ มองเห็นปล้องไผ่ที่ส่องแสงเรืองรองเข้า ด้วยความสงสัยก็ไปตัดปล้องไผ่ดู ก็พบว่าภายในมีเด็กทารกผู้หญิงขนาดเท่าหัวแม่มือนอนอยู่ ตะเกะโตริ โนะ โอะกินะผู้มีความดีใจที่ได้พบเด็กน้อยน่ารักก็นำทารกกลับไปบ้านไปให้ภรรยาเลี้ยงอย่างลูก และตั้งชื่อให้ว่าคะงุยะ-ฮิเมะ หรือ "เจ้าหญิงแห่งราตรีอันเรืองรอง"
ตั้งแต่นั้นมาตะเกะโตริ โนะ โอะกินะก็พบว่าเมื่อใดที่ตนตัดปล้องไผ่ ก็จะพบก้อนทองก้อนเล็กๆ อยู่ภายในปล้องไผ่ที่ตัด ไม่นานนักตะเกะโตริ โนะ โอะกินะก็มีฐานะร่ำรวยขึ้นมา คะงุยะ-ฮิเมะเองก็เติบโตขึ้นมาเป็นสตรีที่มีขนาดปกติและมีความสวยงามเป็นอันมาก ในระยะแรกตะเกะโตริ โนะ โอะกินะก็พยายามกันไม่ให้ลูกสาวได้พบกับคนแปลกหน้า แต่ไม่นานนักความสวยงามของคะงุยะก็เป็นที่เลื่องลือจนเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป จนกระทั่งมีเจ้าชายห้าพระองค์เสด็จมาขอตัวคะงุยะ-ฮิเมะต่อตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ และทรงพยายามหว่านล้อมให้ตะเกะโตริ โนะ โอะกินะไปบอกให้คะงุยะ-ฮิเมะเลือกเจ้าชายองค์ใดองค์หนึ่งจนกระทั่งสำเร็จ เมื่อทราบว่ามีผู้มาหมายปองคะงุยะ-ฮิเมะจึงวางแผนกันตนเอง โดยตั้งข้อทดสอบต่างๆ ที่ยากเกินกว่าที่จะทำให้สำเร็จได้ให้เจ้าชายแต่ละองค์ไปทำ คะงุยะ-ฮิเมะประกาศว่าจะยอมแต่งงานกับเจ้าชายองค์ใดที่สามารถนำสิ่งที่ตนขอมากลับมาได้
คืนนั้นตะเกะโตริ โนะ โอะกินะก็ทูลเจ้าชายแต่ละพระองค์ถึงสิ่งต่างๆ ที่คะงุยะ-ฮิเมะขอให้แต่ละองค์ต้องทรงนำกลับมา เจ้าชายองค์แรกต้องไปทรงนำบาตรหินของพระโคตมพุทธเจ้ามาจากอินเดียกลับมาให้ องค์ที่สองต้องทรงนำกิ่งไม้ประดับอัญมณีจากเกาะเพ็งกลาอิในประเทศจีน องค์ที่สามต้องทรงไปนำเสื้อคลุมของหนูไฟจากเมืองจีนกลับมาให้ องค์ที่สี่ต้องทรงไปถอดอัญมณีจากคอมังกรมาให้ และองค์ที่ห้าต้องทรงไปหาหอยมีค่าของนกนกนางแอ่นกลับมา
เมื่อเจ้าชายองค์แรกทรงทราบว่าสิ่งที่ต้องทรงนำกลับมาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก พระองค์ก็ทรงนำบาตรอันมีค่ามาให้ แต่เมื่อเห็นว่าบาตรมิได้ส่องแสงเรืองรองตามที่บาตรศักดิ์สิทธิ์ควรจะเป็น คะงุยะ-ฮิเมะก็ทราบพระองค์ทรงหลอกลวง เจ้าชายอีกสองพระองค์ก็ทรงพยายามหลอกลวงเช่นกันแต่ก็ไม่สำเร็จ เจ้าชายองค์ที่สี่ทรงเลิกพยายามเมื่อทรงประสบกับลมมรสุม ส่วนเจ้าชายองค์สุดท้ายสิ้นพระชนม์ขณะที่ทรงพยายามที่จะแสวงหาสิ่งที่คะงุยะ-ฮิเมะต้องการมาให้
หลังจากนั้นจักรพรรดิมิคาโดะจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นก็เสด็จมาทอดพระเนตรสตรีผู้มีข่าวร่ำลือกันกันนักหนาว่ามีความสวยงาม เมื่อทรงได้เห็นพระองค์ก็ทรงตกหลุมรักคะงุยะ-ฮิเมะและทรงขอแต่งงานด้วย แม้ว่าจะไม่ต้องทรงผ่านการทดสอบเช่นเดียวกับเจ้าชายห้าองค์ก่อนหน้านั้น แต่คะงุยะ-ฮิเมะก็ยังคงปฏิเสธ โดยทูลว่านางนั้นเป็นสตรีผู้มาจากแดนไกลที่ทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าไปในพระราชฐานของพระองค์ได้ แต่คะงุยะ-ฮิเมะก็ยังคงดำเนินการติดต่อกับมิคาโดะตลอดมา และก็ยังคงปฏิเสธคำขอของพระองค์ทุกครั้ง
