หลังจากที่ได้สนทนาแลกเปลี่ยนกับผู้รู้ท่านหนึ่งผ่านนิทานเรื่องเล่าของผมเองซึ่งมีที่มาจากพระสูตร ผู้รู้ท่านนั้น ก็ได้กรุณากล่าวตักเตือนว่า ในเมื่อผมก็ไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าด้วยตาตนเอง และเรื่องเล่าจากพระสูตรนี้ ก็นาน 2500 กว่าปีมาแล้ว เรื่องจากความจำ ฟังเขาเล่ามา อาจคลาดเคลื่อน คนเล่าอาจจำมาผิด ถ้าปลงใจเชื่อในทันที ย่อมได้ชื่อว่า งมงาย
ผมจึงมีความเข้าใจอย่างนี้ว่า ผู้รู้ท่านนั้น ได้พยายามกล่าวตักเตือนผมอย่างนี้ว่า แม้แต่พระสูตรพระวินัย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าจากพระมหาเถระเมื่อปฐมสังคายนา ก็เชื่อในทันทีไม่ได้ เพราะพระไตรปิฎกเอง ก็ผ่านมือคนมามาก และผ่านกาลเวลามายาวนานถึง 2500 กว่าปี เมื่อมีคนนำมาเล่าให้ฟังอีกที จึงไม่ควรรีบเชื่อ เพราะถ้าทำอย่างนั้น ก็จะกลายเป็นคนงมงายไน้สติปัญญา แต่ควร 1 ตรวจสอบที่มากับพระสูตรพระวินัยก่อนว่าตรงกันไหม ตามหลักมหาปเทส และ 2 พิจารณาด้วยกาลามสูตรเสียก่อนว่า ข้อความดังกล่าว เป็นประโยชน์ เป็นกุศลไหม ? ถ้าเป็นอย่างนั้น จึงค่อยรับเชื่อ หากทำได้อย่างนี้ ก็จะได้ชื่อว่าไม่เป็นคนงมงาย
ผมเข้าใจสิ่งที่ท่านได้กรุณาตักเตือนมา ถูกต้องแล้วหรือยังครับท่าน ?
ในเมื่อไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า เรื่องเล่า 2500 กว่าปี ฟังเขาเล่ามาก็เชื่อ เรียกว่า งมงาย ไหม ?
ผมจึงมีความเข้าใจอย่างนี้ว่า ผู้รู้ท่านนั้น ได้พยายามกล่าวตักเตือนผมอย่างนี้ว่า แม้แต่พระสูตรพระวินัย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าจากพระมหาเถระเมื่อปฐมสังคายนา ก็เชื่อในทันทีไม่ได้ เพราะพระไตรปิฎกเอง ก็ผ่านมือคนมามาก และผ่านกาลเวลามายาวนานถึง 2500 กว่าปี เมื่อมีคนนำมาเล่าให้ฟังอีกที จึงไม่ควรรีบเชื่อ เพราะถ้าทำอย่างนั้น ก็จะกลายเป็นคนงมงายไน้สติปัญญา แต่ควร 1 ตรวจสอบที่มากับพระสูตรพระวินัยก่อนว่าตรงกันไหม ตามหลักมหาปเทส และ 2 พิจารณาด้วยกาลามสูตรเสียก่อนว่า ข้อความดังกล่าว เป็นประโยชน์ เป็นกุศลไหม ? ถ้าเป็นอย่างนั้น จึงค่อยรับเชื่อ หากทำได้อย่างนี้ ก็จะได้ชื่อว่าไม่เป็นคนงมงาย
ผมเข้าใจสิ่งที่ท่านได้กรุณาตักเตือนมา ถูกต้องแล้วหรือยังครับท่าน ?