แนวเรื่อง : ระทึกขวัญ/สยองขวัญ
ผู้แต่ง : Phakin (ภาคิน)
ด้วยความ "ปราถนา" และ "ความรู้สึก" ที่ต่างกัน
"โชคชะตา" จึงกำหนด "เวลา" ให้พวกเขาได้มาเจอกัน
เส้นทางของ "ความลับ" และ "ปริศนา" ที่ทอดยาวเบื้องหน้า
ปลายทางคือ "หมู่บ้านเงาจันทร์"
บทที่ 1 : จุดเริ่มต้นของโชคชะตา
ท่ามกลางความมืดมิด และเหน็บหนาวของค่ำคืน แผ่นฟ้าถูกห่มคลุมด้วยผืนผ้าสีนิล แห่งรัตติกาล เหล่าดวงดาราไม่ได้อวดประกายของตัวเองอย่างเต็มที่นัก ด้วยอิทธิพลแห่งแสงสีเหลืองนวลของดวงจันทร์วันเพ็ญ เสมือนเป็นภาพจิตกรรมของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค
แล้วความเงียบงันก็ถูกทำลายลง เสียงหอบหายใจอันอิดโรย แฝงเร้นไปด้วยความหวาดกลัว ดังขึ้นท่ามกลางป่าเขา และผืนพงไพรเบื้องล่าง แม้ว่าจะเป็นเวลาแห่งค่ำคืน หากแต่แสงจากดวงจันทร์ก็สว่างไสวพอจะส่องให้เห็นร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวขมุกขมัวไปด้วยคราบไคลแห่งผืนธรณี ร่องรอยขาดวิ่นบนเนื้อผ้า เผยให้เห็นถึงเนื้อหนังมังสาอันเต็มไปด้วยบาดแผล และรอยเลือดสีแดงเข้ม
เสียงฝีเท้าเงียบลง พร้อมกับที่เด็กหนุ่มหยุดวิ่ง ก้มตัวลงจับหัวเข่า หอบหายใจจนตัวโยน แต่มันก็เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นที่ได้หยุดพักจากเกมไล่ล่า โดยมีชีวิตของตนเองเป็นเดิมพัน เด็กหนุ่มผู้อิดโรยหันมองทางเสียงสวบสาบของเหล่าสุมทุมพุ่มพฤกษ์ซึ่งดังไล่เข้ามาจากข้างหลัง เสียงหัวเราะอันเย็นเฉียบของมัจจุราชดังสะท้อนไปทั่วทั้งป่าเขา เด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่า เขาคงหยุดพักต่อไม่ได้ แม้ลมหายใจแทบขาดห้วงแล้วก็ตาม ของเหลวข้นคลั่กฉาบย้อมเสื้อสีขาวบริเวณที่เนื้อหนังมังสาเปิดอ้าออกจนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ความเจ็บปวดกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบความหวาดกลัวที่กำลังเกาะกินอยู่ในใจ
สัญชาตญาณของการเอาตัวรอดเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ เด็กหนุ่มผู้ถูกไล่ล่าก้าวขาออกวิ่งอย่างสุดชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด เขาต้องหนี หนีให้พ้นจากแขกไม่ได้รับเชิญที่กำลังใกล้เข้ามา... มันผู้ถูกขนานนามว่า ‘ความตาย’
