Last day of June
ละอองฝนที่โปรยปรายลงมาในทีแรกเริ่มหนาเม็ดขึ้นเรื่อย ๆ ทัศนวิสัยโดยรอบภายนอกตัวถังรถย่ำแย่ลงไปทุกขณะ ถนนทั้งเส้นซึ่งร้างรถราเจิ่งนองไปด้วยน้ำสีข้นคลั่ก จนยากที่จะสังเกตแยกแยะจุดเสียหายและหลุมบ่อบนพื้นผิวจราจร
แม้ใจนึกอยากจะกลับไปให้ถึงบ้าน ก่อนที่ฝนฟ้าจะเทกระหน่ำลงมาหนักกว่านี้ แต่ชายหนุ่มผู้ควบคุมยานพาหนะก็จำต้องลดความเร็วลงอย่างจำใจ
สายตาเหลียวมองไปทางภรรยาที่นั่งอยู่เบาะข้าง ๆ กัน ดวงหน้าพริ้มเพราเวลาหลับช่างน่ารักดูไร้เดียงสา จนอดที่จะยิ้มอย่างรักใคร่เอ็นดูไม่ได้ เห็นคู่ชีวิตนอนขดคุดคู้กอดตัวเองอยู่ จึงเลื่อนมือไปหมุนสวิทซ์เพื่อหรี่เบาแอร์ลง ก่อนจะใช้มือข้างเดียวกันเอื้อมไปหยิบผ้าห่มผืนน้อย ที่ตรงเบาะหลังมาห่มคลุมกายให้แก่เธอ
ในเสี้ยววินาทีที่เขาละสายตาออกไปจากถนนตรงหน้า ฉับพลันทันใดนั้น สุนัขสีดำตัวหนึ่งก็พุ่งกระโจนออกมาจากพงหญ้าข้างทาง ตัดหน้ารถของเขาในระยะกระชั้นชิด
ไวกว่าความคิด ชายหนุ่มหักหมุนพวงมาลัยโดยอัตโนมัติด้วยความตกใจ รถยนต์ที่ถูกเปลี่ยนทิศอย่างกะทันหันเสียหลักหมุนคว้างก่อนที่จะตลบพลิกคว่ำ ร่างกายหน่วงชาจนแทบไร้ความรู้สึก สมองมึนงงจับได้เพียงความสับสนและเลื่อนลอยของสภาพโดยรอบ
สติสัมปชัญญะลดน้อยถอยลงไปทุกขณะ เขาหันไปมองภรรยาที่นิ่งไม่ไหวติงซึ่งอยู่ไม่ห่างกัน ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป
“อธิษฐานเสร็จหรือยัง เรียบร้อยแล้วก็เป่าเทียนให้ดับหมดในครั้งเดียวด้วยล่ะ”
ท่ามกลางความมืดมิดและเงียบเชียบ เสียงหวานใสของภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่แว่วเข้าหู ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นทีละน้อยเป็นลำดับ จุดแสงสีส้มเรื่อเรืองดวงน้อยจากเปลวเทียนหลายเล่ม แตะแต้มแจ่มชัดขึ้นในความมืด เขาสูดหายใจเข้าแล้วจึงออกแรงเป่าลมออกไป
เปลวแสงกระตุกวูบไหว ความมืดมิดหวนกลับมากลืนกินยึดครองทุกการมองเห็นอีกครั้ง
“ว่าแต่...อธิษฐานอะไรหรือ”
เมฆฝนดำทะมึนที่เห็นอยู่แต่ไกลลิบ ๆ ในทีแรก แผ่ขยายขอบเขตกว้างไกล ยึดกลืนแสงสว่าง ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าอย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่ชายหนุ่มและหญิงสาว ซึ่งกำลังนั่งอยู่ด้วยกันตรงสนามหญ้ากลางแจ้ง จะทันเก็บข้าวของและวิ่งกลับเข้าไปหลบฝนในรถ หยาดหยดแรกก็ร่วงหล่นลงมา
ด้วยรอยยิ้มที่สดใส และแววตาซึ่งมองกันอย่างรักใคร่ คู่สามีภรรยาที่กลับมาถึงยานพาหนะเรียบร้อยแล้ว ต่างก็เช็ดหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนใบหน้าและเรือนผมให้แก่กันและกัน ท่ามกลางเสียงบรรเลงเปาะแปะอันไร้จังหวะ ทั้งคู่มองผืนโลกซึ่งถูกปกคลุมอาบย้อมไปด้วยม่านหมอกแห่งความชุ่มฉ่ำ และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ก่อนที่จะหันกลับมาส่งยิ้มและหัวเราะให้กัน
เขาพร้อมอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์ ส่วนภรรยาสุดที่รักเคียงอยู่ข้างกาย ในขณะที่สายฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้น ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ บรรจงเหยียบคันเร่ง บังคับรถให้เคลื่อนตัวออกไปอย่างนุ่มนวล
แล้วชั่วครู่นั้น ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ก็ทำให้เขารับรู้ได้ว่า ตนเองได้กลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้งหนึ่ง
จุดเริ่มต้นที่เหตุการณ์อันเลวร้ายนั้นกำลังจะเกิดขึ้น...
