มรดก(ร้าย)รัก : ภาค อนล : บทที่ 1

กระทู้สนทนา





บทที่ 1




    เมื่อความสว่างเรือง ค่อยไล่ให้ความมืดมิดจมหายลงไปในท้องน้ำกว้างไกล ทำให้ยามเช้าของขอบฟ้าทิศตะวันตก ให้สีสันแปลกตา

ลมทะเลเริ่มพัดเข้าสู่ฝั่ง ตอนอนลเริ่มผ่อนความเร่งของการวิ่งในขากลับ เขาวิ่งขึ้นไปตามชายหาดสุรินทร์ แล้วตอนนี้ก็วกลงมาจนเกือบถึงแหลมสิงห์

    ชายฝั่งแถบนี้ยังค่อนข้างเงียบสงบ เมื่อเทียบกับหาดป่าตองที่อยู่ถัดลงไปทิศใต้

    เสียงหนักๆ ของรองเท้ากีฬาที่ย่ำลงบนพื้นทราย ประสานกับเสียงหอบหายใจของเขาเอง

อนลวิ่งระยะไกลขนาดนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ก็นานมากแล้วที่ไม่ได้กลับมาวิ่งที่ชายหาดแห่งนี้ ทำให้กล้ามเนื้อหลายส่วนเริ่มเจ็บ หัวใจเต้นแรง และปอดอาจทำงานหนักเกินไป

    ทว่าเขากลับมีความสุข ยิ่งย้ำกับตัวเองได้ว่า... รักการวิ่งยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

    ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเองลืมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ว่า ที่นี่เคยสงบสุขขนาดไหน

เมื่อก่อน แนวป่าสนทะเลยังหนาแน่น ไม่มีถนนสายอื่น ไม่มีรถบรรทุก ไม่มีอะไรเลยนอกจาก ป่า เขาและทะเล เขาเคยเห็นกระทั่งฝูงปลาโลมาอิรวดี

    แหลมสิงห์เมื่อร่วมสามสิบปีมาแล้ว เป็นสถานสวยงามที่สุด ที่เขาจะนึกถึง

    แล้วความรู้สึกของอนลก็เปลี่ยนไป เมื่อคฤหาสน์สวยหรูหลังหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตา...

มันคือสิ่งก่อสร้างแรกๆ ที่เป็นต้นเหตุ ทำให้สถานที่อันแสนสงบแห่งนี้ เปลี่ยนไป

    ตอนแรก ก็มีเพียงถนนสายเดียวตัดเข้ามา ตรงเข้าสู่ตัวคฤหาสน์ จากนั้นการพัฒนาที่ดินก็ตามเข้ามาอีก แนวป่าถูกรุกล้ำ ชายหาดถูกเบียดบังจากนักธุรกิจจอมละโมบ...

ซึ่ง...

หนึ่งในนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนเลย...

    สถานที่ตรงหน้า ที่เขากำลังวิ่งเข้าหานี้ แลดูโบราณ เทอะทะพ้นสมัย แต่ก็เด่นตระหง่านอยู่ท่ามกลางพื้นที่รายรอบ

ฉากหลังเป็นยอดเนินของแหลมสิงห์ ถัดขึ้นไปเป็นเขตป่าอนุรักษ์ นั่น... ทำให้เขายิ่งนึกชิงชัง...

หากไม่มีคฤหาสน์เลิศไตรภพ บริเวณทั้งหมดก็คงอุดมสมบูรณ์มากกว่านี้

    อนลเหยียดริมฝีปาก ชะลอฝีเท้าลงจนกลายเป็นเดิน

    “เหอะ! ถ้าไม่ติดว่ายกให้เมนี่ จะยกเป็นป่าสงวนให้สิ้นเรื่องสิ้นราว”

    แล้วเขาก็เริ่มวิ่งเหยาะๆ มาตามขั้นบันไดแกรนิต ขึ้นสู่ลานที่ปูด้วยหินแผ่นโตๆ

    “บ้านคือ... วิมาน... วิมานของใครล่ะ...”