ไม่มีเวลาให้สงสัย ไม่มีเวลาให้ฉุกคิด สิ่งที่เหยื่อผู้ถูกล่าจะทำได้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้ คือวิ่งเข้าไปในแนวป่าทึบเบื้องหน้าด้วยความหวังริบหรี่ ให้มีสักที่ได้หลบเร้นเฟ้นกาย บรรเทาความเหนื่อยล้าอันมากจนกลายเป็นความทรมาน พร้อมกับซื้อเวลาให้คิดหาหนทางรอด หากแต่สิ่งที่กำลังไล่ล่าเพื่อช่วงชิงชีวิตของเด็กหนุ่มนั้น กลับไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเช่นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป มันยังคงดำเนินการล่าอย่างไม่ลดละความพยายาม พลางเร้นตัวอยู่ในความมืดมิดของเหล่าสุมทุมพุ่มไม้ คล้ายนายพรานกำลังหยอกล้อกับกระต่ายซึ่งตกเป็นเหยื่อ โดยไม่เผยตัวตนให้ถูกพบเห็น
เสียงสวบสาบของกิ่งไม้ใบหญ้าดังไล่หลังตามมาอย่างติด ๆ ไม่มีทีท่าจะลดละความกระหายในการช่วงชิงชีวิตของเหยื่อให้ด่าวดิ้นอย่างสาแก่ใจ มันคงไม่ลังเลจะมอบความตายให้เด็กหนุ่ม เป็นบรรณาการตอบแทนความบันเทิงซึ่งแลกด้วยชีวิตให้แก่มัน
ความอิดโรยของร่างกายได้เข้ามาทวงถามค่าตอบแทนจากการทำงานอย่างหนักภายใต้สภาวะแห่งความกลัวอันถูกบีบคั้นด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด แม้ร่างกายจะยังคงวิ่งอยู่อย่างไม่คิดชีวิต หากแต่สติของเขาต่างหากที่กำลังจะเลือนรางหายไป กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายเริ่มอ่อนล้า การทำงานเริ่มช้าลง ลมหายใจขาดห้วงไม่เป็นจังหวะ ช่องอกรู้สึกแน่น และอึดอัดขึ้น คล้ายกับถูกกดทับด้วยทุ่นเหล็ก ภาพวิวทิวทัศน์โดยรอบที่ผ่านดวงตากลับเลือนรางลง จนกลายเป็นแค่ภาพมัว ๆ ไม่สามารถบรรยายได้
เด็กหนุ่มทรุดลงกองกับพื้น ราวกับตุ๊กตาไร้ชีวิตซึ่งหมดพลังงาน... ความตายกำลังคืบคลานใกล้เข้ามาจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจสาบสางของมัน แม้จิตใต้สำนึกจะยังคงสั่งให้วิ่งต่อ ตราบเท่าที่ทุกส่วนสัดในร่างกายยังไม่ถูกกระชากขาดออกจากกัน แต่เขาคงจะไม่ไหวแล้วจริง ๆ ที่ผ่านมาความกลัวกระตุ้นให้ หัวใจ สมอง และร่างกายทำงานอย่างหนักจนเลยขีดความสามารถของมันมามากแล้ว ร่างของเด็กหนุ่มทรุดตัวลงนอนกับพื้น เฉกเช่นเดียวกับหุ่นเชิดที่ด้ายชักถูกตัดขาด…มันคงจะจบแล้วจริง ๆ
ห้วงความคิดสุดท้าย ของร่างกายที่ยังหายใจอยู่อย่างรวยริน หวนย้อนถึงใบหน้าของคนที่เขารัก...ใบหน้าของผู้เป็นพ่อ พร้อมกับสายน้ำตาพรั่งพรูออกมาเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตอันแสนสั้น
“พ่อ... ช่วยผมด้วย” เด็กหนุ่มเปล่งเสียงออกมาแผ่วเบาจนแทบจะเป็นเพียงเสียงกระซิบ พยายามกวาดสายตามองหาพญามัจจุราชผู้หิวกระหายความตายอีกครั้งท่ามกลางความมืดของแนวป่า ในหัวคิดวนเวียนถึงภาพสุดสยองต่าง ๆ นานา ทำได้เพียงคาดเดาว่า เมื่อยมทูตไล่ตามมาทัน มันจะมอบความตายแบบใดให้