ในวินาทีที่นึกถึงตรงนี้ สุนัขสีดำตัวเดิมก็กระโจนพรวดออกมาจากข้างทางในระยะกระชั้นชิด ทว่าในครั้งนี้ ชายหนุ่มที่รู้ตัวอยู่ก่อนแล้ว มีสติพอที่จะหักหลบและบังคับประคองพวงมาลัย เพื่อไม่ให้รถยนต์เสียหลักจนพลิกคว่ำได้สำเร็จ
ยานพาหนะส่ายไปมาเล็กน้อยก่อนจะกลับมาตั้งลำจนมั่นคงได้เหมือนเดิม เขาถอนหายใจเมื่อเห็นสุนัขวิ่งหายไปในพุ่มไม้ที่อีกฝั่งฟากของถนนทางกระจกหลัง ปลอดโปร่งโล่งใจที่ไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายซ้ำอย่างเดิมอีกครั้ง สายตาเหลียวมองไปทางภรรยา เห็นเธอยังคงหลับตาพริ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาใด ๆ ก็เผยยิ้มออกมา
ทว่าชั่วขณะที่เขากำลังผ่อนคลายสบายใจอยู่นั้น จู่ ๆ รถสิบล้อคันหนึ่งก็พุ่งตัวแหวกฝ่าสายฝนมาจากทิศทางตรงกันข้าม ไม่มีทีท่าว่าจะชะลอความเร็วลงเลยสักนิด ราวกับว่ามันไร้การควบคุมและพร้อมที่จะบดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางหน้ามันอยู่ให้สิ้นซาก
และในชั่วขณะถัดมาซึ่งเขารู้ตัว แรงอัดกระแทก เสียงดังสนั่นที่แยกแยะรายละเอียดใด ๆ ไม่ออก อาการกระตุกวูบของประสาทการรับรู้ ก็ดับทุกอย่างรอบกายให้มืดสนิทลง
ท่ามกลางความสว่างไสวที่ทั้งเจิดจ้าและทำให้รู้สึกสงบสุข เท้าทั้งสองของชายหนุ่มกำลังเหยียบย่ำอยู่บนปุยเมฆ ที่ให้สัมผัสอันอ่อนนุ่มเบาสบาย มองตรงไปเบื้องหน้า ในอากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า ก็พลันปรากฏภาพอันแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
มันเป็นนาฬิกาทรายเรือนใหญ่เรือนหนึ่ง ใหญ่เสียจนเขาไม่แน่ใจที่จะคาดคะเนความสูงของมัน
ที่ภายในผนังแก้วของอุปกรณ์จับเวลา เม็ดทรายเล็กละเอียดพราวระยับ ซึ่งกำลังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสายธารแห่งเวลา กำลังไหลต่อเนื่องไม่ขาดตอนจากเบื้องบนลงสู่เบื้องล่าง คล้ายกับมันต้องการจะบอกกับเขาว่า เวลานั้นไม่เคยคอยท่าใคร และมันก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างเที่ยงธรรมเสมอ
แล้วฉับพลันนั้น...ร่างกายของเขาก็คล้ายถูกฉุดดึงให้ร่วงหล่นลงมาจากที่สูง แม้ไม่ได้เห็นแต่ก็กลับรับรู้ได้ว่า ตอนนี้เขากำลังนอนอยู่บนเตียงเข็น ร่างอันสะบักสะบอมและโชกไปด้วยเลือดของเขา กำลังถูกใครหลายคนประคับประคองและพาไปสู่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ด้วยความเร่งรีบอย่างที่สุด
เสียงฟื้ดฟ้าดดังลอดเข้าหู สัมผัสได้ถึงไอน้ำเปียกชื้นในทุกลมหายใจของตนเอง
“จงใช้เวลาที่เจ้าวิงวอน ช่วงเวลาที่เจ้าอยากได้คืนมา ทำในสิ่งที่เจ้าปรารถนาเถิด”
