US Box Office December 12-14, 2014
(แปล/ เรียบเรียงจาก www.boxofficemojo.com)
แม้จะขึ้นอันดับ 1 ได้ไม่ยากนัก แต่กับตัวเลขรายได้ ถือว่า Exodus: Gods and Kings พลาดเป้าไปไม่ใช่น้อย กับการเปิดตัวในสุดสัปดาห์ที่หงอยๆ อีกสัปดาห์หนึ่งของปีนี้ ขณะที่หนัง Top Five ของคริส ร็อค ถือว่าออกตัวใช้ได้ ส่วนหนังใหม่ของพอล โธมัส แอนเดอร์สัน Inherent Vice ก็ไปได้ดีกับการฉายไม่กี่โรงที่นิว ยอร์ค และแอลเอ
หนัง 12 อันดับแรกของสัปดาห์นี้ ทำเงินรวมกัน 76.7 ล้านเหรียญ ไม่น่าแปลกใจที่จะกลายเป็นสัปดาห์หงอยๆ อีกแล้วในปีนี้ และต่อให้สภาพดีขึ้นมาได้ในสัปดาห์หน้า เดือนธันวาคมปีนี้ ก็ไม่พ้นเป็นหนึ่งในเดือนธันวาคมที่แย่ที่สุดสำหรับวงการภาพยนตร์
เปิดตัวด้วย 3,503 โรง Exodus: Gods and Kings ทำรายได้ 24.1 ล้านเหรียญ ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับบรรดาหนังศาสนาที่เปิดตัวฉายก่อนหน้านี้ เมื่อทำรายได้ต่ำกว่า Noah เกือบๆ 20 ล้านเหรียญ และถือว่าพอๆ กับหนังที่ลงทุนน้อยกว่าเยอะอย่าง Son of God แต่ถึงจะเป็นหนังแนวเดียว แต่ก็ไม่อาจจะเอามาเปรียบกันได้ตรงๆ เพราะนี่คือการเปิดตัวในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเดือนที่หงอยๆ อยู่แล้วตามปกติ ซึ่งหากเทียบกับหนังที่เปิดตัวในเดือนนี้เรื่องอื่นๆ Exodus ก็ไม่ได้ทำดีกว่ากันสักเท่าไหร่ เมื่อรายได้นั้นพอๆ กับ The Chronicles of Narnia: The Voyage of the Dawn Treader (24 ล้านเหรียญ) และ The Golden Compass (25.8 ล้านเหรียญ) แม้จะไม่ใช่การเปิดตัวที่ดี แต่ก็เร็วเกินไปหากจะสรุปว่าหนังเรื่องนี้จบเห่แล้ว เพราะถ้ายืนระยะได้แบบเดียวกับหนัง Narnia เรื่องที่สาม Exodus หนังมีโอกาสแซงรายได้รวมของ Noah ที่ 101.2 ล้านเหรียญได้สำเร็จ ซึ่งถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่เยี่ยมยอดแล้ว เมื่อมองไปถึงความเป็นไปได้ของหนังนอกอเมริกาด้วย
แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีเหตุผลที่ทำให้มองได้ว่า หนังอาจจะยืนระยะได้ไม่ดีขนาดนั้น เมื่อคะแนนจากการวิจารณ์ไม่สวยเลย (27% จากเว็บมะเขือเน่า) และปากต่อปากก็ไม่น่าจะดี เมื่อได้คะแนนซีนีมาสกอร์แค่ B- ทำให้โอกาสของหนังนั้นน่าจะไปเหมือนกับ The Golden Compass ซึ่งทำเงินไม่ถึง 70 ล้านเหรียญมากกว่า และนั่นก็คือตัวเลขที่น่าผิดหวัง ด้วยเหตุนี้เป็นไปได้ว่า หนัง Exodus น่าจะจบตรงกลางระหว่างหนังทั้ง 2 เรื่องที่ว่า ซึ่งก็จะไปคล้ายๆ กับหนัง The Hobbit 2 ภาคก่อน ซึ่งเปิดตัวในสัปดาห์เดียวกันนี้ เมื่อ 2 ปีก่อน และจบรายได้ที่ 85 – 90 ล้านเหรียญ