    เขาพึมพำ ยิ้มเฝื่อน เมื่อนึกถึงเวลาที่บิดาออกมายืนรับลม สูดหายใจให้เต็มปอด ความสุขกับสถานที่แห่งนี้เป็นที่สุด

    อนลอ้อมมาทางสระว่ายน้ำ ฉวยผ้าขนหนูขึ้นซับเหงื่อ ขณะนั่งเอนลงบนเก้าอี้นอนตัวยาว ที่จริงบ้านนี้ก็มีทุกอย่างครบถ้วน... ยกเว้น... ความเป็นบ้านแค่นั้นเอง

    นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาไม่อาจทำใจได้

และก็ดีแล้วละ ที่บิดาไม่ได้ยกให้ตน ต้องผูกติดอยู่กับมัน

แค่สัปดาห์เดียวที่ผ่านมา ก็สุดแทนจะทรมาน อนลเต็มกลืนเต็มทีแล้ว แม้จะยังตั้งสติ ทำตัวเป็นพี่ใหญ่ของบ้านได้เป็นอย่างดี

...เย็นนี้เขาก็จะไปจากที่นี้แล้ว

    ชายหนุ่มเช็ดหน้า ผ้าขนหนูผืนโตสะดุดกับแผงหนวดเคราที่ไม่ได้โกนตั้งแต่เมื่อวาน

แล้วก็นึกสนุกขึ้นมาได้ รีบถอดเสื้อกีฬาตัวเก่าตั้งแต่สมัยมัธยม ถอดกางเกงเหลือแต่ชั้นใน แล้วก็กระโดดตูมลงในสระทันที

    เขาจ้วงว่ายแบบไม่หยุด เร่งจังหวะอยู่สามสี่รอบก่อนจะผ่อนลง

รู้ว่ามันช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย แต่ถ้าบิดาเขายังอยู่ ก็คงไม่แคล้วถูกโวยวายดุว่า ทำไมไม่อาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก่อนจะลงน้ำ

    อนลเคลื่อนตัวมาทางริมสระ ด้านที่จะเห็นขอบฟ้าจรดผืนทะเลอันดามันให้ชัดเจนที่สุด

    ระบายลมหายใจยืดยาว นึกไปอีกทางหนึ่งว่า ขาดพ่อเสียแล้ว ก็เหมือนชีวิตขาดสีสันไปอีกหลายอย่าง แม้ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาความยุ่งเหยิงโกลาหล มันจะมากมายเกินต้องการก็เถอะ

    ‘ให้ตายสิพี่นล นี้มันยังกะตอนสึนามิ’

    อนิลน้องชายคนเล็ก โวยวายในเย็นวันหนึ่ง หลังจากที่เลยเวลาเลิกงานเป็นชั่วโมง แต่โทรศัพท์และโทรสาร ยังเรียกเข้ามาไม่ได้หยุด โดยสามหนุ่มมีพี่น้องนี่ละ ที่จะต้องรับสายกันมือเป็นระวิง ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง

    ‘เออสิ!’

    อรรณพเสริม เขาเป็นน้องชายคนกลางของอนล

    ‘แต่พ่อคงชอบให้มันเป็นแบบนี้ละ’

    อนลถอยกลับมาทางริมสระ ยกตัวกลับขึ้นมานอนผึ่งตัวบนเก้าอี้...