แสงสีส้มสุดท้ายของวันอาบย้อมผืนฟ้า ปกคลุมไปจนทั่วผืนน้ำในทะเลสาบ แสงสีอันอบอุ่น ประกายเจิดจรัสระยิบระยับ และบรรยากาศเงียบสงบสุขในยามนี้ ทำให้รู้สึกราวกับอยู่ในโลกอันงดงามดั่งฝัน
แมลงปอตัวหนึ่งบินโฉบฉวัดเฉวียนอยู่ในอากาศ ก่อนจะเลยผ่านหน้าแล้วไปเกาะอยู่ที่ตรงดอกหญ้า สายลมเอื่อยเฉื่อยพัดผ่าน ขับเคลื่อนสิ่งรอบกายให้ขยับไหวอย่างมีชีวิตชีวา
ชายหนุ่มฉีกยิ้มด้วยตาลุกวาว กับชิ้นขนมเค้กที่กำลังถืออยู่ในมือ สูดหายใจเข้าและเป่าเปลวไฟจากเทียนหลายเล่มที่ปักอยูบนนั้น ท่ามกลางเสียงเคลื่อนไหวไหลรินของสายน้ำ เสียงเสียดสีของต้นไม้ใบหญ้า เสียงร้องขับขานจากหมู่มวลแมลงตัวน้อย เขาและภรรยาช่วยกันตัดแบ่งขนมและกินด้วยกันอย่างยิ้มแย้มสุขใจเหลือล้น
ในช่วงเวลาหนึ่งละอองฝนก็โปรยปรายลงมา ทั้งคู่ช่วยกันเก็บข้าวของและวิ่งกลับเข้าไปในรถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล เขาบังคับยานพาหนะอยู่หลังพวงมาลัย โดยมีคู่ชีวิตนั่งอยู่เคียงข้างกัน หลังจากเลี้ยวหลบสุนัขสีดำที่วิ่งออกมาจากทางซ้ายมือแล้ว เขาสูดหายใจลึก ตั้งสติให้มั่น เนื่องจากรู้ดีว่าอะไรกำลังรออยู่ต่อจากนี้
เมื่อมัจจุราชสีดำตนนั้นปรากฏตัวขึ้น พร้อมพุ่งทะยานเข้ามาหา สมาธิที่จดจ่อและสติซึ่งเตรียมพร้อมต่อเหตุการณ์อยู่แล้ว ก็ทำให้เขาหักเบี่ยงรถยนต์ของตนจนพ้นจากเส้นทางมฤตยู และประคองให้กลับมาอยู่บนเส้นทางเดิมได้สำเร็จ
เหลือบมองผ่านทางกระจกหลัง เห็นรถสิบล้อคันนั้นวิ่งต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ก็เสียหลักจนตกข้างทางไป ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างรู้สึกเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเผยยิ้มอย่างโล่งใจออกมา ที่ผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤตมาได้แล้ว
ภรรยาของเขาที่กำลังนอนอยู่ ขยับตัวเล็กน้อยจากแรงสะเทือนเมื่อสักครู่ แล้วก็กลับหลับสนิทไปอีกครั้ง นึกเอ็นดูคู่ทุกข์คู่ยากจนอดที่จะยื่นมือออกไปลูบศีรษะอย่างรักใคร่ไม่ได้
รถกระบะคันหนึ่งแล่นเอื่อยเฉื่อยมาตามทาง อย่างไร้พิษสงและปราศจากเค้าเงื่อนแห่งลางร้ายใด ๆ ในจังหวะหนึ่ง ก่อนที่ยานพาหนะทั้งสองจะกำลังแล่นสวนทางกัน ล้อข้างหนึ่งของรถซึ่งบรรทุกกล่องไม้ใบใหญ่ มาจนเต็มความจุของกระบะหลัง ก็กลับตกหลุมใหญ่บนผิวถนน
รถโคลงเคลงส่ายเอียงอย่างหนัก กล่องไม้ใบใหญ่ใบหนึ่งร่วงหล่น และกลิ้งมาขวางเส้นทางการวิ่ง ตรงหน้ารถของชายหนุ่มพอดิบพอดี ด้วยเหตุอันไม่คาดคิด และระยะซึ่งห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร สิ่งที่ทำได้จึงเหลือเพียงการหักหลบตามสัญชาตญาณเท่านั้น