คนดูของหนังนั้น 54% เป็นผู้ชาย และ 65% อายุมากกว่า 25 ปี รายได้ของ 3 มิติคิดเป็น 44% ของทั้งหมด ซึ่งถือว่ามากกว่าค่าเฉลี่ยตามปกติ
อันดับ 2 เป็น The Hunger Games: Mockingjay - Part 1 รายได้ตก 42% ทำเงิน 12.7 ล้านเหรียญ ซึ่งต่ำกว่า Catching Fire ที่ทำไว้ 13.7 ล้านเหรียญในสัปดาห์ที่สี่เล็กน้อย และถือว่าเป็นที่น่าพอใจเมื่อมองย้อนไปถึงรายได้ที่ต่ำกว่าของหนังในสองสัปดาห์แรก มาถึงตอนนี้ Mockingjay ฟันรายได้ไปแล้ว 276.9 ล้านเหรียญ หากเป็นไปตามอัตราการยืนระยะของ Catching Fire นับจากนี้ หนังน่าจะกลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดของปีนี้ด้วยรายได้ 335 ล้านเหรียญเป็นอย่างน้อย
Penguins of Madagascar ได้เงินมาอีก 7.2 ล้านเหรียญ ตกจากสัปดาห์ที่แล้ว 34% รายได้รวมนั้นอยู่ที่ 58.7 ล้านเหรียญ ต่ำกว่า Rise of the Guardians จากระยะเวลาฉายเท่าๆ กัน 3 ล้านเหรียญ และกับการที่หนังครอบครัวจะแห่กันออกมาอีกในสัปดาห์ต่อๆ ไป Penguins คงเหนื่อยสาหัสกับการทำรายได้ให้ถึง 90 ล้านเหรียญ
เปิดตัวแค่ 979 โรง หนัง Top Five ของคริส ร็อค ได้เงิน 6.9 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าหนังเรื่องก่อนหน้าที่ร็อคกำกับ I Think I Love My Wife ที่ทำไว้ 5.7 ล้านเหรียญ ทั้งๆ ที่ได้โรงฉายมากกว่าเรื่องนี้เกือบๆ 2 เท่า แต่ชะตากรรมของหนังเรื่องนี้นั้น คงต้องดูกันยาวๆ เพราะทางพาราเมาท์จะเปิดหนังในวงกว้างกว่านี้ในเดือนหน้า แต่ยังไม่มีตัวเลขจำนวนโรง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับการมีโรงฉายระดับ 2,000 โรงขึ้นไปในช่วงคริสต์มาส ถ้าเสียงบอกปากต่อปากทำงาน หนังมีโอกาสทำเงินระดับ 40 ล้านเหรียญ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ดี
หนัง Big Hero 6 อยู่ในอันดับ 6 ด้วยรายได้ 6.06 ล้านเหรียญ รายได้รวมนั้นน่าประทับใจ 185.2 ล้านเหรียญ และน่าจะแซง Wreck-It Ralph ที่ทำไว้ 189.4 ล้านเหรียญได้ก่อนคริสต์มาส ส่วน Interstellar ได้เงินมาอีก 5.45 ล้านเหรียญ รายได้รวมเป็น 166.75 ล้านเหรียญ และสัปดาห์หน้ารายได้จะหล่นฮวบฮาบแน่ๆ เมื่อโรงไอแมกซ์จะมี The Hobbit: The Battle of the Five Armies เข้าฉาย
หลังการประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ มีหนังที่ได้ประโยชน์ไม่กี่เรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือหนังประวัติชีวิต สตีเฟน ฮอว์กิง The Theory of Everything ที่ยืนระยะได้เยี่ยมมาก รายได้ตกแค่ 7% ทำเงินมาอีก 2.47 ล้านเหรียญ ตอนนี้หนังได้ตังค์ไปแล้ว 17.1 ล้านเหรียญ ส่วน Wild เพิ่มโรงเป็น 166 โรง ทำรายได้ 1.53 ล้านเหรียญ ทำให้ทางฟ็อกซ์ เซิร์ชไลท์ดูจะมีความหวังกับหนัง และประกาศวันฉายวงกว้างเป็น 19 ธันวาคม ด้วยโรงอย่างน้อย 850 โรง ส่วนหนัง Birdman ของเจ้าเดียวกัน ที่เข้าชิงลูกโลกทองคำ 7 รางวัล รายไดเพิ่มขึ้น 14% ได้เงิน 1.31 ล้านเหรียญ และรายได้รวมนั้นเกิน 20 ล้านเหรียญแล้ว ทาง The Imitation Game ที่เข้าชิง 5 สาขานั้น ได้เงิน 850,262 เหรียญจาก 25 โรง คิดเป็นค่าเฉลี่ยที่น่าพอใจมากๆ 34,010 เหรียญต่อโรง การปล่อยหนังเรื่องนี้นั้น จะมาแบบเดียวกับหนัง The King's Speech ซึ่งจัดจำหน่ายโดย เดอะ ไวน์สตีน คอมพานีเหมือนกัน โดยมีกำหนดฉายในวงกว้างช่วงคริสต์มาส
หนังพอล โธมัส แอนเดอร์สัน Inherent Vice เปิดตัวแล้ว 328,184 เหรียญจาก 5 โรง คิดเป็นรายได้เฉลี่ยถึง 65,637 เหรียญต่อโรง ซึ่งดีมากๆ โดยมีหนังในปีนี้ที่ทำได้ดีกว่าก็แค่ The Grand Budapest Hotel, The Imitation Game, Birdman และ Boyhood แต่ถึงกระนั้นก็ยังต่ำกว่ารายได้เฉลี่ยของหนัง 3 เรื่องล่าสุดจากแอนเดอร์สัน โดยน้อยกว่า The Master ที่ทำไว้ 147,262 เหรียญต่อโรงเกือบครึ่ง แล้วก็ต่ำกว่า There Will Be Blood กับ Punch-Drunk Love ทางวอร์เนอร์ มีแผนจะเปิดหนังในวงกว้าง 9 มกราคมปีหน้า
ในตลาดต่างประเทศ The Hobbit: The Battle of the Five Armies เปิดตัวบ้างแล้ว และกลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดนอกอเมริกาปีนี้ เมื่อฉายใน 37 ตลาด และมีแค่ 7 ตลาดเป็นตลาดหลัก โดยทำเงินมาได้ถึง 122.2 ล้านเหรียญ ขึ้นอันดับ 1 ได้ในเยอรมัน ด้วยตัวเลข 20.5 ล้านเหรียญ และเป็นรายได้เปิดตัวที่มากที่สุดที่นี่ นอกจากนี้หนังยังเปิดตัวได้เยี่ยมที่อังกฤษ 15.2 ล้านเหรียญ, ฝรั่งเศส 15.05 ล้านเหรียญ, รัสเซีย 13.75 ล้านเหรียญ, บราซิล 6.8 ล้านเหรียญ, เม็กซิโก 6.3 ล้านเหรียญ และนิว ซีแลนด์ 1.8 ล้านเหรียญ แต่เปิดได้ไม่แรงนักที่ญี่ปุ่น (2.4 ล้านเหรียญ) ซึ่งหนังนำเข้าที่ใช้คนแสดงมักจะทำรายได้ไม่ดีนักที่นี่
กับการเปิดตัวในตลาดเหล่านี้ The Battle of the Five Armies ทำได้ดีกว่าหนังสองภาคก่อน ที่ต่างก็ปิดรายได้นอกอเมริกาเกิน 700 ล้านเหรียญทั้งคู่ เมื่อมองดูจากตัวเลขตรงนี้แล้ว Five Armies น่าจะทำได้ดีกว่า สัปดาห์หน้าหนังจะเปิดตัวที่ อิตาลี และเากหลีใต้ ก่อนจะเข้าฉายในออสเตรเลีย 26 ธันวาคม แล้วเดือนมกราคมถึงเปิดตัวในจีน