    ใช่สิ พ่อต้องชอบ ไอ้ความสับสนอลหม่าน การได้ตกเป็นเป้าสายตาของพวกเสื่อมวลชน เคเบิ้ลทีวีท้องถิ่น ถึงกับจะทำรายการถ่ายทอดสดในวันฌาปณกิจ และคงแอบถ่ายสำเร็จ ถ้าอนิลกับอรรณพไม่ไปพบเข้าเสียก่อน

    เมื่อวานทั้งภูเก็ตแทบเป็นอัมพาต ดูเหมือนรถทุกคันจะมุ่งมาเพื่อการไว้อาลัยให้กับนายเดชบดินทร์ เลิศไตรภพโดยเฉพาะ

นั่นก็เป็นอีกอย่าง ที่บิดาของอนล น่าจะภาคภูมิใจเสียยิ่งกว่าอะไร

    แต่เขาไม่ชอบเลย กับบารมีคับฟ้าอย่างนั้น รู้ดีว่าบิดาได้มาอย่างไรบ้าง และนั่นคือเหตุสำคัญ ที่เขาพยายามอยู่ให้ห่างไกลจากมัน

    และแล้วความเศร้าในวัยเด็กอีกอย่าง ก็เข้ามาครอบงำ...

สถานที่เล็กๆ ที่บรรจุอัฐิของมารดา เพิ่งถูกบูรณะ ให้กลายเป็นเจดียสถานใหญ่โต รอรับสามีของเธอ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ก็สามีของเธอเองนั่นแหละ ที่ไม่เคยไปดูดำดูดีอะไรเลย

    อนลเผลอปล่อยให้ความรู้สึกของตัวเอง จมอยู่ในอดีตอันหม่นหมอง มันคงชัดเจนมากเสียจนใครๆ ก็สังเกตได้ เมื่อน้องสาวคนเล็กค่อยสอดมือนุ่มนิ่มนั่น เข้ามาในอุ้งมือ

    “พี่นล...”

เมทินีกระซิบเบาๆ

“พี่ไม่เป็นไรนะ”

    อนลรีบยันตัวขึ้น รู้สึกขัดใจที่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความรู้สึกเช่นนั้น

    เขาพยักหน้าให้น้องสาว บีบมือกันเบาๆ เพื่อให้ความมั่นใจ

    “พี่โอเค สบายดี”

ชายหนุ่มยิ้มบางๆ

“เมล่ะ ยังไหวอยู่ใช่ไหม”

    เมทินีเงยหน้าขึ้นสบตา แม้ดวงหน้าจะแลดูซีดเซียว แต่ดวงตาทั้งคู่ยังแจ่มใส

    “พี่นลไม่ต้องห่วง เมสบายมากอยู่แล้ว”

    แล้วอนลก็นึกถึงเมื่อค่ำวานนี้อีกครั้ง...

หลังจากงานเผาศพบิดาจบลง บรรดาผู้ร่วมไว้อาลัย ต่างทยอยมาที่คฤหาสน์หลังนี้ ไม่รู้ว่าเขานัดกันไว้หรือเปล่า แต่ทุกคนล้วนบอกว่า จะมาแสดงความเสียใจกับสี่พี่น้อง อนล อรรณพ อนิล และเมทินี อีกครั้ง

    ‘มันน่าภาคภูมิใจ’

ท่านอดีตอัยการจังหวัดเอ่ยกับเขา

‘ที่ได้เห็นพวกเรา ที่มีหน้ามีตาทั้งหลาย ล้วนมาแสดงความเคารพและไว้อาลัย แก่พ่อคุณเป็นครั้งสุดท้าย’

    ‘เขา... ตั้งใจจะบอกว่า...’

    อนิลพึมพำ เมื่อชายชราเดินไปไกลกว่าจะได้ยิน

    ‘...พวกมีหน้ามีตาทั้งหลายในประเทศ ล้วนมาเพื่อดูหน้าและประเมินราคา ผู้ครอบครองคนใหม่ ของ เลิศไตรภพ’

    อรรณพยิ้มกว้าง

    ‘ไม่หรอกนิล... ที่จริงเขาหมายความถึง พวกนั้นตัดสินใจได้แล้วว่า จะไม่ต้องย้อนกลับมาเลียแข้งเลียขาใครๆ ที่นี้อีกแล้ว’

    

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่