และแล้ว...ความโกลาหลแบบเดิม เสียงแห่งการทำลายล้างตามเดิม ภาพร่องรอยของความเสียหายภาพเดิม ๆ ก็กลับเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
ภายใต้บรรยากาศอันมืดสลัวเลือนราง ชายหนุ่มผวาตื่นขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก สายตากวาดมองซ้ายขวาไปทั่วอย่างนึกหวาดระแวง ก่อนจะรับรู้ว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียง ภายในบ้านของตนเอง เสียงแตกซ่าและแสงสว่างวูบไหวบนหน้าจอโทรทัศน์ส่งผ่านเข้าประสาทการรับรู้
ใช้สองมือช่วยกันยันกายของตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง เหลียวมองไปทางมุมมืดตรงจุดที่เก้าอี้วีลแชร์ของเขาตั้งจอดอยู่ เขาพยายามขยับขาที่กำลังเหยียดยาวอยู่บนเตียงนอนแต่ก็ทำไม่ได้ ใช้นิ้วลองหยิกดูที่ต้นขา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บ ไม่แม้แต่จะรู้สึกใด ๆ เลยสักนิด
นอกจากเขาแล้วไม่มีใครหรืออะไรอื่น ห้องทั้งห้อง บ้านทั้งหลัง โลกทั้งใบ ล้วนถูกทาทับไปด้วยความมืดมิดและเงียบเชียบจนแทบทนไม่ไหว พยายามเงี่ยหูฟัง สอดส่ายสายตามองหา หวังว่าจะมีใครคนหนึ่งคนนั้นปรากฏกายให้ได้เห็น เผื่อว่าทั้งหมดนั้นจะเป็นแค่ฝันร้ายซึ่งผ่านพ้นไป
ความรู้สึกหนักหน่วงกดทับทั้งร่าง ความรู้สึกวูบไหวอ่อนแออย่างที่สุด ถาโถมเข้าใส่อย่างไร้ปรานี ในห้วงอารมณ์นั้น เม็ดแตกซ่าบนหน้าจอโทรทัศน์ก็เริ่มขยับเคลื่อนไหว และเรียงตัวใหม่กลายเป็นภาพของนาฬิกาทรายปรากฏขึ้นมาแทน
เม็ดทรายในนั้นยังคงร่วงหล่น และนับถอยหลังต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มันกำลังบอกกับเขาว่า เวลาที่มีอยู่หมดลงไปกว่าครึ่งแล้ว
“จะหยุดความเจ็บปวดไว้เพียงแค่นี้ หรือจะฝีนดึงดันต่อไปล่ะ”
Last day of June
ละอองฝนที่โปรยปรายลงมาในทีแรกเริ่มหนาเม็ดขึ้นเรื่อย ๆ ทัศนวิสัยโดยรอบภายนอกตัวถังรถย่ำแย่ลงไปทุกขณะ ถนนทั้งเส้นซึ่งร้างรถราเจิ่งนองไปด้วยน้ำสีข้นคลั่ก จนยากที่จะสังเกตแยกแยะจุดเสียหายและหลุมบ่อบนพื้นผิวจราจร
แม้ใจนึกอยากจะกลับไปให้ถึงบ้าน ก่อนที่ฝนฟ้าจะเทกระหน่ำลงมาหนักกว่านี้ แต่ชายหนุ่มผู้ควบคุมยานพาหนะก็จำต้องลดความเร็วลงอย่างจำใจ
สายตาเหลียวมองไปทางภรรยาที่นั่งอยู่เบาะข้าง ๆ กัน ดวงหน้าพริ้มเพราเวลาหลับช่างน่ารักดูไร้เดียงสา จนอดที่จะยิ้มอย่างรักใคร่เอ็นดูไม่ได้ เห็นคู่ชีวิตนอนขดคุดคู้กอดตัวเองอยู่ จึงเลื่อนมือไปหมุนสวิทซ์เพื่อหรี่เบาแอร์ลง ก่อนจะใช้มือข้างเดียวกันเอื้อมไปหยิบผ้าห่มผืนน้อย ที่ตรงเบาะหลังมาห่มคลุมกายให้แก่เธอ