มันจะฉีกกระชากตัวของเขาให้ขาดออกจากกัน จนเสียงร้องโหยหวนดังสะท้อนก้องไปทั่วทั้งป่า หรือจะมอบเพียงความตายอย่างสงบ ให้เป็นรางวัลแด่ผู้แพ้ในเกมการไล่ล่านี้
ร่างกายไร้กำลังของเด็กหนุ่มนอนแผ่หลาแนบอิงกับความเย็นเยือกของผืนธรณี ไม่ต่างอะไรมากไปกว่าลูกกวางที่ต้องนอนทอดร่างอย่างไม่เต็มใจ ได้แต่รอให้นายพรานมาชำแหละแซะเนื้อให้ตายทั้งยังเป็น ๆ
เขาคงได้แต่ภาวนาให้มันจบแบบที่ไม่ต้องเจ็บปวด... สักที
ชั่วแวบหนึ่งก่อนเปลือกตาจะปิดลง เด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นแสงไฟสีส้มอยู่ทางด้านหลังของแนวป่าเบื้องหน้า
“คน... ใช่แล้วมันต้องมีคน” เขาคิดในใจ ความหวังเล็ก ๆ ผุดขึ้นเหมือนแสงซึ่งสว่างวาบท่ามกลางถ้ำอันมืดมิด
อีกครั้งที่สมองถูกกระตุ้นให้หลั่งสารอีพีเนฟรีน เพื่อหาทางรอดจากอุ้งหัตถ์ของพญามัจจุราช เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นแล้วออกวิ่งอย่างทุลักทุเล ความหวังแห่งหนทางรอดชีวิตฉาบฉายอยู่ในดวงตาที่เบิกมองไปยังต้นตอของแสง... คล้ายกลัวว่ามันจะเลือนหายไป
เมื่อหัวใจเปี่ยมชื้นไปด้วยหยาดฝนแห่งความหวังที่จะมีชีวิตรอด... กำลังวังชาซึ่งถูกซ่อนเร้นเหมือนกับจะถูกดึงออกมาใช้ เด็กหนุ่มวิ่งต่อไปจนแสงไฟที่เห็นค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น ประหนึ่งแสงอาทิตย์ซึ่งจะขับไล่ และปัดส่งพญามัจจุราชผู้เหี้ยมโหดกลับลงสู่อเวจีขุมลึกสุด
รางวัลแห่งความสำเร็จกำลังนั่งไขว่ห้างรอคอยอยู่เบื้องหน้า ภาพเงาเลือนรางของหมู่บ้านซึ่งไม่เคยรู้จักปรากฏขึ้นจาง ๆ ทางด้านหลังของคบเพลิง ซึ่งกำลังเต้นเร่าอย่างเอาเป็นเอาตายในความมืด... ห่างไปเพียงไม่กี่เอื้อมมือ
“อีกเพียงนิดเดียว” ร่างหนุ่มแน่นของเขาพุ่งตัวเข้าไปในหมู่บ้าน ไม่ต่างอะไรกับเด็กหัดเดินที่โถมตัวเข้าใส่อ้อมกอดอันอบอุ่นเมื่อเดินถึงตัวของผู้เป็นแม่ หากแต่ยามไร้คนคอยประคอง ร่างกายนั้นจึงหล่นวูบลงกองกับพื้นอีกครั้ง
ดูเหมือนจะถึงขีดจำกัดของเขาแล้วจริง ๆ
ไม่มีความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผลเหวอะหวะตามร่างกาย มีเพียงแค่ความหนักอึ้งของเปลือกตาซึ่งกำลังเคลื่อนตัวปิดลงช้า ๆ โดยไม่สามารถฝืนไว้ได้ แต่ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับมืดลง เด็กหนุ่มก็ยังได้เห็นชื่อของหมู่บ้านถูกสลักเป็นร่องไว้บนแผ่นไม้หงิกงอเบื้องหน้า
ความมืดเข้าปกคลุมทุกความรู้สึก ทิ้งไว้เพียงแค่ร่างกายทรุดโทรมบนฟูกธรณี พร้อมกับรอยยิ้มเล็ก ๆ ของผู้รอดชีวิตเปรอะเปื้อนอยู่บนใบหน้า ณ ผืนดินแห่ง ‘หมู่บ้านเงาจันทร์’
...