Exodus: Gods and Kings ได้เงินมาอีก 18.5 ล้านเหรียญ รายได้รวมตอนนี้อยู่ที่ 50 ล้านเหรียญ หนังนั้นไปได้ดีที่เกาหลีใต้ (3.2 ล้านเหรียญ) และเม็กซิโก (2.2 ล้านเหรียญ) และเปิดตัวได้ดีที่ไต้หวัน (1.7 ล้านเหรียญ) โดยที่มีตลาดให้เปิดตัวอีกเพียบ
กับ 86 ตลาด The Hunger Games: Mockingjay - Part 1 ทำเงินมาได้ 16 ล้านเหรียญ รายได้รวม334 ล้านเหรียญแล้ว และยังไม่เปิดตัวในจีนกับญี่ปุ่น กับการยืนระยะ และทำได้ดีขนาดนี้ ทำให้ไลออนเกทส์ทำเงินในตลาดต่างประเทศไปแล้วพันล้านเหรียญสำหรับปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่สามติดต่อกันแล้วที่ทำได้
Penguins of Madagascar ทำเงิน 14.7 ล้านเหรียญจาก 51 ตลาด รายได้รวมนั้นขยับเป็น 116 ล้านเหรียญ โดยเก็บรายได้ที่จีนถึงกว่า 40 ล้านเหรียญ มากกว่า Madagascar 3: Europe's Most Wanted ประมาณ 10 ล้านเหรียญ หนังจะเปิดตัวที่ฝรังเศส และเม็กซิโกในสุดสัปดาห์หน้า
อ่านแล้วชอบคลิกไลคได้ที่
www.facebook.com/Sadaos
Exodus ขึ้นอันดับ 1 แบบจืดๆ รายได้ไม่สมกับเป็นทั้ง God และ King หนังทำเงินอเมริกาสุดสัปดาห์นี้
(แปล/ เรียบเรียงจาก www.boxofficemojo.com)
แม้จะขึ้นอันดับ 1 ได้ไม่ยากนัก แต่กับตัวเลขรายได้ ถือว่า Exodus: Gods and Kings พลาดเป้าไปไม่ใช่น้อย กับการเปิดตัวในสุดสัปดาห์ที่หงอยๆ อีกสัปดาห์หนึ่งของปีนี้ ขณะที่หนัง Top Five ของคริส ร็อค ถือว่าออกตัวใช้ได้ ส่วนหนังใหม่ของพอล โธมัส แอนเดอร์สัน Inherent Vice ก็ไปได้ดีกับการฉายไม่กี่โรงที่นิว ยอร์ค และแอลเอ
หนัง 12 อันดับแรกของสัปดาห์นี้ ทำเงินรวมกัน 76.7 ล้านเหรียญ ไม่น่าแปลกใจที่จะกลายเป็นสัปดาห์หงอยๆ อีกแล้วในปีนี้ และต่อให้สภาพดีขึ้นมาได้ในสัปดาห์หน้า เดือนธันวาคมปีนี้ ก็ไม่พ้นเป็นหนึ่งในเดือนธันวาคมที่แย่ที่สุดสำหรับวงการภาพยนตร์
เปิดตัวด้วย 3,503 โรง Exodus: Gods and Kings ทำรายได้ 24.1 ล้านเหรียญ ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับบรรดาหนังศาสนาที่เปิดตัวฉายก่อนหน้านี้ เมื่อทำรายได้ต่ำกว่า Noah เกือบๆ 20 ล้านเหรียญ และถือว่าพอๆ กับหนังที่ลงทุนน้อยกว่าเยอะอย่าง Son of God แต่ถึงจะเป็นหนังแนวเดียว แต่ก็ไม่อาจจะเอามาเปรียบกันได้ตรงๆ เพราะนี่คือการเปิดตัวในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเดือนที่หงอยๆ อยู่แล้วตามปกติ ซึ่งหากเทียบกับหนังที่เปิดตัวในเดือนนี้เรื่องอื่นๆ Exodus ก็ไม่ได้ทำดีกว่ากันสักเท่าไหร่ เมื่อรายได้นั้นพอๆ กับ The Chronicles of Narnia: The Voyage of the Dawn Treader (24 ล้านเหรียญ) และ The Golden Compass (25.8 ล้านเหรียญ) แม้จะไม่ใช่การเปิดตัวที่ดี แต่ก็เร็วเกินไปหากจะสรุปว่าหนังเรื่องนี้จบเห่แล้ว เพราะถ้ายืนระยะได้แบบเดียวกับหนัง Narnia เรื่องที่สาม Exodus หนังมีโอกาสแซงรายได้รวมของ Noah ที่ 101.2 ล้านเหรียญได้สำเร็จ ซึ่งถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่เยี่ยมยอดแล้ว เมื่อมองไปถึงความเป็นไปได้ของหนังนอกอเมริกาด้วย
แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีเหตุผลที่ทำให้มองได้ว่า หนังอาจจะยืนระยะได้ไม่ดีขนาดนั้น เมื่อคะแนนจากการวิจารณ์ไม่สวยเลย (27% จากเว็บมะเขือเน่า) และปากต่อปากก็ไม่น่าจะดี เมื่อได้คะแนนซีนีมาสกอร์แค่ B- ทำให้โอกาสของหนังนั้นน่าจะไปเหมือนกับ The Golden Compass ซึ่งทำเงินไม่ถึง 70 ล้านเหรียญมากกว่า และนั่นก็คือตัวเลขที่น่าผิดหวัง ด้วยเหตุนี้เป็นไปได้ว่า หนัง Exodus น่าจะจบตรงกลางระหว่างหนังทั้ง 2 เรื่องที่ว่า ซึ่งก็จะไปคล้ายๆ กับหนัง The Hobbit 2 ภาคก่อน ซึ่งเปิดตัวในสัปดาห์เดียวกันนี้ เมื่อ 2 ปีก่อน และจบรายได้ที่ 85 – 90 ล้านเหรียญ
คนดูของหนังนั้น 54% เป็นผู้ชาย และ 65% อายุมากกว่า 25 ปี รายได้ของ 3 มิติคิดเป็น 44% ของทั้งหมด ซึ่งถือว่ามากกว่าค่าเฉลี่ยตามปกติ
อันดับ 2 เป็น The Hunger Games: Mockingjay - Part 1 รายได้ตก 42% ทำเงิน 12.7 ล้านเหรียญ ซึ่งต่ำกว่า Catching Fire ที่ทำไว้ 13.7 ล้านเหรียญในสัปดาห์ที่สี่เล็กน้อย และถือว่าเป็นที่น่าพอใจเมื่อมองย้อนไปถึงรายได้ที่ต่ำกว่าของหนังในสองสัปดาห์แรก มาถึงตอนนี้ Mockingjay ฟันรายได้ไปแล้ว 276.9 ล้านเหรียญ หากเป็นไปตามอัตราการยืนระยะของ Catching Fire นับจากนี้ หนังน่าจะกลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดของปีนี้ด้วยรายได้ 335 ล้านเหรียญเป็นอย่างน้อย
Penguins of Madagascar ได้เงินมาอีก 7.2 ล้านเหรียญ ตกจากสัปดาห์ที่แล้ว 34% รายได้รวมนั้นอยู่ที่ 58.7 ล้านเหรียญ ต่ำกว่า Rise of the Guardians จากระยะเวลาฉายเท่าๆ กัน 3 ล้านเหรียญ และกับการที่หนังครอบครัวจะแห่กันออกมาอีกในสัปดาห์ต่อๆ ไป Penguins คงเหนื่อยสาหัสกับการทำรายได้ให้ถึง 90 ล้านเหรียญ