ในเสี้ยววินาทีที่เขาละสายตาออกไปจากถนนตรงหน้า ฉับพลันทันใดนั้น สุนัขสีดำตัวหนึ่งก็พุ่งกระโจนออกมาจากพงหญ้าข้างทาง ตัดหน้ารถของเขาในระยะกระชั้นชิด
ไวกว่าความคิด ชายหนุ่มหักหมุนพวงมาลัยโดยอัตโนมัติด้วยความตกใจ รถยนต์ที่ถูกเปลี่ยนทิศอย่างกะทันหันเสียหลักหมุนคว้างก่อนที่จะตลบพลิกคว่ำ ร่างกายหน่วงชาจนแทบไร้ความรู้สึก สมองมึนงงจับได้เพียงความสับสนและเลื่อนลอยของสภาพโดยรอบ
สติสัมปชัญญะลดน้อยถอยลงไปทุกขณะ เขาหันไปมองภรรยาที่นิ่งไม่ไหวติงซึ่งอยู่ไม่ห่างกัน ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป
“อธิษฐานเสร็จหรือยัง เรียบร้อยแล้วก็เป่าเทียนให้ดับหมดในครั้งเดียวด้วยล่ะ”
ท่ามกลางความมืดมิดและเงียบเชียบ เสียงหวานใสของภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่แว่วเข้าหู ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นทีละน้อยเป็นลำดับ จุดแสงสีส้มเรื่อเรืองดวงน้อยจากเปลวเทียนหลายเล่ม แตะแต้มแจ่มชัดขึ้นในความมืด เขาสูดหายใจเข้าแล้วจึงออกแรงเป่าลมออกไป
เปลวแสงกระตุกวูบไหว ความมืดมิดหวนกลับมากลืนกินยึดครองทุกการมองเห็นอีกครั้ง
“ว่าแต่...อธิษฐานอะไรหรือ”
เมฆฝนดำทะมึนที่เห็นอยู่แต่ไกลลิบ ๆ ในทีแรก แผ่ขยายขอบเขตกว้างไกล ยึดกลืนแสงสว่าง ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าอย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่ชายหนุ่มและหญิงสาว ซึ่งกำลังนั่งอยู่ด้วยกันตรงสนามหญ้ากลางแจ้ง จะทันเก็บข้าวของและวิ่งกลับเข้าไปหลบฝนในรถ หยาดหยดแรกก็ร่วงหล่นลงมา
ด้วยรอยยิ้มที่สดใส และแววตาซึ่งมองกันอย่างรักใคร่ คู่สามีภรรยาที่กลับมาถึงยานพาหนะเรียบร้อยแล้ว ต่างก็เช็ดหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนใบหน้าและเรือนผมให้แก่กันและกัน ท่ามกลางเสียงบรรเลงเปาะแปะอันไร้จังหวะ ทั้งคู่มองผืนโลกซึ่งถูกปกคลุมอาบย้อมไปด้วยม่านหมอกแห่งความชุ่มฉ่ำ และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ก่อนที่จะหันกลับมาส่งยิ้มและหัวเราะให้กัน
เขาพร้อมอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์ ส่วนภรรยาสุดที่รักเคียงอยู่ข้างกาย ในขณะที่สายฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้น ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ บรรจงเหยียบคันเร่ง บังคับรถให้เคลื่อนตัวออกไปอย่างนุ่มนวล
แล้วชั่วครู่นั้น ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ก็ทำให้เขารับรู้ได้ว่า ตนเองได้กลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้งหนึ่ง
จุดเริ่มต้นที่เหตุการณ์อันเลวร้ายนั้นกำลังจะเกิดขึ้น...