เสียงแกรกกรากของธาตุคาร์บอนสีดำบนปลายดินสอ ที่ถูกขูดขีดบนพื้นผิวของกระดาษสีขาวได้หยุดลงแล้ว เบื้องหน้าของพวกมัน คือเด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดา ‘มนต์’ วางดินสอลงกับโต๊ะ ก่อนจะยกสองมือขึ้นเหนือหัว บิดตัวไปมาทางซ้ายที ขวาที ขับไล่ความเมื่อยล้าให้พ้นไปจากร่างกาย... กลับจากโลกแห่งจินตนาการ สู่โลกแห่งความเป็นจริง
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน พร้อมหยิบสมุดโน้ตซึ่งเพิ่งจะเขียนจบเมื่อสักครู่ขึ้นมาดู บนกระดาษความยาวกว่าสี่หน้า ตัวอักษรนับพันถูกขีดเขียนขึ้นจากจินตนาการในห้วงนิทราที่ทำให้ต้องสะดุ้งตัวตื่นขึ้นกลางดึก ทุกอารมณ์ ทุกความรู้สึก รวมทั้งความเหนื่อยล้าของร่างกาย มันเด่นชัดราวกับเรื่องจริง
จากภาพในความฝัน สู่ลำนำแห่งการเรียงร้อยถ้อยอักษร คงเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของคนอยากเป็นนักประพันธ์ ที่ทำให้ต้องหยิบดินสอมาขีดเขียนเช่นนี้ ถึงแม้ความฝันนั้นจะทำให้ต้องตื่นมาพร้อมกับอาการใจเต้นรัว และหอบจนตัวโยนก็ตามที
มนต์เองยังอยากจะนอนหลับต่ออีกสักหน่อย หากแต่ความง่วงงุนได้มลายหายไปหมดสิ้นแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่เวลานี้มีเพียงความคิดคำนึงซึ่งเกิดขึ้นจากภาพฝันอันน่ากลัวเท่านั้น
‘มนต์’ เด็กหนุ่มผู้กำพร้าแม่ จากถิ่นฐานบ้านเกิดสู่ตัวเมืองหลวง มหานครแห่งความสับสน และวุ่นวาย เขาไม่ได้ดั้นด้นจากบ้านมา เพื่อแสวงหาโชคลาภ หรือโอกาสอย่างที่หลายคนคิด หลายคนทำ แต่มาเพื่อร่ำเรียนมหาวิทยาลัยตามพ่อต้องการ ถึแม้จะไม่ใช่ความต้องการของตนก็ตามที เขาไม่ได้มีความสนใจที่จะเรียนจนจบอย่างยากลำบาก เพื่อมานั่งทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แลกกับเศษเงินเพียงน้อยนิดของเหล่านายทุนห้างร้าน ใช้ต่อชีวิตให้ผ่านพ้นไปได้ในแต่ละวัน
มนต์ไม่ได้ต้องการจะมีชื่อเสียง หรือมีเงินทองร่ำรวย จนกลายเป็นผู้ที่มนุษย์งาน เรียกว่า ‘ผู้ประสบความสำเร็จ’ สิ่งที่เขาต้องการก็แค่ได้นำพาตัวเองไปยังสถานที่ และสังคมอันแตกต่าง เพื่อหาข้อมูลเขียนเรื่องราว ให้ผู้คนมากมายซึ่งกำลังแก่งแย่งแข่งขันกันอย่างวุ่นวายกับการเผชิญชีวิตในสังคม ชนิดที่ไม่ต่างอะไรกันกับยุคสงครามในสมัยก่อน เพียงแต่เปลี่ยนจากมีดดาบในมือ มาถือมีดดาบในใจ เข้าห้ำหั่นกันทั้งยังสวมหน้ากาเปื้อนยิ้ม แลกกับสิ่งเลอค่าที่เรียกว่า ‘เงิน’ ได้อ่านบ้างก็เท่านั้นเอง
---ต่อด้านล่างครับ---
หมู่บ้านเงาจันทร์ (Village of lunar's shadow) - ตอนที่ 1 [mystery-thiller]