เปิดตัวแค่ 979 โรง หนัง Top Five ของคริส ร็อค ได้เงิน 6.9 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าหนังเรื่องก่อนหน้าที่ร็อคกำกับ I Think I Love My Wife ที่ทำไว้ 5.7 ล้านเหรียญ ทั้งๆ ที่ได้โรงฉายมากกว่าเรื่องนี้เกือบๆ 2 เท่า แต่ชะตากรรมของหนังเรื่องนี้นั้น คงต้องดูกันยาวๆ เพราะทางพาราเมาท์จะเปิดหนังในวงกว้างกว่านี้ในเดือนหน้า แต่ยังไม่มีตัวเลขจำนวนโรง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับการมีโรงฉายระดับ 2,000 โรงขึ้นไปในช่วงคริสต์มาส ถ้าเสียงบอกปากต่อปากทำงาน หนังมีโอกาสทำเงินระดับ 40 ล้านเหรียญ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ดี
หนัง Big Hero 6 อยู่ในอันดับ 6 ด้วยรายได้ 6.06 ล้านเหรียญ รายได้รวมนั้นน่าประทับใจ 185.2 ล้านเหรียญ และน่าจะแซง Wreck-It Ralph ที่ทำไว้ 189.4 ล้านเหรียญได้ก่อนคริสต์มาส ส่วน Interstellar ได้เงินมาอีก 5.45 ล้านเหรียญ รายได้รวมเป็น 166.75 ล้านเหรียญ และสัปดาห์หน้ารายได้จะหล่นฮวบฮาบแน่ๆ เมื่อโรงไอแมกซ์จะมี The Hobbit: The Battle of the Five Armies เข้าฉาย
หลังการประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ มีหนังที่ได้ประโยชน์ไม่กี่เรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือหนังประวัติชีวิต สตีเฟน ฮอว์กิง The Theory of Everything ที่ยืนระยะได้เยี่ยมมาก รายได้ตกแค่ 7% ทำเงินมาอีก 2.47 ล้านเหรียญ ตอนนี้หนังได้ตังค์ไปแล้ว 17.1 ล้านเหรียญ ส่วน Wild เพิ่มโรงเป็น 166 โรง ทำรายได้ 1.53 ล้านเหรียญ ทำให้ทางฟ็อกซ์ เซิร์ชไลท์ดูจะมีความหวังกับหนัง และประกาศวันฉายวงกว้างเป็น 19 ธันวาคม ด้วยโรงอย่างน้อย 850 โรง ส่วนหนัง Birdman ของเจ้าเดียวกัน ที่เข้าชิงลูกโลกทองคำ 7 รางวัล รายไดเพิ่มขึ้น 14% ได้เงิน 1.31 ล้านเหรียญ และรายได้รวมนั้นเกิน 20 ล้านเหรียญแล้ว ทาง The Imitation Game ที่เข้าชิง 5 สาขานั้น ได้เงิน 850,262 เหรียญจาก 25 โรง คิดเป็นค่าเฉลี่ยที่น่าพอใจมากๆ 34,010 เหรียญต่อโรง การปล่อยหนังเรื่องนี้นั้น จะมาแบบเดียวกับหนัง The King's Speech ซึ่งจัดจำหน่ายโดย เดอะ ไวน์สตีน คอมพานีเหมือนกัน โดยมีกำหนดฉายในวงกว้างช่วงคริสต์มาส