ในวินาทีที่นึกถึงตรงนี้ สุนัขสีดำตัวเดิมก็กระโจนพรวดออกมาจากข้างทางในระยะกระชั้นชิด ทว่าในครั้งนี้ ชายหนุ่มที่รู้ตัวอยู่ก่อนแล้ว มีสติพอที่จะหักหลบและบังคับประคองพวงมาลัย เพื่อไม่ให้รถยนต์เสียหลักจนพลิกคว่ำได้สำเร็จ
ยานพาหนะส่ายไปมาเล็กน้อยก่อนจะกลับมาตั้งลำจนมั่นคงได้เหมือนเดิม เขาถอนหายใจเมื่อเห็นสุนัขวิ่งหายไปในพุ่มไม้ที่อีกฝั่งฟากของถนนทางกระจกหลัง ปลอดโปร่งโล่งใจที่ไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายซ้ำอย่างเดิมอีกครั้ง สายตาเหลียวมองไปทางภรรยา เห็นเธอยังคงหลับตาพริ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาใด ๆ ก็เผยยิ้มออกมา
ทว่าชั่วขณะที่เขากำลังผ่อนคลายสบายใจอยู่นั้น จู่ ๆ รถสิบล้อคันหนึ่งก็พุ่งตัวแหวกฝ่าสายฝนมาจากทิศทางตรงกันข้าม ไม่มีทีท่าว่าจะชะลอความเร็วลงเลยสักนิด ราวกับว่ามันไร้การควบคุมและพร้อมที่จะบดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางหน้ามันอยู่ให้สิ้นซาก
และในชั่วขณะถัดมาซึ่งเขารู้ตัว แรงอัดกระแทก เสียงดังสนั่นที่แยกแยะรายละเอียดใด ๆ ไม่ออก อาการกระตุกวูบของประสาทการรับรู้ ก็ดับทุกอย่างรอบกายให้มืดสนิทลง
ท่ามกลางความสว่างไสวที่ทั้งเจิดจ้าและทำให้รู้สึกสงบสุข เท้าทั้งสองของชายหนุ่มกำลังเหยียบย่ำอยู่บนปุยเมฆ ที่ให้สัมผัสอันอ่อนนุ่มเบาสบาย มองตรงไปเบื้องหน้า ในอากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า ก็พลันปรากฏภาพอันแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
มันเป็นนาฬิกาทรายเรือนใหญ่เรือนหนึ่ง ใหญ่เสียจนเขาไม่แน่ใจที่จะคาดคะเนความสูงของมัน
ที่ภายในผนังแก้วของอุปกรณ์จับเวลา เม็ดทรายเล็กละเอียดพราวระยับ ซึ่งกำลังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสายธารแห่งเวลา กำลังไหลต่อเนื่องไม่ขาดตอนจากเบื้องบนลงสู่เบื้องล่าง คล้ายกับมันต้องการจะบอกกับเขาว่า เวลานั้นไม่เคยคอยท่าใคร และมันก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างเที่ยงธรรมเสมอ
แล้วฉับพลันนั้น...ร่างกายของเขาก็คล้ายถูกฉุดดึงให้ร่วงหล่นลงมาจากที่สูง แม้ไม่ได้เห็นแต่ก็กลับรับรู้ได้ว่า ตอนนี้เขากำลังนอนอยู่บนเตียงเข็น ร่างอันสะบักสะบอมและโชกไปด้วยเลือดของเขา กำลังถูกใครหลายคนประคับประคองและพาไปสู่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ด้วยความเร่งรีบอย่างที่สุด