ผู้แต่ง : Phakin (ภาคิน)
"โชคชะตา" จึงกำหนด "เวลา" ให้พวกเขาได้มาเจอกัน
เส้นทางของ "ความลับ" และ "ปริศนา" ที่ทอดยาวเบื้องหน้า
ปลายทางคือ "หมู่บ้านเงาจันทร์"
- https://www.facebook.com/phakin.uttabolyukol
ท่ามกลางความมืดมิด และเหน็บหนาวของค่ำคืน แผ่นฟ้าถูกห่มคลุมด้วยผืนผ้าสีนิล แห่งรัตติกาล เหล่าดวงดาราไม่ได้อวดประกายของตัวเองอย่างเต็มที่นัก ด้วยอิทธิพลแห่งแสงสีเหลืองนวลของดวงจันทร์วันเพ็ญ เสมือนเป็นภาพจิตกรรมของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค
แล้วความเงียบงันก็ถูกทำลายลง เสียงหอบหายใจอันอิดโรย แฝงเร้นไปด้วยความหวาดกลัว ดังขึ้นท่ามกลางป่าเขา และผืนพงไพรเบื้องล่าง แม้ว่าจะเป็นเวลาแห่งค่ำคืน หากแต่แสงจากดวงจันทร์ก็สว่างไสวพอจะส่องให้เห็นร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวขมุกขมัวไปด้วยคราบไคลแห่งผืนธรณี ร่องรอยขาดวิ่นบนเนื้อผ้า เผยให้เห็นถึงเนื้อหนังมังสาอันเต็มไปด้วยบาดแผล และรอยเลือดสีแดงเข้ม
เสียงฝีเท้าเงียบลง พร้อมกับที่เด็กหนุ่มหยุดวิ่ง ก้มตัวลงจับหัวเข่า หอบหายใจจนตัวโยน แต่มันก็เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นที่ได้หยุดพักจากเกมไล่ล่า โดยมีชีวิตของตนเองเป็นเดิมพัน เด็กหนุ่มผู้อิดโรยหันมองทางเสียงสวบสาบของเหล่าสุมทุมพุ่มพฤกษ์ซึ่งดังไล่เข้ามาจากข้างหลัง เสียงหัวเราะอันเย็นเฉียบของมัจจุราชดังสะท้อนไปทั่วทั้งป่าเขา เด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่า เขาคงหยุดพักต่อไม่ได้ แม้ลมหายใจแทบขาดห้วงแล้วก็ตาม ของเหลวข้นคลั่กฉาบย้อมเสื้อสีขาวบริเวณที่เนื้อหนังมังสาเปิดอ้าออกจนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ความเจ็บปวดกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบความหวาดกลัวที่กำลังเกาะกินอยู่ในใจ
สัญชาตญาณของการเอาตัวรอดเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ เด็กหนุ่มผู้ถูกไล่ล่าก้าวขาออกวิ่งอย่างสุดชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด เขาต้องหนี หนีให้พ้นจากแขกไม่ได้รับเชิญที่กำลังใกล้เข้ามา... มันผู้ถูกขนานนามว่า ‘ความตาย’
ไม่มีเวลาให้สงสัย ไม่มีเวลาให้ฉุกคิด สิ่งที่เหยื่อผู้ถูกล่าจะทำได้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้ คือวิ่งเข้าไปในแนวป่าทึบเบื้องหน้าด้วยความหวังริบหรี่ ให้มีสักที่ได้หลบเร้นเฟ้นกาย บรรเทาความเหนื่อยล้าอันมากจนกลายเป็นความทรมาน พร้อมกับซื้อเวลาให้คิดหาหนทางรอด หากแต่สิ่งที่กำลังไล่ล่าเพื่อช่วงชิงชีวิตของเด็กหนุ่มนั้น กลับไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเช่นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป มันยังคงดำเนินการล่าอย่างไม่ลดละความพยายาม พลางเร้นตัวอยู่ในความมืดมิดของเหล่าสุมทุมพุ่มไม้ คล้ายนายพรานกำลังหยอกล้อกับกระต่ายซึ่งตกเป็นเหยื่อ โดยไม่เผยตัวตนให้ถูกพบเห็น
เสียงสวบสาบของกิ่งไม้ใบหญ้าดังไล่หลังตามมาอย่างติด ๆ ไม่มีทีท่าจะลดละความกระหายในการช่วงชิงชีวิตของเหยื่อให้ด่าวดิ้นอย่างสาแก่ใจ มันคงไม่ลังเลจะมอบความตายให้เด็กหนุ่ม เป็นบรรณาการตอบแทนความบันเทิงซึ่งแลกด้วยชีวิตให้แก่มัน
ความอิดโรยของร่างกายได้เข้ามาทวงถามค่าตอบแทนจากการทำงานอย่างหนักภายใต้สภาวะแห่งความกลัวอันถูกบีบคั้นด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด แม้ร่างกายจะยังคงวิ่งอยู่อย่างไม่คิดชีวิต หากแต่สติของเขาต่างหากที่กำลังจะเลือนรางหายไป กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายเริ่มอ่อนล้า การทำงานเริ่มช้าลง ลมหายใจขาดห้วงไม่เป็นจังหวะ ช่องอกรู้สึกแน่น และอึดอัดขึ้น คล้ายกับถูกกดทับด้วยทุ่นเหล็ก ภาพวิวทิวทัศน์โดยรอบที่ผ่านดวงตากลับเลือนรางลง จนกลายเป็นแค่ภาพมัว ๆ ไม่สามารถบรรยายได้
เด็กหนุ่มทรุดลงกองกับพื้น ราวกับตุ๊กตาไร้ชีวิตซึ่งหมดพลังงาน... ความตายกำลังคืบคลานใกล้เข้ามาจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจสาบสางของมัน แม้จิตใต้สำนึกจะยังคงสั่งให้วิ่งต่อ ตราบเท่าที่ทุกส่วนสัดในร่างกายยังไม่ถูกกระชากขาดออกจากกัน แต่เขาคงจะไม่ไหวแล้วจริง ๆ ที่ผ่านมาความกลัวกระตุ้นให้ หัวใจ สมอง และร่างกายทำงานอย่างหนักจนเลยขีดความสามารถของมันมามากแล้ว ร่างของเด็กหนุ่มทรุดตัวลงนอนกับพื้น เฉกเช่นเดียวกับหุ่นเชิดที่ด้ายชักถูกตัดขาด…มันคงจะจบแล้วจริง ๆ
ห้วงความคิดสุดท้าย ของร่างกายที่ยังหายใจอยู่อย่างรวยริน หวนย้อนถึงใบหน้าของคนที่เขารัก...ใบหน้าของผู้เป็นพ่อ พร้อมกับสายน้ำตาพรั่งพรูออกมาเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตอันแสนสั้น
“พ่อ... ช่วยผมด้วย” เด็กหนุ่มเปล่งเสียงออกมาแผ่วเบาจนแทบจะเป็นเพียงเสียงกระซิบ พยายามกวาดสายตามองหาพญามัจจุราชผู้หิวกระหายความตายอีกครั้งท่ามกลางความมืดของแนวป่า ในหัวคิดวนเวียนถึงภาพสุดสยองต่าง ๆ นานา ทำได้เพียงคาดเดาว่า เมื่อยมทูตไล่ตามมาทัน มันจะมอบความตายแบบใดให้