หนังพอล โธมัส แอนเดอร์สัน Inherent Vice เปิดตัวแล้ว 328,184 เหรียญจาก 5 โรง คิดเป็นรายได้เฉลี่ยถึง 65,637 เหรียญต่อโรง ซึ่งดีมากๆ โดยมีหนังในปีนี้ที่ทำได้ดีกว่าก็แค่ The Grand Budapest Hotel, The Imitation Game, Birdman และ Boyhood แต่ถึงกระนั้นก็ยังต่ำกว่ารายได้เฉลี่ยของหนัง 3 เรื่องล่าสุดจากแอนเดอร์สัน โดยน้อยกว่า The Master ที่ทำไว้ 147,262 เหรียญต่อโรงเกือบครึ่ง แล้วก็ต่ำกว่า There Will Be Blood กับ Punch-Drunk Love ทางวอร์เนอร์ มีแผนจะเปิดหนังในวงกว้าง 9 มกราคมปีหน้า
ในตลาดต่างประเทศ The Hobbit: The Battle of the Five Armies เปิดตัวบ้างแล้ว และกลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดนอกอเมริกาปีนี้ เมื่อฉายใน 37 ตลาด และมีแค่ 7 ตลาดเป็นตลาดหลัก โดยทำเงินมาได้ถึง 122.2 ล้านเหรียญ ขึ้นอันดับ 1 ได้ในเยอรมัน ด้วยตัวเลข 20.5 ล้านเหรียญ และเป็นรายได้เปิดตัวที่มากที่สุดที่นี่ นอกจากนี้หนังยังเปิดตัวได้เยี่ยมที่อังกฤษ 15.2 ล้านเหรียญ, ฝรั่งเศส 15.05 ล้านเหรียญ, รัสเซีย 13.75 ล้านเหรียญ, บราซิล 6.8 ล้านเหรียญ, เม็กซิโก 6.3 ล้านเหรียญ และนิว ซีแลนด์ 1.8 ล้านเหรียญ แต่เปิดได้ไม่แรงนักที่ญี่ปุ่น (2.4 ล้านเหรียญ) ซึ่งหนังนำเข้าที่ใช้คนแสดงมักจะทำรายได้ไม่ดีนักที่นี่
กับการเปิดตัวในตลาดเหล่านี้ The Battle of the Five Armies ทำได้ดีกว่าหนังสองภาคก่อน ที่ต่างก็ปิดรายได้นอกอเมริกาเกิน 700 ล้านเหรียญทั้งคู่ เมื่อมองดูจากตัวเลขตรงนี้แล้ว Five Armies น่าจะทำได้ดีกว่า สัปดาห์หน้าหนังจะเปิดตัวที่ อิตาลี และเากหลีใต้ ก่อนจะเข้าฉายในออสเตรเลีย 26 ธันวาคม แล้วเดือนมกราคมถึงเปิดตัวในจีน
Exodus: Gods and Kings ได้เงินมาอีก 18.5 ล้านเหรียญ รายได้รวมตอนนี้อยู่ที่ 50 ล้านเหรียญ หนังนั้นไปได้ดีที่เกาหลีใต้ (3.2 ล้านเหรียญ) และเม็กซิโก (2.2 ล้านเหรียญ) และเปิดตัวได้ดีที่ไต้หวัน (1.7 ล้านเหรียญ) โดยที่มีตลาดให้เปิดตัวอีกเพียบ
กับ 86 ตลาด The Hunger Games: Mockingjay - Part 1 ทำเงินมาได้ 16 ล้านเหรียญ รายได้รวม334 ล้านเหรียญแล้ว และยังไม่เปิดตัวในจีนกับญี่ปุ่น กับการยืนระยะ และทำได้ดีขนาดนี้ ทำให้ไลออนเกทส์ทำเงินในตลาดต่างประเทศไปแล้วพันล้านเหรียญสำหรับปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่สามติดต่อกันแล้วที่ทำได้
Penguins of Madagascar ทำเงิน 14.7 ล้านเหรียญจาก 51 ตลาด รายได้รวมนั้นขยับเป็น 116 ล้านเหรียญ โดยเก็บรายได้ที่จีนถึงกว่า 40 ล้านเหรียญ มากกว่า Madagascar 3: Europe's Most Wanted ประมาณ 10 ล้านเหรียญ หนังจะเปิดตัวที่ฝรังเศส และเม็กซิโกในสุดสัปดาห์หน้า
อ่านแล้วชอบคลิกไลคได้ที่ www.facebook.com/Sadaos