เสียงฟื้ดฟ้าดดังลอดเข้าหู สัมผัสได้ถึงไอน้ำเปียกชื้นในทุกลมหายใจของตนเอง
“จงใช้เวลาที่เจ้าวิงวอน ช่วงเวลาที่เจ้าอยากได้คืนมา ทำในสิ่งที่เจ้าปรารถนาเถิด”
แสงสีส้มสุดท้ายของวันอาบย้อมผืนฟ้า ปกคลุมไปจนทั่วผืนน้ำในทะเลสาบ แสงสีอันอบอุ่น ประกายเจิดจรัสระยิบระยับ และบรรยากาศเงียบสงบสุขในยามนี้ ทำให้รู้สึกราวกับอยู่ในโลกอันงดงามดั่งฝัน
แมลงปอตัวหนึ่งบินโฉบฉวัดเฉวียนอยู่ในอากาศ ก่อนจะเลยผ่านหน้าแล้วไปเกาะอยู่ที่ตรงดอกหญ้า สายลมเอื่อยเฉื่อยพัดผ่าน ขับเคลื่อนสิ่งรอบกายให้ขยับไหวอย่างมีชีวิตชีวา
ชายหนุ่มฉีกยิ้มด้วยตาลุกวาว กับชิ้นขนมเค้กที่กำลังถืออยู่ในมือ สูดหายใจเข้าและเป่าเปลวไฟจากเทียนหลายเล่มที่ปักอยูบนนั้น ท่ามกลางเสียงเคลื่อนไหวไหลรินของสายน้ำ เสียงเสียดสีของต้นไม้ใบหญ้า เสียงร้องขับขานจากหมู่มวลแมลงตัวน้อย เขาและภรรยาช่วยกันตัดแบ่งขนมและกินด้วยกันอย่างยิ้มแย้มสุขใจเหลือล้น
ในช่วงเวลาหนึ่งละอองฝนก็โปรยปรายลงมา ทั้งคู่ช่วยกันเก็บข้าวของและวิ่งกลับเข้าไปในรถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล เขาบังคับยานพาหนะอยู่หลังพวงมาลัย โดยมีคู่ชีวิตนั่งอยู่เคียงข้างกัน หลังจากเลี้ยวหลบสุนัขสีดำที่วิ่งออกมาจากทางซ้ายมือแล้ว เขาสูดหายใจลึก ตั้งสติให้มั่น เนื่องจากรู้ดีว่าอะไรกำลังรออยู่ต่อจากนี้
เมื่อมัจจุราชสีดำตนนั้นปรากฏตัวขึ้น พร้อมพุ่งทะยานเข้ามาหา สมาธิที่จดจ่อและสติซึ่งเตรียมพร้อมต่อเหตุการณ์อยู่แล้ว ก็ทำให้เขาหักเบี่ยงรถยนต์ของตนจนพ้นจากเส้นทางมฤตยู และประคองให้กลับมาอยู่บนเส้นทางเดิมได้สำเร็จ
เหลือบมองผ่านทางกระจกหลัง เห็นรถสิบล้อคันนั้นวิ่งต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ก็เสียหลักจนตกข้างทางไป ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างรู้สึกเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเผยยิ้มอย่างโล่งใจออกมา ที่ผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤตมาได้แล้ว
ภรรยาของเขาที่กำลังนอนอยู่ ขยับตัวเล็กน้อยจากแรงสะเทือนเมื่อสักครู่ แล้วก็กลับหลับสนิทไปอีกครั้ง นึกเอ็นดูคู่ทุกข์คู่ยากจนอดที่จะยื่นมือออกไปลูบศีรษะอย่างรักใคร่ไม่ได้