มันจะฉีกกระชากตัวของเขาให้ขาดออกจากกัน จนเสียงร้องโหยหวนดังสะท้อนก้องไปทั่วทั้งป่า หรือจะมอบเพียงความตายอย่างสงบ ให้เป็นรางวัลแด่ผู้แพ้ในเกมการไล่ล่านี้
ร่างกายไร้กำลังของเด็กหนุ่มนอนแผ่หลาแนบอิงกับความเย็นเยือกของผืนธรณี ไม่ต่างอะไรมากไปกว่าลูกกวางที่ต้องนอนทอดร่างอย่างไม่เต็มใจ ได้แต่รอให้นายพรานมาชำแหละแซะเนื้อให้ตายทั้งยังเป็น ๆ
เขาคงได้แต่ภาวนาให้มันจบแบบที่ไม่ต้องเจ็บปวด... สักที
ชั่วแวบหนึ่งก่อนเปลือกตาจะปิดลง เด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นแสงไฟสีส้มอยู่ทางด้านหลังของแนวป่าเบื้องหน้า
“คน... ใช่แล้วมันต้องมีคน” เขาคิดในใจ ความหวังเล็ก ๆ ผุดขึ้นเหมือนแสงซึ่งสว่างวาบท่ามกลางถ้ำอันมืดมิด
อีกครั้งที่สมองถูกกระตุ้นให้หลั่งสารอีพีเนฟรีน เพื่อหาทางรอดจากอุ้งหัตถ์ของพญามัจจุราช เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นแล้วออกวิ่งอย่างทุลักทุเล ความหวังแห่งหนทางรอดชีวิตฉาบฉายอยู่ในดวงตาที่เบิกมองไปยังต้นตอของแสง... คล้ายกลัวว่ามันจะเลือนหายไป
เมื่อหัวใจเปี่ยมชื้นไปด้วยหยาดฝนแห่งความหวังที่จะมีชีวิตรอด... กำลังวังชาซึ่งถูกซ่อนเร้นเหมือนกับจะถูกดึงออกมาใช้ เด็กหนุ่มวิ่งต่อไปจนแสงไฟที่เห็นค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น ประหนึ่งแสงอาทิตย์ซึ่งจะขับไล่ และปัดส่งพญามัจจุราชผู้เหี้ยมโหดกลับลงสู่อเวจีขุมลึกสุด
รางวัลแห่งความสำเร็จกำลังนั่งไขว่ห้างรอคอยอยู่เบื้องหน้า ภาพเงาเลือนรางของหมู่บ้านซึ่งไม่เคยรู้จักปรากฏขึ้นจาง ๆ ทางด้านหลังของคบเพลิง ซึ่งกำลังเต้นเร่าอย่างเอาเป็นเอาตายในความมืด... ห่างไปเพียงไม่กี่เอื้อมมือ
“อีกเพียงนิดเดียว” ร่างหนุ่มแน่นของเขาพุ่งตัวเข้าไปในหมู่บ้าน ไม่ต่างอะไรกับเด็กหัดเดินที่โถมตัวเข้าใส่อ้อมกอดอันอบอุ่นเมื่อเดินถึงตัวของผู้เป็นแม่ หากแต่ยามไร้คนคอยประคอง ร่างกายนั้นจึงหล่นวูบลงกองกับพื้นอีกครั้ง
ดูเหมือนจะถึงขีดจำกัดของเขาแล้วจริง ๆ
ไม่มีความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผลเหวอะหวะตามร่างกาย มีเพียงแค่ความหนักอึ้งของเปลือกตาซึ่งกำลังเคลื่อนตัวปิดลงช้า ๆ โดยไม่สามารถฝืนไว้ได้ แต่ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับมืดลง เด็กหนุ่มก็ยังได้เห็นชื่อของหมู่บ้านถูกสลักเป็นร่องไว้บนแผ่นไม้หงิกงอเบื้องหน้า
ความมืดเข้าปกคลุมทุกความรู้สึก ทิ้งไว้เพียงแค่ร่างกายทรุดโทรมบนฟูกธรณี พร้อมกับรอยยิ้มเล็ก ๆ ของผู้รอดชีวิตเปรอะเปื้อนอยู่บนใบหน้า ณ ผืนดินแห่ง ‘หมู่บ้านเงาจันทร์’
...