ระหว่างฤดูร้อนปีนั้น เมื่อใดเห็นพระจันทร์เต็มดวงตาของคะงุยะ-ฮิเมะก็จะคลอไปด้วยน้ำตา ทั้งตะเกะโตริ โนะ โอะกินะและภรรยาก็พยายามถามถึงสาเหตุแต่คะงุยะ-ฮิเมะก็ไม่สามารถจะบอกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ พฤติกรรมของคะงุยะ-ฮิเมะยิ่งแปลกขึ้นจนกระทั่งจนในที่สุดก็ยอมเปิดเผยว่านางนั้นมิได้มาจากโลกนี้ และถึงเวลาแล้วจะต้องเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองที่อยู่บนจันทรประเทศ บางตำนานก็กล่าวว่าคะงุยะ-ฮิเมะถูกส่งมายังมนุษยโลกชั่วคราวเพื่อเป็นการลงโทษเพราะไปทำความผิดเข้า แต่บางตำนานก็ว่าถูกส่งตัวมาซ่อนไว้ในโลกเพื่อความปลอดภัยระหว่างสงครามที่เกิดขึ้นบนสรวงสวรรค์
เมื่อวันที่จะต้องกลับใกล้เข้ามา จักรพรรดิมิคาโดะก็ทรงส่งทหารมาล้อมบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวจันทรประเทศมาเอาตัวคะงุยะ-ฮิเมะไปได้ แต่เมื่อทูตจาก “สรวงสวรรค์” มาถึงประตูบ้านของตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ ทหารที่มารักษายามต่างก็ตาบอดกันไปตามๆ กันเพราะความแรงของแสงที่เรืองออกมา คะงุยะ-ฮิเมะประกาศว่าแม้ว่าตนเองจะมีความรักเพื่อนหลายคนบนมนุษยโลกแต่ก็จำต้องเดินทางกลับไปยังจันทรประเทศซึ่งเป็นบ้านเมืองที่แท้จริงของตนเอง จากนั้นคะงุยะ-ฮิเมะก็เขียนจดหมายร่ำลาขออภัยต่อตะเกะโตริ โนะ โอะกินะและภรรยา และ ต่อจักรพรรดิมิคาโดะ และมอบเสื้อคลุมให้บิดามารดาเลี้ยงไว้เป็นที่ระลึก จากนั้นก็เอาผอบยาอายุวัฒนะแนบไปกับจดหมายให้แก่ทหารยามไปถวายพระจักรพรรดิ เมื่อยื่นจดหมายให้แล้วและเอาเสื้อคลุมขนนกพาดไหล่เสร็จคะงุยะ-ฮิเมะก็ลืมความคิดถึงและทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษยโลกจนหมดสิ้น ขบวนชาวทูตสวรรค์ก็นำคะงุยะ-ฮิเมะกลับไปยังจันทรประเทศ ทิ้งตะเกะโตริ โนะ โอะกินะและภรรยาไว้กับความโศรกเศร้าจนในที่สุดก็ล้มเจ็บ
ฝ่ายทหารยามเมื่อได้รับสาส์นและยาอายุวัฒนะแล้ว ก็นำกลับไปถวายและทูลรายงานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อพระจักรพรรดิ เมื่อพระองค์ก็ทรงอ่านจดหมายแล้วก็ทรงเต็มตื้นไปด้วยความโทมนัส และตรัสถามข้าราชบริพารว่า “ภูเขาลูกใดที่สูงที่สุดที่ใกล้สรวงสวรรค์ที่สุด?” ซึ่งข้าราชบริพารก็ทูลว่าเป็นมหาภูเขาแห่งจังหวัดซุรุกะ พระองค์ก็มีพระบรมราชโองการให้นำจดหมายของคะงุยะ-ฮิเมะไปยังยอดเขาและเผา ด้วยความหวังว่าความคิดคำนึงถึงนางของพระองค์จะล่องลอยตามสายควันขึ้นไปถึงคะงุยะ-ฮิเมะได้ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีพระบรมราชโองการให้เผาผอบยาอายุวัฒนะที่ถ้าผู้ใดได้กินผู้นั้นก็จะเป็นอมตะตามไปด้วย เพราะไม่มีพระราชประสงค์ที่จะดำรงชีวิตไปตลอดกาลโดยปราศจากคะงุยะ-ฮิเมะ ตำนานกล่าวต่อไปว่าคำว่า “ฟูจิ” จึงกลายมาเป็นชื่อของภูเขา และคำในอักษรคันจิสำหรับภูเขาคือ “富士山” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “ภูเขาที่เต็มไปด้วยนักรบ” ที่มาจากเมื่อกองทัพของพระจักรพรรดิเดินขึ้นไปบนภูเขาเพื่อที่จะไปปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ และกล่าวกันว่าควันจากการเผาจดหมายและยาอายุวัฒนะยังคงลอยระล่องขึ้นไปบนสรวงสวรรค์มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ (ในอดีตภูเขาฟูจิเป็นภูเขาที่คุกรุ่นมากกว่าในปัจจุบัน)
***เพลงประกอบเพราะมากๆด้วยครับ
***ข้อมูลจากWikipedia
***ซ้ำขออภัย