รถกระบะคันหนึ่งแล่นเอื่อยเฉื่อยมาตามทาง อย่างไร้พิษสงและปราศจากเค้าเงื่อนแห่งลางร้ายใด ๆ ในจังหวะหนึ่ง ก่อนที่ยานพาหนะทั้งสองจะกำลังแล่นสวนทางกัน ล้อข้างหนึ่งของรถซึ่งบรรทุกกล่องไม้ใบใหญ่ มาจนเต็มความจุของกระบะหลัง ก็กลับตกหลุมใหญ่บนผิวถนน
รถโคลงเคลงส่ายเอียงอย่างหนัก กล่องไม้ใบใหญ่ใบหนึ่งร่วงหล่น และกลิ้งมาขวางเส้นทางการวิ่ง ตรงหน้ารถของชายหนุ่มพอดิบพอดี ด้วยเหตุอันไม่คาดคิด และระยะซึ่งห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร สิ่งที่ทำได้จึงเหลือเพียงการหักหลบตามสัญชาตญาณเท่านั้น
และแล้ว...ความโกลาหลแบบเดิม เสียงแห่งการทำลายล้างตามเดิม ภาพร่องรอยของความเสียหายภาพเดิม ๆ ก็กลับเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
ภายใต้บรรยากาศอันมืดสลัวเลือนราง ชายหนุ่มผวาตื่นขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก สายตากวาดมองซ้ายขวาไปทั่วอย่างนึกหวาดระแวง ก่อนจะรับรู้ว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียง ภายในบ้านของตนเอง เสียงแตกซ่าและแสงสว่างวูบไหวบนหน้าจอโทรทัศน์ส่งผ่านเข้าประสาทการรับรู้
ใช้สองมือช่วยกันยันกายของตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง เหลียวมองไปทางมุมมืดตรงจุดที่เก้าอี้วีลแชร์ของเขาตั้งจอดอยู่ เขาพยายามขยับขาที่กำลังเหยียดยาวอยู่บนเตียงนอนแต่ก็ทำไม่ได้ ใช้นิ้วลองหยิกดูที่ต้นขา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บ ไม่แม้แต่จะรู้สึกใด ๆ เลยสักนิด
นอกจากเขาแล้วไม่มีใครหรืออะไรอื่น ห้องทั้งห้อง บ้านทั้งหลัง โลกทั้งใบ ล้วนถูกทาทับไปด้วยความมืดมิดและเงียบเชียบจนแทบทนไม่ไหว พยายามเงี่ยหูฟัง สอดส่ายสายตามองหา หวังว่าจะมีใครคนหนึ่งคนนั้นปรากฏกายให้ได้เห็น เผื่อว่าทั้งหมดนั้นจะเป็นแค่ฝันร้ายซึ่งผ่านพ้นไป
ความรู้สึกหนักหน่วงกดทับทั้งร่าง ความรู้สึกวูบไหวอ่อนแออย่างที่สุด ถาโถมเข้าใส่อย่างไร้ปรานี ในห้วงอารมณ์นั้น เม็ดแตกซ่าบนหน้าจอโทรทัศน์ก็เริ่มขยับเคลื่อนไหว และเรียงตัวใหม่กลายเป็นภาพของนาฬิกาทรายปรากฏขึ้นมาแทน
เม็ดทรายในนั้นยังคงร่วงหล่น และนับถอยหลังต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มันกำลังบอกกับเขาว่า เวลาที่มีอยู่หมดลงไปกว่าครึ่งแล้ว
“จะหยุดความเจ็บปวดไว้เพียงแค่นี้ หรือจะฝีนดึงดันต่อไปล่ะ”