เสียงแกรกกรากของธาตุคาร์บอนสีดำบนปลายดินสอ ที่ถูกขูดขีดบนพื้นผิวของกระดาษสีขาวได้หยุดลงแล้ว เบื้องหน้าของพวกมัน คือเด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดา ‘มนต์’ วางดินสอลงกับโต๊ะ ก่อนจะยกสองมือขึ้นเหนือหัว บิดตัวไปมาทางซ้ายที ขวาที ขับไล่ความเมื่อยล้าให้พ้นไปจากร่างกาย... กลับจากโลกแห่งจินตนาการ สู่โลกแห่งความเป็นจริง
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน พร้อมหยิบสมุดโน้ตซึ่งเพิ่งจะเขียนจบเมื่อสักครู่ขึ้นมาดู บนกระดาษความยาวกว่าสี่หน้า ตัวอักษรนับพันถูกขีดเขียนขึ้นจากจินตนาการในห้วงนิทราที่ทำให้ต้องสะดุ้งตัวตื่นขึ้นกลางดึก ทุกอารมณ์ ทุกความรู้สึก รวมทั้งความเหนื่อยล้าของร่างกาย มันเด่นชัดราวกับเรื่องจริง
จากภาพในความฝัน สู่ลำนำแห่งการเรียงร้อยถ้อยอักษร คงเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของคนอยากเป็นนักประพันธ์ ที่ทำให้ต้องหยิบดินสอมาขีดเขียนเช่นนี้ ถึงแม้ความฝันนั้นจะทำให้ต้องตื่นมาพร้อมกับอาการใจเต้นรัว และหอบจนตัวโยนก็ตามที
มนต์เองยังอยากจะนอนหลับต่ออีกสักหน่อย หากแต่ความง่วงงุนได้มลายหายไปหมดสิ้นแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่เวลานี้มีเพียงความคิดคำนึงซึ่งเกิดขึ้นจากภาพฝันอันน่ากลัวเท่านั้น
‘มนต์’ เด็กหนุ่มผู้กำพร้าแม่ จากถิ่นฐานบ้านเกิดสู่ตัวเมืองหลวง มหานครแห่งความสับสน และวุ่นวาย เขาไม่ได้ดั้นด้นจากบ้านมา เพื่อแสวงหาโชคลาภ หรือโอกาสอย่างที่หลายคนคิด หลายคนทำ แต่มาเพื่อร่ำเรียนมหาวิทยาลัยตามพ่อต้องการ ถึแม้จะไม่ใช่ความต้องการของตนก็ตามที เขาไม่ได้มีความสนใจที่จะเรียนจนจบอย่างยากลำบาก เพื่อมานั่งทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แลกกับเศษเงินเพียงน้อยนิดของเหล่านายทุนห้างร้าน ใช้ต่อชีวิตให้ผ่านพ้นไปได้ในแต่ละวัน
มนต์ไม่ได้ต้องการจะมีชื่อเสียง หรือมีเงินทองร่ำรวย จนกลายเป็นผู้ที่มนุษย์งาน เรียกว่า ‘ผู้ประสบความสำเร็จ’ สิ่งที่เขาต้องการก็แค่ได้นำพาตัวเองไปยังสถานที่ และสังคมอันแตกต่าง เพื่อหาข้อมูลเขียนเรื่องราว ให้ผู้คนมากมายซึ่งกำลังแก่งแย่งแข่งขันกันอย่างวุ่นวายกับการเผชิญชีวิตในสังคม ชนิดที่ไม่ต่างอะไรกันกับยุคสงครามในสมัยก่อน เพียงแต่เปลี่ยนจากมีดดาบในมือ มาถือมีดดาบในใจ เข้าห้ำหั่นกันทั้งยังสวมหน้ากาเปื้อนยิ้ม แลกกับสิ่งเลอค่าที่เรียกว่า ‘เงิน’ ได้อ่านบ้างก็เท่านั้นเอง
---ต่อด้านล่างครับ---